เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Korea and I. No guide just go 2016.Kawiss.sara
ปิดทริป
  • (อย่างแรกต้องขออภัยผู้อ่าน ที่เริ่มสตอรี่ โดยการเขียนถึงการปิดทริป)
    แต่เรายังคงอยากให้อ่านชีวิตช่วงนั้น ที่นั่น ของเราจริงๆนะ :)


    ปิดทริปเกาหลี


    ชีวิตที่นั่นค่อนข้างจะไปในทางที่ดี
    แต่ก็ไม่ทั้งหมด
    ก่อนไปบอกพ่อว่าจะไปเรียนภาษาเกาหลีเพิ่ม
    (ซึ่งจริงๆแถวบ้านเรียกว่าอ้าง เรียนหน่ะใช่ แต่อยากไปเน้นพูดมากกว่า
    เรียนที่นี่ก็ดีแต่ก็ไม่ได้ใช้ เพราะคนรอบตัว มักจะพูดเกาหลีด้วยแค่ไม่กี่คำ 
    คือ อันยอง ซารางแฮ
    .. บอกแล้วว่าไม่กี่คำ)


    ตัดภาพมาที่ ความพัง ตลอดทั้งทริป
    ไฟล์ทที่บินตรงกับวันเข้าพรรษา ฝนตก รถติด (มาก)
    น้ำหนักกระเป๋าที่ชั่งไป เกิน ! (แต่นี่ยังเบ เบ)
    ไปถึงเกาหลี ผ่านตม. ภายใน 2 นาทีแบบที่ไม่คุยอะไรกับเราเลย
    (ก็แหงดิ่ แต่งตัวยังกับจะไปเดินเขาที่เกาหลี แบกเป้ใบไย๊..ใหญ่
    แล้วถือคำภีร์ไกด์บุ๊คเล่มหนา สะพายกล้องพร้อมส่องไอดอล
    ลักษณะเตรียมพุ่งไปจุดแลนด์มาร์คในโซลทันที)

    ไปถึงที่พักขาตั้งกล้องหัก (ว๊อทเดอะฟั๊ค ต้องเสียเงินซื้อกาวอีก และใครจะไปรู้ว่ามันก็ติดไม่อยู่ด้วย)
    ยังไม่พอ บรัชออน อันโปรด แตกหักยับเยิน 
    สามอาทิตย์ผ่านไป คอมพัง เสียบการ์ดไม่ได้
    บางช่วงเวลา นางก็ค้างแบบไม่สนใจเจ้าของ
    อ่ะ นี่ก็ไปซื้อที่เสียบการ์ดใหม่
    (เดินหาทั่วเขตร่วม 3 ชั่วโมง
    สรุปร้านเม่งอยู่หน้าที่พัก เดินไป 2 นาทีถึง
    จะคิดว่าเดินเพื่อเบิร์นแคลอรี่แทน เบิร์นนิดๆเกือบ 10 โลเมตรเอง)
    ยังไม่พอ ไม่กี่วันหลังจากนั้น โทรศัพท์ตกจอพัง
    การแสดงผลผิดพลาด มีแสงสีขาวขึ้นเป็นระยะๆ จุดๆ
    ..คงต้องเรียกว่าพังอ่ะ ดูอะไรไม่รู้เรื่องเลย
    (ที่พกมาแล้วไม่พังตอนนี้ก็เหลือแค่กล้องกับที่หนีบผมแล้ว ชื่นใจจริงๆหรอ)


    ชีวิตการเป็นอาสาสมัครที่ท่องเที่ยวไปวันๆ ค่อนข้างจะดี
    และชีวิตที่มีเพื่อนดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
    การได้ไปทำงานในสตูดิโอ และงานแฟชั่นแบบ งงๆ
    เพราะเพื่อนกำลังหาคนไปช่วย ก็จัดว่าดี
    (เพราะบรรดานายแบบ นางแบบ ที่ทำงานด้วย งานดีมากๆ)


    วงจรชีวิตช่วงแรกๆ ค่อนข้างเพอร์เฟ็ค
    น้ำหนักลดลง 8 โลใน 2 อาทิตย์
    (เล่น จ็อกกิ้ง 7 - 8 โล แล้วเดินข้ามเขตเป็น 10 โล
    ใครบอกว่าช้างเดินเยอะแล้วไม่ผอม
    เราผอมมาแล้ว เราไม่ใช่ช้างแน่นอน ไม่ติดซีดีละนะ)
    หลังจากนั้นก็ทำงานแบบสนุกสุดๆ
    กินอย่างที่คิดไว้เสมอว่า ที่ไทยไม่มี
    ร้านไก่ทอดคือสวรรค์อันนิพพาน ลง 8 โลได้
    ก็ขึ้น 9 โลได้เหมือนกัน (ฮัลโหล girls ! )
    ... แต่ยังคงชอบเดินเล่น จ๊อกกิ้งอยู่เหมือนเดิม
    เพราะสเก็ตบอร์ด บาสเก็ตบอล คนปั่นจักรยาน งานดีม๊ากยูว์

    การมีแก๊งสเตอร์ชาวสเก็ตบอร์ด เป็นเรื่องที่น่ารัก
    ไม่เล่นตอนลางวัน ไม่เล่นตอนเย็น ไม่เล่นตอนค่ำ
    เล่นตอนคนเค้านอนกันหมดแล้ว ไม่ใช่ตอนดึก แต่เล่นตอนใกล้เช้า
    (บอกแล้วไงว่าเค้านอนกันหมดแล้ว)
    บรรยายได้ว่าหลายๆวัน เดินๆอยู่พระจันทร์ลง พระอาทิตย์ขึ้น
     วีอาเล่ วี วี อาเล่ อยู่แบบนั้น




    อาหารเช้าที่กินทุกวัน คือซีเรียล กับขนมปังปิ้งแยมสตอเบอรรี่
    อร่อยมาก กินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าที่พัก 
    (ไม่ได้ชอบ แต่มันฟรี ไม่มีอาหารเช้าอย่างอื่น เพราะตื่นสาย กินไม่ทัน)

    ทริปนี้ไปเที่ยวน้อย
    (เพราะเวลาส่วนมาก ถ้าไม่อยู่ที่เกสต์เฮ้าส์ หรืออยู่ในสตูฯ
    ก็จ๊อกกิ้ง หรือ ไถบอร์ด กับเดาะลูกบาสชู้ตแป้นอยู่ที่สวนริมแม่น้ำฮัน)

    ... เอาจริงๆการกลับไปอยู่ครั้งนี้
    เราไปแบบ "อยู่" จริงๆ อยู่แบบเรียนรู้การใช้ชีวิตของวัยรุ่นที่นั่น

    และ เน้นเที่ยวนอกโซล เหมือนคนคูลๆฝั่งนู้นเค้าทำกัน 
    (ซึ่งบรรยากาศ และอากาศดีกว่ามาก ไปแล้วไม่อยากกลับ
    ชนิดที่อยากย้ายสำมะโนครัวไปที่นั่นมันซะเลย อากาศดีมาก
    คนก็ใจดีอีกด้วย)


    พกเงินไปแบบรวยๆ กลับมาแบบยาจก
    (ก็เหลือตังค์กลับไทย 4 พันวอน
    ประมาณ 120 กว่าบาท
    ซุปกิมจิ 1 ถ้วยยังกินที่นั่นไม่ได้เลย)

    พัฒนาการความยาจกเริ่มมาจากการเดินอยู่ดงแดมุน
    แล้วฤดูกาลลดราคา Adidas ก็โถมเข้ามาต่อหน้า
    หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย นั่งรถเมล์ไปดงแดมุน 4 วันติดเฉยๆเอง (เบลอๆนิดหน่อย)
    จำนวนความทรงจำที่เสียไป คือรองเท้า 9 คู่ และเครื่องประทินผิวอีกมากมาย
    (บอกแล้วว่ากลับมาอย่างยาจก เป็นคนไม่งก จ่ายหมด จนตังค์จะกินไม่มี)

    พัฒนาการทางภาษา ...
    ภาษาเกาหลีไม่ค่อยขยับ ฟังออก พูดคล่องขึ้นนิดนึง
    แต่ก็ยังขัดใจ เพราะไม่สามารถเม้ากับแก๊งชะนีได้คล่องอยู่ดี
    ภาษาอังกฤษ (รู้สึกแฮ็ปปี้มาก)
    ปีนี้ Volunteers ส่วนใหญ่มาจากฝั่งยุโรป 

    คือโอเค มีชาติอื่นๆผสมมาบ้าง
    (ถึงแม้แรกๆ Almost จะเป็นอเมริกา
    แต่ยุโรปก็ตีตื้นขึ้นมาแบบรวดเร็ว)
    ความดีคือ ได้สำเนียงยุโรปแบบเต็มๆ
    ซึ่งก็มีความดีสุดๆ เพราะยุโรปไม่ได้หมายความว่า
    ทวีปเดียวสำเนียงเดียว บริชตริชแอปเซ่นท์ ไม่!
    อังกฤษ สำเนียงลอนดอน กับสำเนียงเดนมาร์ก 
    หรืออังกฤษสำเนียงฝรั่งเศษ ต่างกันนะลูก
    การพัฒนาที่น่ารักคือ สามารถฟังสำเนียงยุโรป
    ได้คล่องขึ้น (มาก) ก็แน่ดิ่ นางเม้ากับเราทุกวัน
    เวลาฟังไม่รู้เรื่องนางก็สโลว์ให้
    (แต่หลังๆเม่งใส่เต็มเหมือนกูเกิดและโตมาพร้อมๆกันเลย ไฮ ! สโลว์หน่อยก็ไม่ได้)
    รู้สึกดีคือฟังแบบไม่ต้องรีเพล์ 3 รอบอีกแล้ว (ก็บอกว่าแล้วแฮ็ปปี้)


    * * ความระทมคือสำหรับเราสำเนียงยุโรปว่าฟังยาก
    (ถ้าไม่รู้ว่าฟังยากแบบไหน แนะนำให้เปิดการ์ตูน 'simpson family'




    ที่ใช้ภาษาอังกฤษดู แล้วจับสำเนียงนาง 
    แม้กระทั่งแก๊งสเตอร์ชาวฝรั่งเศษที่ใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ลอนดอน 
    นางยังพูดเลยว่า ขนาดฉันเกิดและโตที่ยุโรป
    บางทีฉันยังไม่รู้เลยว่ามันพูดอะไรของมัน ฟังไม่ออกเหมือนกัน)

    แต่สำเนียง UAE และอินเดีย ว่ายากกว่า
    เวลาฟังแล้วค่อนข้างนึกถึงชีวิตช่วงที่ฝึกงานสายการบินอยู่บ่อยๆ
    เพราะสำเนียงเหมือนๆกัน ฟังแล้ว ทวนอีก ฟังไม่ออกอีก พูดซ้ำให้หน่อย

    ภาพรวมของการใช้ชีวิตเป็นอาสาสมัครอยู่ที่นั่นตลอดเวลาเหยียบ 3 เดือน
    ถือว่าดีมากๆ ได้รู้ได้เห็นอะไรเยอะขึ้น เหมือนมองภาพแล้วใส่มิติลงไปเองได้ (โหหหหห)
    ได้มีเรื่องให้คิด มีมุมมองให้เห็น ให้เข้าใจความรู้สึกเยอะขึ้น (มากๆ)
    ได้รู้เลเวลความโตของสติปัญญา อารมณ์
    และระบบการจัดความคิด การกระทำในสมองตัวเองเยอะขึ้น
    ได้เพื่อนใหม่ๆเยอะมาก ได้คุยกับคนแปลกหน้าเยอะด้วย
    (ปกติชอบคุยกับคนแปลกหน้า คนรู้จักชอบทิ้งไว้กลางทาง ไม่รับไม่ส่งอะไรทั้งนั้น)
    ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ได้น้ำหนักกลับมาไทยเพิ่มอีก


    สตอรี่หน้าจะมาเล่าเรื่องจากคนแปลกหน้าที่เราไปคุยด้วย
    (อย่าเพิ่งเบื่อ หรือทิ้งเราโดยการอ่านสตอรี่แรกแล้ว เลิกคบไปเลย พรีส 
    คบเราหน่อย เราไม่ชอบอ่อยแค่อยากให้คบนานๆ)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in