you don’t know you’re beautiful
and that’s what makes you beautiful
“หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้”
“ก็เราตลก ฮ่าๆๆๆๆ”
“ไม่หยุดจะกลับแล้วนะ”
สิ้นเสียงใสที่คุ้นเคยหากแต่ตอนนี้เจือปนความขุ่นเคืองไว้เต็มเปี่ยม คนตรงหน้าผมก็ทำท่าจะลุกออกไปอย่างที่ว่าจริง ๆ (ไม่มีคำว่าพูดเล่นในพจนานุกรมของคังแทฮยอนจริง ๆ สินะครับ)
ผมคว้าข้อมือบาง ๆ นั่นเอาไว้พร้อมทำหน้าหงอยเหมือนลูกหมาถูกเจ้าของทิ้งซึ่งเป็นท่าไม้ตายที่ใช้ประจำเวลาโดนอีกคนงอน และแน่นอนว่าไม่มีครั้งไหนที่ไม่ได้ผล
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
คนตัวเล็กทรุดตัวลงที่เดิมด้วยสีหน้ายุ่ง ๆ อย่างที่ทำตั้งแต่โดนผมลากออกมาจากหอพักของเรา
“เราเล่นดึงฮู้ดปิดหน้าขนาดนั้นจะไม่ให้พี่หัวเราะได้ไงเล่า หายใจออกไหมก็ไม่รู้”
ใช่ครับ คนตรงหน้าผมขณะนี้อยู่ในชุดกางเกงยีนส์ตัวเก่ง ผ้าใบคู่ใจ และฮู้ดตัวใหญ่สีแดงเลือดนกที่ดูเหมือนจะเป็นของเจ้าเด็กฝรั่งตัวยักษ์เพื่อนรักเขาอีกที
แต่ที่ทำเอาผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้นั่นก็เพราะเจ้าตัวเล่นรูดสายหมวกฮู้ดให้ปิดหน้าปิดตาจนเหลือเพียงช่องเล็ก ๆ พอให้มองเห็นภายนอกและหายใจออกเท่านั้นน่ะสิ
“ก็บอกแล้วว่าวันนี้หน้าบวมแถมสิวขึ้นด้วย พี่ก็ยังจะลากนี่ออกมาให้ได้ ออกมาเป็นเพื่อนก็ดีเท่าไหร่แล้วยังมาหัวเราะใส่หน้ากันให้เสียความมั่นใจอีก มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ”
คนเป็นน้องคลายฮู้ดออกเล็กน้อยก่อนจะรัวบ่นใส่ผมอย่างไม่หยุดพักหายใจจนแทบจับใจความไม่ทัน
ผมอดอมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้แม้จะรู้ว่านั่นอาจจะทำให้คนตรงหน้าตีหน้ายุ่งไปมากกว่าเดิมก็ตาม
อันที่จริงผมรู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่คนตรงหน้าไม่มั่นใจและเอาแต่ปกปิดใบหน้าตัวเองแบบนั้นเป็นเพราะอะไร ก็น้องเล่นบ่นอย่างที่ว่าไปข้างบนขณะส่องกระจกอยู่นานสองนานก่อนหน้าที่เราจะออกมายังร้านกาแฟใกล้ ๆ แห่งนี้
ภาพของคังแทฮยอนที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่เสมอแต่กลับพ่ายแพ้ให้เจ้าสิวเม็ดจิ๋วแบบนั้นน่ะทำเอาผมประหลาดใจสุด ๆ
เป็นอีกวันที่ผมได้เห็นมุมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนของเขา
หากแต่ในความบันเทิงใจมวลความกังวลกำลังก่อตัวขึ้นในใจของผมเงียบ ๆ อยู่เช่นกัน
“พี่ว่าเราก็เหมือนเดิม ไม่เห็นจะบวมตรงไหนเลย สิวก็เม็ดเล็กนิดเดียว อยู่ตรงนี้ยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ คิดมากไปหรือเปล่า หืม?”
“พี่ไม่ใส่ใจไงเลยไม่เห็นความต่างที่นี่เห็น”
“...”
มาคุ...
มาคุอย่างไม่ทันตั้งตัว
จากที่ตีหน้ายุ่งมาตลอดตอนนี้คนในฮู้ดแดงตรงข้ามกลับจ้องมาที่ผมอย่างตัดพ้อแกมต่อว่า ดวงตาที่กลมโตเป็นประกายเวลาอารมณ์ดีบัดนี้กลับคมกริบราวกับอีกคนต้องการทิ่มแทงกันให้ได้แผลผ่านสายตา
ผมคิดหาคำพูดที่จะทำให้อีกคนสงบลงและผ่อนคลายมากขึ้น ระหว่างนั้นคังแทฮยอนก็ถอนสายตาออกไป
น้องหยิบเหรียญออกมาฝึกฝนทักษะมายากลอย่างที่เจ้าตัวมักจะทำทุกครั้งที่ต้องการรวบรวมสมาธิหรือมีเรื่องให้หงุดหงิดใจ
ผิดแผนไปหมดแล้วโว้ย ชเวบอมกยู
จากที่ตั้งใจจะพาน้องออกมาสูดอากาศข้างนอกให้ลืมเรื่องสิวตัวร้ายกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้สินะ
ผมทึ้งหัวในใจไปสามรอบและกำลังจะเริ่มรอบที่สี่ แต่พอดีที่พระเจ้าคงเห็นใจจึงมอบความช่วยเหลือมาให้อย่างทันท่วงที
“คาราเมลมัคคิอาโตปั่นเพิ่มวิปครีมกับอเมริกาโนเย็นได้แล้วค่ะ ขอให้คุณลูกค้าดื่มอย่างมีความสุขนะคะ”
ผมส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้คุณพนักงานหนึ่งครั้งก่อนจะหันไปลอบสังเกตคนตรงหน้า
คังแทฮยอนหยิบเครื่องดื่มของตัวเองไปแล้ว และเจ้าตัวก็ไม่วายจะจับสายฮู้ดไว้อย่างมั่นด้วยความกลัวว่าสายจะคลายออกจนเผยให้เห็นใบหน้าที่ (คิดไปเองว่า) ไม่สู้ดีนักของตน
ผมลอบมองน้องดื่มอย่างเงียบ ๆ แต่อีกคนไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกันเลย ทำเหมือนผมไม่ได้นั่งอยู่ตรงข้ามกันด้วยซ้ำ
คังแทฮยอนหันไปมองภาพวาดที่แขวนไว้ตามกำแพงอิฐของร้าน โคมไฟสูงสไตล์วินเทจที่ประดับอยู่ตามตามหัวมุม แจกันดอกไม้สีซีดที่ดูดีเมื่ออยู่ในแสงเหลืองนวลบนโต๊ะ กระทั่งลูกค้าคนอื่น ๆ ที่นั่งคุยกันตามอัธยาศัย
สรุปง่าย ๆ คือมองทุกอย่างที่สามารถมองได้ยกเว้นคนตรงหน้า ยกเว้นผมคนนี้
และนั่นทำเอาผมว้าวุ่นไปหมด
“วิปครีมเลอะปาก”
คังแทฮยอนเหลือบตาขึ้นมามองผมเล็กน้อยก่อนจะพยายามใช้หลังมือเช็ดวิปครีมที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเลอะตรงไหนและเลอะตั้งแต่เมื่อไหร่
“ยังไม่ออกเลย มานี่มา”
คนตรงหน้ามองหน้าผมเงียบ ๆ อย่างชั่งใจอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะโน้มตัวเข้ามาหากันเล็กน้อย
สองมือผมเอื้อมออกไปโอบใบหน้าเล็ก ๆ ทว่าบรรจุเครื่องหน้าที่ใครเห็นก็ต้องร้องว้าวให้กับความคมชัดและใหญ่โต ทั้งตา จมูก และริมฝีปาก ผมค่อย ๆ ใช้นิ้วหัวแม่มือของมือซ้ายเกลี่ยที่ปากของน้องช้า ๆ
คงเป็นเพราะทั้งตัวผมและคังแทฮยอนไม่ชอบการพ่ายแพ้
ไม่แม้แต่กับการต่อสู้เล็ก ๆ อย่างการจ้องตากันแบบที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้
เพราะงั้นในความเงียบระหว่างเรา ไม่ใช่เสียงเพลงป๊อปสากลอันเป็นที่รู้จักกันกำลังเปิดคลอเบา ๆ อยู่ แต่เป็นเสียงหัวใจของผมเองที่กำลังดังก้องไปหมดจนรำคาญ
“กินเลอะเป็นเด็ก”
เป็นผมที่เลือกจะเปิดบทสนทนาเพื่อเป็นสัญญาณสงบศึก (ที่ผมไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ว่าแพ้) และพักหัวใจจากการทำงานหนักมากเกินไป
“ก็ยังเด็ก”
คังแทฮยอนเบิกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเม้มปากตัวเอง จากที่อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาเกือบสองปีผมมั่นใจว่าอีกคนคงกำลังต่อว่าตัวเองอยู่ในใจที่เผลอหลุดปากต่อบทสนทนาของผมทั้ง ๆ ที่วางมาดงอนกันมาได้ตั้งนานสอนนาน
ผมอมยิ้มพลางกระพริบตาปริบ ๆ ใส่อีกคนอย่างจงใจ เห็นทีว่าผมจะยังยกธงขาวง่าย ๆ ไม่ได้แล้วล่ะ
แน่นอนว่าได้รับปฏิกริยาตอบกลับเป็นการถอนหายใจเอือม ๆ (ที่น่ารักจะบ้า) กลับมา
“เอามือออกไปได้แล้วมั้ง”
“แปปนึง ขอพี่ดูหน้าใกล้ ๆ หน่อย อยากเห็นไอ้ตัวการที่ทำเราบ่นอยู่ทั้งวันชัด ๆ มันจะเท่าไหร่เชียว”
คนในฮู้ดตัวโคร่งยื่นหน้าเข้ามาหาผมอีกเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยใส่ใจและเบนสายตาลงไปเล่นกับเหรียญในมือต่อ
“ดูยังไงก็ไม่ต่างจากปกติ”
“ไม่ต่างก็แย่ สิวเม็ดเท่าหัวช้าง”
เพราะไม่ได้หันมามองกันตรง ๆ และพุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับของเล่นสุดโปรด คังแทฮยอนจึงไม่รู้ตัวว่าระยะห่างระหว่างเราลดไปมากเท่าไหร่
ตอนนี้ผมสามารถนับได้ด้วยซ้ำว่าแพขนตาหนา ๆ และยาวงอนกำลังดีของเขามีทั้งหมดกี่เส้น
“ก็เหมือนเดิมจริงๆ”
“เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่เหมือน”
“ก็ในสายตาพี่เราน่ารักเหมือนเดิม”
ราวกับมีใครสักคนหรี่เสี่ยงรบกวนภายนอกลงเหลือ 0 เมื่อตากลมโตที่แทบไม่เหลือแววความไม่พอใจอย่างเมื่อสิบห้านาทีก่อนนี้ของคนตรงหน้าเบนกลับมาให้ความสนใจที่ผม
อันที่จริงที่พูดออกไปเมื่อกี้ไม่ได้เกิดจากจุดประสงค์ที่อยากพูดหล่อ ๆ ให้คนฟังเคอะเขินหรืออะไร ผมแค่พูดไปตามที่รู้สึก และใช่ คังแทฮยอนยังน่ารักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนในสายตาผม แค่สิวเม็ดเล็ก ๆ จะไปทำอะไรน้องได้
“จริง ๆ”
“รู้ตัว”
ตอบรับเสียงเบา ๆ ก่อนเจ้าตัวจะหลุบตาลงมองเครื่องดื่มที่พร่องไปกว่าครึ่ง
ผมอดยิ้มกว้าง ๆ ออกมาให้ภาพตรงหน้าไม่ได้ ไม่ได้เห็นกันง่าย ๆ หรอกนะครับคังแทฮยอนเวอร์ชั่นทำตัวไม่ถูกแล้วหลบตากันแบบนี้ นับนิ้วยังได้ด้วยซ้ำ
และถ้าผมตาไม่ฝาดหรือคิดเข้าข้างตัวเองมากไป มีริ้วชมพูจาง ๆ พาดอยู่บนแก้มใสคนตรงหน้าด้วย
พระเจ้า
“โทษตัวเองที่น่ารักเกินไปเถอะนะครับ”
คนที่ก่อนหน้านี้ก้มหน้างุด ๆ อยู่ช้อนตาขึ้นมามองอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย
และผมไม่รอช้าที่จะให้คำตอบคำพูดที่คลุมเครือนั่นด้วยการจับหมวกฮู้ดของเขามาบังใบหน้าของเราทั้งคู่ที่แทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างกันจากโลกภายนอก ก่อนประทับจุมพิตลงไปเบา ๆ ที่ริมฝีปากหยักหนาได้รูปของเจ้าตัว
“น่ารัก”
เคลื่อนขึ้นไปฝากจุมพิตแผ่วเบาที่จมูกโด่งเป็นสันโดยธรรมชาติแบบที่ใครเห็นก็ต้องอิจฉา
“นี่ก็น่ารัก”
ตามด้วยเปลือกตาที่ปิดสนิททั้งสองข้าง
“น่ารักเหมือนเดิมแหละ เชื่อพี่ไหม”
ผมคลายกำลังที่รั้งฮู้ดออกเล็กน้อยเพื่อรอดูปฏิกริยาของอีกคน
คังแทฮยอนยังคงหลับตาปี๋หากแต่ยังตอบกลับด้วยการพยักหน้าเบา ๆ ที่ถ้าไม่อยู่ในระยะประชิดขนาดผมคงไม่สังเกตเห็น
“เข้าใจดีว่าเรากังวลเวลาสิวขึ้นเพราะไม่ค่อยเจอ พี่แค่ไม่อยากให้เราเดินไปส่องกระจกทุกห้านาทีแล้วทำหน้าหงอยเหมือนแมวไม่ได้ปลาทู มันน่าห่วง รู้เปล่าครับ”
น้องพยักหน้ารับรัว ๆ สามสี่ครั้งอย่างว่าง่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
และนั่นทำเอาผมแทบคลั่ง
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ก็หายแล้ว สัญญาได้ไหมว่าจะไม่นอยด์ตัวเองมากเกินไปแบบนี้อีก”
“อื้อ”
คนตรงหน้ากัดปากน้อย ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองกัน
แววตาที่กำลังสั่นไหวโดยมีภาพผมสะท้อนอยู่นั่นเห็นแล้วรู้สึกดีชะมัด
“พี่ขอโทษนะ”
ผมกระชับฮู้ดเข้ามาบังเราสองคนอย่างเดิมก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปที่ตำแหน่งเดียวกัน
ต่างจากรอบแรกที่เป็นเพียงจุมพิตแผ่วเบาและจบลงในเสี้ยววินาที ครั้งนี้ผมตั้งใจละเอียดละไม บรรจงขบเม้มและเน้นย้ำซ้ำ ๆ เพื่อส่งผ่านทุกความรู้สึกที่ท่วมท้นหัวใจให้อีกคนได้รับรู้
คังแทฮยอนเลื่อนมือขึ้นมากำรอบข้อมือผมก่อนจะบีบเบา ๆ เป็นสัญญาณให้หยุด
ผมถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่งด้วยความเสียดาย ส่วนอีกคนฟุบหน้าลงไปกับแขนเรียบร้อยแล้ว
ต้องขอบคุณน้องที่เลือกซ่อนใบหน้าของตัวเองแบบนั้นเพราะตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้จะสู้หน้าเจ้าตัวยังไงเช่นกัน
พูดกันตามตรงผมก็เพิ่งนึกออกมาเราไม่ได้อยู่ในที่ลับตาคนอย่างหอพัก ด้วยบรรยากาศ หรืออะไรที่ดลใจให้ผมกล้าและบ้าบิ่นขนาดนี้กันนะ…
“...”
“ว่ายังไงนะ”
“ออกไปก่อน เดี๋ยวตามไป”
“... ได้ครับ”
ผมตอบรับเสียงอู้อี้ที่ดังออกมาจากก้อนกลม ๆ ที่ปกคลุมด้วยฮู้ดตัวเขื่องสีแดงอย่างว่าง่าย
บางทีนั่นอาจจะเป็นทางออกที่ฉลาดที่สุด ณ ตอนนี้ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าระหว่างที่ผมเอ่อ… ขอละไว้ในฐานที่ทุกคนเข้าใจ ไม่รู้ว่าใครสังเกตเห็นบ้าง ถึงแม้แสงในร้านจะออกสลัว ๆ และโต๊ะค่อนข้างตั้งห่างกันพอสมควรก็ตาม
ผมเดินออกมาจากร้านเงียบ ๆ โดยสั่งให้สมองสนใจเพียงทางเดินข้างหน้าและในที่สุดก็พ้นจนได้
หันกลับไปมองที่ร้านเป็นครั้งสุดท้าย (ที่ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไรเพราะมองไม่เห็นข้างในอยู่แล้ว) ก่อนมุ่งหน้ายังหอของเราซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณสามร้อยเมตรเท่านั้น
ระหว่างทางผมฮัมเพลงออกมาด้วยความลิงโลดที่วันนี้เหมือนได้เพิ่มระดับความสัมพันธ์ของตัวเองกับน้องขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ชเวบอมกยู นายมันแน่ว่ะ
คิดแล้วก็เขินจัง ขอหยุดกรี๊ดใส่กำแพงบ้านใครก็ไม่รู้ข้าง ๆ นี่ก่อนสักสองนาทีนะครับ
ไม่ทันได้เปล่งเสียงระบายความอัดอั้นตันใจโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืด ๆ มาขัดจังหวะซะได้ จากที่ตอนแรกจะเพิกเฉยต่อการแจ้งเตือนสั้น ๆ นั่นแล้วสานต่อสิ่งที่หมายใจจะทำให้ลุล่วงก็เป็นอันต้องเปลี่ยนแผน
“ใครมันรัวแชทมานักวะเห้ย ถ้าไม่สำคัญพ่อ งงเลยนะค้าบ”
น้อง ♡
ให้กลับไปก่อนก็จริง
แต่เป็นคนลากนี่ออกมาเองนะ
จะไม่จ่ายเงินก่อนไปหน่อยเหรอ?
เกือบดีแล้วพี่
เกือบแล้วจริง ๆ
(sticker)
(sticker)
(sticker)
ขอลาออกจากการเป็นชเวบอมกยูสักเดี๋ยวได้ไหมครับ..
แต่อย่างน้อยวิปครีมที่เลอะปากคังแทฮยอนปลอม ๆ นั่นก็เป็นมุกที่ได้ผลเกินคาดไปเหลือเฟือแล้วสำหรับวันนี้ ถึงจะมาตกม้าตายตอนจบแต่ก็ถือว่าดีที่ครั้งนึงได้ขี่ม้าหล่อ ๆ ใช่ไหมล่ะครับ :-)
ป.ล. เรื่องวิปครีมเป็นความลับระหว่างเรา คังแทฮยอนห้ามรู้เด็ดขาดนะครับ!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in