เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
โรงงิ้วจ้านป๋อliliesmusee
Behind the Red



  • ปี 1960
    ไถวาน




           อิงแอบ สบตา ตกหล่น



            บทเพลงสั่งให้คุณร่ายรำ ส่งเสียงและร้องเต้น


            ความทรงจำถูกนำกลับมากรอฉายอีกครั้งยามนึกถึง ดนตรีบรรเลงมาถึงท่อนที่ปากหนึ่งจะเปล่งเสียง คุณฝังความลุ่มหลงไปกับเสียงอึกระทึกที่ดังก้องไปทั่วโรงละคร หวังลี่คือชื่อของคุณในที่แห่งนั้น ความหลงใหลถูกระบายเข้ามากลางอกเพียงเพราะได้สบตา ชัดเจนขึ้นทุกครั้งเมื่อแสงไฟฉายส่องไปยังเวที โครงหน้าเล็กได้รูปถูกบรรเลงแต่งแต้มไปอย่างจัดจ้าน หาใช่ว่าจะไม่น่ามองแต่อย่างไร แม้ว่าดูขึงขังในบางครั้งแต่กลับดูงดงามในคราเดียว ผืนผ้ายังคงพัดปลิวไสวไปตามจังหวะของการเคลื่อนตัว กายละอ่อนเหล่านั้นแทบจะทำให้ผู้ชมละสายตาออกไม่ได้ราวกับถูกสะกด ลีลาการแสดงยังคงดำเนินต่อไป 


           แต่ศิลปะที่กำลังเคลื่อนไหวนั่นทำให้ผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังหลงทาง






    /



              ฝนตกตลอดยามเย็น



              สีเทาถูกปาดไปทั่วกลุ่มเมฆเม็ดฝนโปรยปรายลงมาจากทั่วท้องฟ้า เสียงหยดน้ำกระทบกับสังกะสีของหลังคาดังเปาะแปะ ผมวิ่งเข้ามายังตรอกซอยแคบๆก่อนจะเข้าไปยืนหลบฝนอยู่ใต้ตึกร้านขายของชำขนาดเล็กที่เหมือนจะปิดอยู่แห่งหนึ่ง เบื้องหน้าไม่ได้สังเกตอะไรต่อมิอะไร ถึงแม้จะยังไม่คุ้นเคยกับเมืองเล็กๆแห่งนี้เท่าไรเพราะเพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน แต่ก็ขอแค่มีที่หลบฝนก็เพียงพอ คิดขำเข้าข้างตัวเองไปว่าคงไม่ใช่เพราะโชคร้าย หากถึงเวลาที่ฝนจะตก มันก็ตกอยู่ดี แต่ทว่าอย่างน้อยผมก็ไม่ใช่คนเดียวหรอกที่สายฝนไม่ปราณีหากพบว่ามีผู้ร่วมชะตาอยู่เหมือนกัน




              "ขอโทษนะครับ"ผมว่าขึ้นยิ้มๆ เมื่อต้องเข้าไปยืนเบียดใต้ร่มกับเด็กหนุ่มข้างตัว ไม่นานนักก็หยิบแว่นทรงกลมออกมาเช็ดหยาดฝนออกเบาๆ




              ใบหน้านิ่งเงียบข้างกายนั้นดูไม่คิดจะเหลียวแหล่หรือตอบอะไร มองผ่านจากรูปร่างหน้าตาแล้วก็น่าจะอายุน้อยกว่าผมอยู่พอตัว ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ความเงียบเป็นคำตอบแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจคนข้างกายที่เพิ่งวิ่งฝ่าฝนมาหมาดๆ เขาก้มหน้าลงและยืนหลบฝนต่อในความเงียบแล้วปล่อยให้คนอีกคนเข้าไปยืนหลบฝนด้วยระหว่างนั้น


            สองไหล่อิงแอบในความใกล้ชิดอุณหภูมิความชื้นของสายฝนปกคลุมไปทั่วร่าง มีเพียงเสียงของแผ่นสังกะสีจากหลังคาและเม็ดฝนที่กำลังคุยกัน พื้นที่แห่งนั้นยังคงไร้ซึ่งบทสนทนา คนยืนหลบฝนทำได้เพียงแค่รอคอย ทิ้งให้กาลเวลายังคงทำหน้าที่ของตัวมัน  หากเข็มของนาฬิกายังคงก้าวเดิน ฝนก็ควรจะหยุดตกในไม่ช้า

     


            แต่ทว่ามันคงไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อฝนก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกแต่อย่างใด



           เสียงผ่อนลมหายใจถูกแทรกเข้ามาระหว่างนั้น ผมผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ มองเม็ดฝนที่หนาขึ้นด้วยความหวังที่เหี่ยวแห้งผิดกับสภาพอากาศที่ควรจะชุ่มฉ่ำ ควรจะยอมรับได้แล้วว่าโชคร้ายนั่นแหละ หรือไม่ก็พลาดที่ไม่พกร่มมาเอง แต่ใครจะไปรู้ว่าฝนจะตกผมผ่อนลมหายใจอีกทีก่อนจะเลิกโทษสรรพสิ่งในความคิดแล้วเบี่ยงสายตาไปเหลือบมองคนข้างๆแทน เด็กหนุ่มผู้นั้นมีจมูกโด่ง ริมฝีปากโค้งกลมกลึง ใบหน้าเล็กและเรียวได้รูป แววตานิ่งสงบแต่กลับแฝงความไร้เดียงสาเอาไว้ นัยน์ตาสีเทาเข้มกลับดูเข้ากันได้ดีกับแสงจากหลอดไฟเก่าๆคล้ายคลึงกับว่าเคยพบเจอที่ไหนมาก่อน

     


           ผมครุ่นคิดได้เพียงไม่กี่วินาทีแต่ไม่นานนักแววตาคู่นั้นก็หันมาปะเข้ากับผม




    เพียงครั้งแรกที่สบตากับรู้สึกเหมือนเป็นฝ่ายถูกจ้องเข้ามาแทนเสียอย่างงั้นถ้าหากยังคงสบตามองต่อไป

    คงคิดว่าคงทำให้รู้สึกเข้าใจผิดหรือไม่ก็เป็นฝ่ายตกหล่นไปมากกว่านี้เป็นแน่ ผมหันกลับไปหาสายฝนตรงหน้าตามเดิมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เว้นเสียแต่ว่าความเงียบในอากาศคงถูกทำลายไปแล้ว






    "ติดอยู่ตรงนี้นานเลยนะครับ" ผมพูดแทรกขึ้นกลางสายฝน


    "ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในย่านนี้เอง"


    ครับเด็กหนุ่มตอบกลับมาสั้นๆ

     

    ผมยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่เลย

     


    "ผมเห็นว่าย่านนี้มีโรงละครงิ้วเล็กๆอยู่"

    คุณเคยไปดูมั้ยครับ ?”

     


    เด็กหนุ่มทำแค่เพียงพยักหน้าและตอบอืออืมไป

     


    "ค่อนข้างประทับใจนะครับ"

    ผมชอบชิงอี้มากเลย

     


    “…”

     

     

             เม็ดฝนเริ่มบางเบาลงผมเปรยขึ้นไปเรื่อยไม่รู้อะไรดลใจให้ยกเรื่องที่ตัวเองไปดูงิ้วขึ้นมา ราวกับว่าภาพจำในหัวมันผุดขึ้นดื้อๆ บทสนทนากับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันเพียงเพราะวันฝนตกไม่ควรจะยืดยาว หากไม่รำคาญกันเสียก่อนแต่อย่างน้อยก็คงหาอะไรมาทดแทนเสียงฝนที่เริ่มจะซาลงบ้าง

            เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากของตนขึ้นเล็กน้อยเมื่อตนได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายพูดเขายังคงก้มหน้าต่อแม้เพียงไม่สบตาอีก มีเพียงประโยคตอบกลับสั้นๆเป็นการรับรู้รับเห็นจากเรื่องราวของอีกฝ่าย เขาไม่ได้พูดถึงตัวเองมากนักนอกจากทำหน้าที่เป็นเพียงฝ่ายรับฟัง ทั้งสองติดฝนกันไปสักพักจวบจนเวลาเริ่มขยับจากวินาทีเป็นนาที แล้วไม่นานนักฝนก็หยุดลง เด็กหนุ่มเงยหน้ามองสภาพอากาศที่ดีขึ้นให้แน่ชัดว่าฝนหยุดตกแล้ว

     


    ฝนหยุดตกแล้ว ผมขอตัวเด็กหนุ่มพูดขึ้น

     

    ลาก่อนครับ

     

    เขาเดินจากไปพร้อมกล่าวอำลา 

    ผมกล่าวคำอำลาขึ้นเช่นกันก่อนจะมองยืนมองแผ่นหลังเล็กๆที่เดินจากไป


    มีเพียงสายฝนที่เป็นพยานรับรู้การมีอยู่ของบทสนทนาในวันนี้

     



    /


     

       
             ผมกลับไปยังโรงงิ้วเหมือนเดิมในหนึ่งสัปดาห์

             โลกของละครงิ้วเริ่มขึ้นและจบลงอีกครั้ง เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อนักแสดงโค้งคำนับและผ้าม่านสีแดงผืนใหญ่รูดบรรจบเข้าหากัน เสียงฮือฮาค่อยๆเงียบลงเมื่อผู้ชมเริ่มทยอยออกไป หลอดไฟเก่าบางตัวในโรงละครถูกปิดลงเพื่อเป็นการบอกว่าโรงละครกำลังจะปิดทำการในอีกไม่ช้า มีเพียงตัวผมที่ยังคงนั่งอยู่บนที่นั่งทีเดิม คงจะปล่อยให้ตัวเองนั่งกลั่นกรองนานไปหน่อย ดีเท่าไรที่ยังไม่ถูกไล่ออกมา

     

             ผมคิดตลกกับตัวเองก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินสำรวจบริเวณโดยรอบ มันเป็นโรงงิ้วเล็กๆที่สองเท้าคู่หนึ่งจะเดินสำรวจได้โดยทั่วในเวลาไม่นาน คิดว่าค่อยจะถามความเป็นมาจากเจ้าของดูอีกที ผมเดินสำรวจโดยรอบโรงละครก่อนจะใช้มือลูบเสาไม้ไปอย่างเบามือ ความเก่าแก่ของไม้ที่ผลุกร่อนไปตามกาลเวลาไม่ใช่ปัญหาของที่นี่หากมันยังคงสเน่ห์โรงงิ้วเล็กๆในย่านชุมชนเอาไว้ สายตาหันไปมองรอบๆก่อนจะปรายตามองไปยังผืนม่านสีแดงที่ห่อหุ้มฉากหลังเวทีของโรงละคร นัยน์ตากลับไปสบเข้ากับแสงไฟสีส้มที่เล็ดรอดออกมาจากช่องโหว่แคบๆจากหลังม่าน ชวนก่อเกิดเป็นความสงสัยภายในใจ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในที่แห่งนี้ความสนใจจึงเบี่ยงเบนไปทางผืนม่านสีแดง

     


    เหมือนความอยากรู้อยากเห็นลงไปก่อที่ปลายเท้า

    ยิ่งเริ่มเข้าใกล้ กลิ่นกำยานยิ่งหอมฟุ้ง

     


    ผมเดินลงเท้าให้เงียบที่สุดเมื่อเริ่มเข้าใกล้กับตัวม่าน สองนิ้วระหว่างชี้กับกลางค่อยๆสอดเข้าไปแหวกม่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

     

    หัวใจกับรู้สึกเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้งกับสิ่งที่ตาเห็น เมื่อความเป็นจริงถูกฉาบไว้หลังม่านสีแดงปรากฏขึ้น

     


              อิงแอบ สบตา ตกหล่น

           


              ชิงอี้ในโรงงิ้วของวันนี้นั่งอยู่หน้ากระจก เธอถอดเครื่องประดับศีรษะออกและหันข้างให้กับเศษเสี้ยวของกระจกเงาบนโต๊ะเครื่องแป้งไม้เตี้ยๆ ก่อนจะใช้มือเล็กหยิบผ้าขาวบางขึ้นมาเช็ดเครื่องสำอางออก นิ้วเรียวค่อยๆบรรจงไล้ลบสีสันบนใบหน้าไปอย่างเบามือ อากัปกิริยาอ่อนนุ่มไม่มีผิด สีแดงชาดบนริมฝีปากหลุดออกเผยให้เห็นริมฝีปากกลมกลึง ผิวขาวเนียนดั่งหยกปรากฏขึ้นเมื่อเธอเริ่มเช็ดแป้ง ภาพจำเหมือนถูกนำกลับมาฉายอีกครั้ง เมื่อชิงอี้ตรงหน้ากลับกลายเป็นเด็กหนุ่มในวันนั้น

     


               จมูกโด่งริมฝีปากกลมกลึง ดวงตาเรียว และใบหน้าที่ไร้ซึ่งการเติมแต่ง

               แววตาไร้เดียงสาที่เคยพบเจอนั้นถูกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าของ หวังลี่ 

     


    หัวใจเหมือนถูกปลุกให้เต้นรัวกับความจริงที่ซ่อนไว้

    ความรู้สึกเหมือนฟุ้งฟูขึ้นแต่ก็พร้อมที่จะร่วงหล่น

     


    และทันใดนั้นเมื่อคุณสบตาเข้ามา

    ผมรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง  




    ________________________________________________



    talk 

    collaboration  based on @txcsin_ story 

    สวัสดีค่ะ เผื่อใครงงๆ ในความคิดสำหรับพาร์ทสุดท้ายที่จ้านบอกว่าเหมือนตัวเองกลับไปอยู่ที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ก็คือเหมือนบอกกับว่าตัวเองเหมือนกลับไปรู้สึกเหมือนเห็นอี้ป๋อหรือ "หวังลี่" ในครั้งแรกนั่นเอง 

    เขาก็หลงของเขาจริงๆ


    #โรงงิ้วจ้านป๋อ



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in