เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
PK Daily : เพราะชีวิตต้องก้าวเเละกระโดดNO.W
PK DAILY 07 | เมื่อผมลงแข่งปากัวร์แต่ดันพบว่าไม่มีใครแข่งด้วย
  • ...

    "บันทึกมึนๆ ที่จะพาทุกคนไปรู้จักกับกีฬา 'ปากัวร์' กีฬาที่ไม่ทำอะไรนอกจากกระโดด เเละปีน 
    เเละก็กลับมากระโดดใหม่ ถามว่าฝึกไปเเล้วได้อะไร ได้เยอะเลยเเหละ"

    ...


    ตอนที่ 07 : เมื่อผมลงแข่งปากัวร์แต่ดันพบว่าไม่มีใครแข่งด้วย


          ครั้งหนึ่งผมเคยลงเเข่งปากัวร์

          ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมฝึกเล่นใหม่ๆ เเละมีคนเล่นเยอะมาก มีพี่คนหนึ่งที่ปัจจุบันเริ่มจะลาวงการไปแล้วประกาศผ่านกลุ่ม ผ่านคนรู้จัก ว่าจะจัดงานแข่งปากัวร์เเละฟรีรันนิ่งที่สวนสาทร 

          เป็นงานแข่งเล็กๆ ที่จัดขึ้นกันเอง เงินรางวัลไม่ได้มากมายอะไร และมีบรรดาเสื้อผ้าจากทีมต่างประเทศมอบให้เป็นของที่ระลึก

          พอถึงวันแข่ง 

          คนเล่นกีฬานี้จากทั่วสารทิศก็เดินทางมากันจนเเน่นบริเวณที่ผมฝึกเป็นประจำ ประมาณสามสิบถึงสี่สิบคนได้ มาจากลาวก็มี (ที่ลาวกีฬานี้มีจัดแข่งอย่างเป็นทางการเพราะมีคนเล่นค่อนข้างเยอะ)

          การแข่งขันของกีฬานี้แบ่งออกเป็นสองประเภทครับ

          หนึ่งคือการเเข่งวิ่งผ่านสิ่งกีดขวาง จับเวลาใครเร็วสุดชนะ

          สองคือแข่งตีลังกา ท่าใครสวย มีความคิดแปลกใหม่ก็ชนะไป

          กรรมการก็คือพี่ๆ ที่สอนผมนี่แหละคอยให้คะเเนน ตอนนั้นผมเพิ่งรู้ว่ากลุ่มพี่ที่สวนสาทรเป็นที่สุดที่คนเล่นกีฬานี้ต้องรู้จักกัน พอรู้ก็อึ้งไปพักหนึ่งเลย รู้สึกตัวเองโชคดีมากที่บ้านใกล้และได้มาอยู่มาเล่นกับระดับต้นๆ ของประเทศแบบนี้

          ......


          ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ 

          พี่มัธ หนึ่งในอาจารย์ที่สอนผมเเละหนึ่งในกรรมการงานแข่งครั้งนี้ พี่เขาเป็นคนคิดเส้นทางการวิ่งผ่านสิ่งกีดขวางในการแข่ง ตอนนั้นผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะลง เพราะเพิ่งฝึกเล่นได้ไม่นาน แต่พี่มัธบอกอย่างหนักแน่นว่าต้องลงให้ได้ อย่างน้อยก็วิ่งผ่านสิ่งกีดขวาง

          “สวนนี้เราฝึกเล่นเป็นประจำอยู่เเล้ว ได้เปรียบกว่าคนอื่นเห็นๆ จะไปกลัวอะไร”

          นี่คือสิ่งที่พี่มัธบอกผม ก็จริงของพี่เขา
     
          ผมอยู่กับสวนนี้มาก็หลายเดือน เรียกว่าเจ้าถิ่นยังได้ จะไม่ลงเเข่งในบ้านตัวเองสักหน่อยก็ดูจะแปลก แถมพี่เขายังแนะนำปรายๆ ว่าการแข่งครั้งนี้ผมควรฝึกอะไรเพิ่มบ้าง 

          มาคิดได้ตอนหลังว่ามันก็ไม่ต่างจากบอกเส้นทางการแข่งล่วงหน้าให้ไปซ้อมนี่หว่า

          ......


          เมื่อวันงานมาถึง ผมนี่โคตรจะตื่นเต้น ไม่เคยเห็นคนเล่นกีฬานี้มากเท่านี้มาก่อนในชีวิต พอคนครบพี่ที่เป็นกรรมการก็นำวอร์มอัพกันเล็กน้อยก่อนแยกย้ายกันไปปรับสภาพกับพื้นที่การแข่งที่หลายคนก็เพิ่งจะเคยมา

          การแข่งขันเเรกคือปากัวร์ข้ามสิ่งกีดขวาง กรรมการมีรายชื่อพร้อมในมือ พี่มัธ ผู้คิดเส้นทางในรอบแรกออกมาอธิบายเส้นทางการวิ่งว่าต้องผ่านอะไรบ้างกับผู้มาเเข่ง ก่อนจะขานรายชื่อแรกให้มาที่จุดเริ่มต้น

          “เริ่ม!”

          สิ้นประโยค ฝีเท้าของผู้ที่ยืนในจุดออกตัวเริ่มออกวิ่งทันที ผมมองดูบรรดาคู่แข่งที่เริ่มวิ่ง บ้างช้าบ้างเร็วสลับกัน ทึ่งกับเทคนิคที่แต่ละคนเลือกใช้ 

          จริงๆ การแข่งประเภทนี้ไม่ได้จำกัดท่าบังคับ ใครจะใช้ท่าอะไรก็ได้ ขอแค่ไปตามทางที่กำหนดก็พอ ใครซ้อมมาเยอะมาหนักจะเห็นก็ตอนนี้แหละครับ

          พอถึงตาตัวเอง ผมรู้สึกได้เลยว่ากำลังตื่นเต้นเต็มพิกัด ผมออกวิ่งจากจุดสตาร์ท กระโดดไปตามก้อนหินน้อยใหญ่เเละกระโจนขึ้นบนเเท่นปูน ลงมาวิ่งต่อกับพื้นและกระโดดต่อลอดผ่านช่องสี่เหลี่ยมขนาดพอดีตัว ก่อนจบเส้นทางด้วยการกระโดดยันตัวเองขึ้นไปหยุดยืนบนแท่นปูนอีกจุด

          ผมเกือบผ่านรอบแรกได้อย่างสบายใจในเวลาที่ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรนัก

          ที่ต้องบอกว่าเกือบ ก็เพราะผมพลาดตอนจบน่ะสิครับ

          ......


          ปัญหาของผมคือตลอดทางผมวิ่งตะกุกตะกักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมกดดันตัวเองเเละตื่นเต้นมากเกินไปเมื่อรู้ว่านี่คือการเเข่ง ระบบร่างกายเริ่มแปรปรวนไปตามสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคง

          ความลน ความรีบ ทำให้กระบวนท่าที่ฝึกมาปั่นป่วนไปหมด จิตใจผมจดจ่ออยู่กับเป้าหมายมากเกินจนลืมสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ การกระโจนขึ้นเเท่นปูนในจังหวะสุดท้ายผมรีบจนเข่ากระเเทกครูดไปกับขอบปูน แต่ไม่ได้ล้มนะครับ มันเเฉลบผ่านไป และเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็น

          ......


          การแข่งรอบที่หนึ่งจบลง รอบที่สองกำลังจะเริ่ม
     
          กรรมการกำลังออกมาบอกเส้นทางรอบใหม่ ผมชั่งใจหนักมากว่าจะลงต่อหรือออกดี เพราะทางวิ่งรอบสองค่อนข้างหนักพอควรสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งฝึกเล่นมาไม่กี่เดือน แถมผมยังตกอยู่ในสภาพนี้ด้วย เข่ากระแทกนับเป็นแผลที่พบได้บ่อยในกีฬานี้ บาดแผลไม่ได้สาหัสอะไรมาก แต่ส่งผลกระทบเยอะทีเดียว มันทำให้ข้อเข่ารับแรงหนักไม่ได้ตอนลงจากพื้นต่างระดับ ขาจะทรุดฮวบ ความเจ็บแล่นขึ้นมาบริเวณหัวเข่า และอาจพลาดได้  

          กลายเป็นว่ารอบสองผมทำได้เพียงนั่งดูเท่านั้น 

          ......


          ผมเพิ่งตระหนักได้ว่าตอนที่ผมกำลังแข่งอยู่ไม่ได้มีคู่แข่งวิ่งประกบข้างหรือไล่จี้ตูดแม้แต่คนเดียว มีแต่ผมนี่แหละที่วิ่งไปตามทางกับนาฬิกาที่กำลังจับเวลา และผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ยืนดูผมวิ่ง 

          คู่แข่งคนเดียวของผมมีอยู่คนเดียว...คือตัวผมเอง

          ......


          วันนั้นผมกลับบ้านด้วยความดีใจนะ อย่างน้อยผมก็ได้ลงแข่ง ได้พบปะผู้คนมากมายที่รักในกีฬาเดียวกัน ทุกคนสนุก แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน เป็นหนึ่งในความทรงจำดีๆ ถึงจะมีแอบเสียใจอยู่ลึกๆ ที่ดันพลาดซะได้

          นึกดูบางครั้งผมเองก็มักคิดอะไรแบบนี้บ่อยอยู่เหมือนกัน คิดว่าจะต้องวิ่งให้เร็วกว่าคนอื่น กระโดดให้ไกลกว่าคนอื่น คอยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น จนลืมว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่คืออะไร

          ผมกลับกำลังดีใจที่ตัวเองเอาชนะคนอื่นได้ 

          แทนที่จะดีใจที่ตัวเองพัฒนาขึ้นมาอีกขั้น

          คิดดูแล้วที่ผมพลาดไปในการแข่งวันนั้นก็เตือนสติผมได้ดีเหมือนกันนะ

          ......


    ไปรื้อภาพสมัยปี 2014 ในเฟสมาดู โหย ผ่านมาไกลมาก (ฮา)

    ต้องขอบคุณพี่ที่ถ่ายด้วย ถึงจะเบลอก็ตาม ทำให้มีภาพเก็บไว้ดู นึกถึงความหลังเบาๆ 


    ......

    ฝากไอจีสำหรับคนอยากเห็นภาพปัจจุบัน (ฮา)

    โพสต์ที่แชร์โดย all about parkour. (@pkdaily.n) เมื่อ




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Piti Pui (@pitipui)
เท่ห์จัง ...
NO.W (@WRUNK)
@pitipui ขอบคุณคับ :)