เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Journey to CU102royakorn
[บทนำ] ม.3 เทอมปลายสู่แผนการเรียนศิลป์-คำนวณ (2558) - Journey to CU102
  •          สวัสดีครับ ผู้เขียนชื่อ "รอยล์ บุญญากร" ครับ เราจะเล่าเรื่องราวการเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเราตั้งแต่ต้นจนจบเลย ตอนนี้เป็นบทนำ เราจะเล่าย้อนไปตั้งแต่เราใกล้ๆ จะเรียนจบ ม.3  เลย เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ใดๆ ให้กับผู้อ่านนะ ออกตัวก่อนว่าเราเขียนย้อนรอยเวลา ฉะนั้น รายละเอียดค่อนข้างจะลางๆ ข้อมูลบางอย่างอาจจะคลาดเคลื่อน ดังนั้น แนะนำว่าอ่านแบบไม่คาดหวังนะ เพราะคนเขียนใกล้จะเลขสามแล้ว อะไรหลายอย่างในตอนนั้นกับตอนนี้มันเปลี่ยนไปมากอยู่ เหตุผลที่เราเขียนคือต้องการเก็บความทรงจำในวัยเยาว์ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เราจึงอยากทำปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด เวลามันเดินไปไวจริงๆ ผู้อ่านว่าไหม? 

    บทนำ

    มกราคม - มีนาคม 2558

            ช่วง 3 เดือนนี้เรายังเรียนอยู่ ม.3 ในโครงการพิเศษภาคภาษาอังกฤษ เพื่อนๆ ในห้องของเราแทบทุกคนหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือสอบเข้า ม.4 ทั้งสอบแยกแผนการเรียนในโรงเรียนเดิมและสอบเข้าโรงเรียนดัง (ทุกคนน่าจะรู้ว่าโรงเรียนอะไร) บางส่วนก็จะไปสอบเข้าโรงเรียนเหล่าทัพ เราจำได้ว่าปีเราไม่มีใครสนใจเบนไปสายอาชีพเลย ทุกคนมุ่งหน้าเรียนต่อสายสามัญกันหมด ส่วนเราในตอนนั้นบอกตามตรงว่าไม่ค่อยได้สนใจอ่านหนังสือเลย ข้อสอบสักฉบับ โจทย์สักข้อก็ไม่ได้ฝึกทำเลย หนังสือที่จับจริงๆ ตอนนั้นมีแต่หนังสือที่ใส่กระเป๋าเป้ไปโรงเรียนในทุกๆ วัน เรียกได้ว่าเตรียมตัวน้อยสุดๆ ถ้าจะให้ไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ในห้อง ในใจเราคิดไว้แล้วแหละว่าถ้าเราสอบเข้าเรียนโรงเรียนเดิมที่เราเรียนอยู่ตอนนี้ไม่ได้ เราจะไปสมัครเรียนโรงเรียนช่าง เพราะเราแน่ใจน่าจะเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ว่าเราคงสอบไม่ติด คุณครูประจำชั้นห้องเราก็สบประมาทเราไว้อย่างดีตั้งแต่เรียน ม.3 เทอมต้นเลยว่า เราจะ"น้ำตาร่วง" เพราะสอบเข้าเรียนแผนไหนไม่ได้เลย ยิ่งเขาได้ดูใบทรานสคริปต์เราตอนเทอมต้นว่าเราติดศูนย์วิชาฟิสิกส์ เขาดูเหมือนจะยิ่งมั่นใจในคำทำนายที่เขามีให้เรา 

            แต่ทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเลวร้ายไปหมด มันเริ่มดีขึ้นตั้งแต่เราแก้ศูนย์วิชาฟิสิกส์เสร็จ ไม่แน่ใจว่าแก้เสร็จตั้งแต่ก่อนปีใหม่หรือหลังปีใหม่ แต่จำได้เลยว่าพอเริ่มเดือนมกราคม ความกลัวที่ว่าเราจะเรียนไม่จบ ม.3 มันก็หายไป แต่มันไม่ได้โล่งใจแล้วมันก็ไม่ได้เครียดเรื่องสอบเข้าด้วย ไม่รู้ว่ามีใครในนี้เข้าใจความรู้สึกนั้นของเรามั้ยนะ จากนั้น พอใกล้ๆจะสิ้นเดือน โรงเรียนเราจะมีการจัดค่ายพักแรมของกิจกรรมบังคับ (ในที่นี้คือ ลูกเสือ เนตรนารี บำเพ็ญฯ ยุวฯ) เราเรียนลูกเสือแล้วเราต้องไปเข้าค่ายที่เกาะสมุย 3 วัน 2 คืน เราบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่า "หาทำมาก" เพราะอุตส่าห์ไปตั้งไกลแต่ให้เรากางเต๊นท์ ทอดไข่ ต้มมาม่าอยู่ริมชายฝั่ง พูดได้เลยว่าไปไม่ถึงเกาะสมุย 

             ถัดมา เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนสุดท้ายในชีวิต ม.ต้น และเป็นเดือนที่เราจะต้องสอบเพื่อเลือกว่าเราจะได้เรียนแผนการเรียนไหนเมื่อเปิดเทอม ม.4   ในเช้าของวันที่สอบแยกแผน เราแต่งตัวไปโรงเรียนเงียบๆ เงียบมากๆ ไม่ได้พูดคุยสุงสิงกับใคร เพื่อนสนิทของเราในตอนนั้นเขาตั้งใจมากๆ เพราะเขาอยากสอบให้ติดแผนวิทย์-คณิต ส่วนเราไปโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะสอบติด แต่มีแผนการเรียนศิลป์ภาษาฝรั่งเศสอยู่แล้วในใจ ความรู้สึกวันนั้นมันไม่มีความเครียดในสมองเราเลยนะ มันรู้สึกเบาๆ โล่งๆ หน่วงๆ ประมาณว่าถ้าสอบได้ศิลป์-ฝรั่งเศสก็ดี สอบได้แผนวิทย์-คณิตหรือศิลป์-คำนวณก็เอา ปล่อยชีวิตให้เคว้งคว้างมาก เข้าห้องสอบแบบถอดสมองเลย ความรู้อะไรใดๆที่อยู่ในหัวตั้งแต่ติวตอน ป.6 จนถึงตอนนี้ควักมันออกมาให้หมด ขณะที่ทำข้อสอบ เสียงในหัวก็เริ่มดัง "สอบไม่ติดแล้วหลุดที่นั่งโรงเรียนเก่า เตรียมโดนด่าได้เลย" แต่เราที่นั่งกาข้อสอบในกระดาษคำตอบอยู่ก็ปล่อยผ่าน อ่านคำถามแล้วกา อ่านคำถามแล้วกา สอบ 5 วิชา ไทย คณิต วิทย์ สังคม ภาษาอังกฤษ ทั้งวันก็ทำๆไป พักเที่ยงเราก็นั่งเฉยๆ จำอาหารมื้อวันนั้นตอนพักเที่ยงได้เลยว่าเป็นข้าวเหนียวไก่ทอดกับน้ำเปล่า 1 ขวดและฟังเพลง "You're Always Here - Ashley Tisdale" ที่ดาวน์โหลดลงโทรศัพท์ซ้ำไปซ้ำมา

             เมื่อสอบแยกแผนเสร็จ ปัจฉิมเสร็จ และสอบปลายภาคเสร็จ ก็เข้าสู่ช่วงรอฟังผลในเดือนมีนาคม ทั้งผลการเรียนและผลการสอบ เราไม่ได้สนใจผลการเรียนเลยเพราะรู้แล้วว่าเกรดเฉลี่ยรวมทั้ง ม.ต้น ไม่เคยแตะ 3.00 เลยเอาใจไปลุ้นว่าจะได้เรียน ม.4 โรงเรียนเดิมหรือเปล่า สรุป ฉันสอบได้แผนศิลป์-ฝรั่งเศสสมใจอยาก 

    (ขอเท้าความก่อนว่าการแยกแผนของที่นี่จะเรียงลำดับโดยใช้คะแนนเฉลี่ยของ 5 วิชารวมกันจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด คนที่มีคะแนนมากกว่าจะได้สิทธิเลือกว่าจะเรียนแผนไหน สมมติสอบได้แผนวิทย์-คณิต แต่อยากเรียนศิลป์-คำนวณก็เลือกได้ แต่คนที่สอบได้คะแนนน้อยกว่าแล้วคะแนนไปอยู่ในกลุ่มศิลป์-คำนวณจะเลือกไปเรียนแผนวิทย์-คณิตไม่ได้ แต่เลือกไปแผนศิลป์-ภาษาได้ ส่วนคนที่คะแนนอยู่ในกลุ่มศิลป์-ภาษาแบบเราไม่มีทางเลือก สอบได้คะแนนน้อยก็ต้องเอาแผนนั้นไป)               

     แต่ทว่า...จากเสียงลือเลียงเล่าอ้างที่รุ่นพี่ที่เค้าจบ ม.ปลายจากที่นี่ไป เค้าบอกเราว่าแผนที่เราจะเรียนมันไม่ค่อยมีคนที่ตั้งใจจะเรียนจริงๆ ประมาณว่าเรียนเพื่อให้ได้อยู่ที่เดิมเฉยๆ เค้าเลยไม่แนะนำให้เราไปเรียน เราเองก็สองจิตสองใจว่าจะยืนยันเลยไหมว่าจะเอาแผนนี้แน่ๆ คือโรงเรียนเรามันจะมีให้ยืนยันสองช่วง คือ ช่วงแรกที่ผลสอบออกใหม่ๆ กับช่วงที่โรงเรียนดังในกรุงเทพประกาศผลสอบ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมโรงเรียนเราถึงจัดสอบแยกแผนก่อนจะสอบปลายภาค เพื่อให้นักเรียนมีทางเลือก  ตอนนั้นเราเลือกจะไม่ยืนยันสิทธิไปก่อน แต่ก็จองที่นั่งในแผนศิลป์-ฝรั่งเศสเอาไว้ เผื่อว่ามันจะมีโอกาสอะไรให้เราได้ลองดู จากนั้น เวลาผ่านไปอีกที โรงเรียนก็ประกาศว่ามีที่นั่งในแผนวิทย์-คณิตและแผนศิลป์-คำนวณว่างเหลืออยู่ เพราะมีคนที่เค้าสอบได้ที่อื่นสละสิทธิ์ แล้วเราก็ไปลองเลื่อนที่นั่งดูจะได้มีตัวเลือกเพิ่ม ทางโรงเรียนประกาศว่าเปิดโอกาสให้มาเลื่อนที่นั่งได้วันเดียวเท่านั้น ถ้าไม่มาก็ให้เรียนในที่ที่เราจองไว้ตั้งแต่ช่วงแรก เราไปตามวันที่นัด ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าอันดับจะเลื่อนมาถึงตัวเอง เพราะเราสอบได้อันดับท้ายๆในศิลป์-ภาษา เกือบจะหลุดไม่ได้เรียนต่อที่นี่ด้วยซ้ำ มั่นใจมากว่าเราต้องไปเสียเที่ยวแน่ๆ เพราะที่นั่งคงเต็มก่อนจะเรียกถึงชื่อเรา ปรากฎว่าเค้าเรียกถึงแล้วเราเลื่อนไปศิลป์-คำนวณ เราเลือกแผนนี้ทั้งๆที่เราจะอยู่แผนที่เราสอบได้ตั้งแต่แรกก็ได้ แต่เรามองในอนาคตว่าถ้าเราเกิดเปลี่ยนใจไปเรียนในคณะที่เค้ารับแผนอื่นที่ไม่ใช่ศิลป์-ภาษา แล้วเราจะแย่ เราจึงตัดสินใจว่าขอเลือกแผนที่เสี่ยงน้อยลงดีกว่า  แล้วมันมีตัวเลือกอีกว่าจะเรียนปกติหรือเรียน MEP คือเรียนภาษาอังกฤษกับครูชาวต่างชาติยาวๆ เลย 3 ปี ไม่ต้องเจอครูไทย (ยกเว้นวิชาแปลไทย-อังกฤษที่เราจะต้องเรียนใน ม.6) เราก็คิดว่า "ัเอาวะ เรียน MEP นี่แหละ จะได้ไม่ต้องกังวลกับเกรดวิชาภาษาอังกฤษ เพราะตอน ม.ต้น เราก็เรียนกับครูฝรั่งมา แล้วได้เกรด 4 ทุกเทอม ไหนๆก็ไหนๆละ" จากเหตุผลที่ว่ามา ทำให้เราเปลี่ยนสถานะจากว่าที่เด็กศิลป์-ฝรั่งเศส ม.4/11 สู่เด็กศิลป์-คำนวณ MEP ม.4/7 

             หลังจากวันนั้น ก็มีการมอบตัวส่งตัวนักเรียน ปฐมนิเทศเด็ก ม.4 และปิดเทอมเตรียมตัวสำหรับการเรียนใน ม.4 เทอม 1 เราคิดว่าเป็นปิดเทอมช่วงหน้าร้อนเทอมสุดท้ายที่เรารู้สึกว่าตัวเองชิวๆ จนกระทั่งเราได้กลับมาชืวอีกครั้งก็ตอนหลังฤดูกาลสอบเข้ามหาลัยในเดือนเมษายน 2561 หรืออีก 3 ปีให้หลัง ผู้เขียนจะนำเสนอเรื่องราวการเตรียมตัวและการสอบเข้ามหาลัยที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 หน้าร้อนนี้ในตอนถัดไป.

                                                                                                     รอยล์ บุญญากร, 21 ธันวาคม พ.ศ. 2568

                


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in