เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
EMILYgiftmeme
coming home
  • this Christmas



    คริสต์มาสที่มาถึงเร็วกว่าที่คาด นั่นคือความรู้สึกแรกเมื่อเจย์ต่อสัญญาณวิดีโอคอลสำเร็จและเห็นภาพคนอีกซีกโลกปรากฏผ่านจอคอมพิวเตอร์ จะว่าคาดไม่ถึงก็ไม่เชิง หลังจากระยะเวลาสามเดือนผันผ่านมาเป็นสามปี เขาได้เรียนรู้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าสามารถคาดหวังสิ่งที่ไม่คาดคิดจากเจนภพได้เสมอ คราวนี้ผู้รับบทเหยื่อมิใช่ใครอื่นไกล หากแต่เป็นแมวเพศเมียที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนตักคนเลี้ยง เอมิลี่สวมผ้าคลุมไหล่ที่มีฮู้ดสีแดงและขอบผ้าเป็นขนนุ่มฟูสีขาวแบบชุดซานตาคลอสทั่วไป เจย์สังเกตว่าเจนภพอุตส่าห์บรรจงผูกโบให้ยัยหนูอย่างสวยงามเสียด้วย ถึงจะดูเหมือนเด็กไปหน่อย แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบแมวตัวโปรดผ่านจอและโดนคนแซวว่าเหมือนแมวตะปบกล้อง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเอมิลี่จะคิดแบบเดียวกัน เจ้าหล่อนพยายามยกอุ้งเท้าตอบ ออกจะฉงนที่เห็นมนุษย์คนโปรดติดแหง็กอยู่ในจอ 

    เจนภพหัวเราะเสียงดัง ยิ้มกว้างจนตาหยีและเริ่มอุ้มเอมิลี่ขึ้นมาเต้นอย่างอารมณ์ดี ถ้าเป็นคนคนนี้ล่ะก็ เมื่อไหร่ก็เป็นคริสต์มาสได้ทั้งนั้น เจย์แก้ไขสิ่งที่คิดเมื่อครู่นี้ในใจ ถ้าเพียงแต่พี่เจนของเขาจะเห็นสีหน้าของแมวในอ้อมแขนสักนิด ไม่รู้ว่ากาลเวลาทำให้เอมิลี่อ่อนระโหยโรยแรงหรือเจ้าหล่อนเรียนรู้ว่าเปลืองแรงเปล่ากันแน่ จึงไม่ได้ออกอาการขัดขืนหรือกางกรงเล็บปัดป่ายไปทุกที่เหมือนเคย แต่ดวงตากลมโตที่หรี่ลงบ่งบอกถึงความไม่จอยสุดขีดอย่างชัดเจน 

    “สงสัยวันนี้เป็นวันดี ดูพี่มีความสุขจัง” เจย์เอ่ย หวังให้อีกฝ่ายหยุดบ้าพลังก่อนจะลืมว่าเป้าหมายคือการสนทนากับคน ไม่ใช้เต้นอวดแมว แม้จะน่ารักจนใจเจ็บก็เถอะ

    “ดีสิ มีความสุขที่ได้เห็นหน้าเจย์ เจย์ใส่เสื้อไหมพรมแบบนี้แล้วน่ารักจัง ว่าแต่หนาวมากไหม หิมะตกบ้างหรือยัง” ดูเหมือนว่าแค่เริ่มต้น อีกฝ่ายก็รัวทั้งคำตอบ ประโยคบอกเล่า และประโยคคำถามในคราวเดียว ทำให้นึกถึงที่พี่ไดว์ฟเคยวิเคราะห์ไว้เหนือถ้วยชาในบ่ายวันหนึ่ง ว่าลำดับความคิดของเจนภพเวลาพูดจานั้นตรงกันข้ามกับตอนเขียนเรียงความโดยสิ้นเชิง เจย์ที่กำลังฝึกเขียนอยู่ตอนนั้นเข้าใจในทันที ประโยค thesis statement ของนิสิตเกียรตินิยมคนดังกล่าวเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาอยากจะพูดทุกอย่างโดยไม่ต้องอาศัยการขึ้นย่อหน้าใหม่ให้แต่ละประเด็น เจย์เองเคยผ่านจุดที่ต้องไล่ตามทั้งความคิดและคำพูดจนแทบล้มคะมำมาแล้ว แต่เมื่อตัวเองเดินได้เร็วขึ้นและอีกฝ่ายก้าวช้าลง เขาก็พบว่านั่นกลายเป็นส่วนที่ทำให้เจนภพได้รับคะแนนพิเศษ แน่นอนว่าเรียงความในการสอบไม่ได้มาพร้อมนัยน์ตาสีน้ำตาลระยิบระยับและเสียงทุ้มนุ่มอย่างที่เขาได้ยินแทบทุกวันนี่ ความรักทำให้คนลำเอียงได้ถึงเพียงนั้นทีเดียว 


    “แล้วก็คิดถึงเจย์มากเลย”


    เขายังไม่ทันตอบคำถามก่อนหน้าด้วยซ้ำ จู่ ๆ เจนภพก็ส่งประโยคสรุปความมาให้โดยไม่ทันตั้งตัว ช่างไม่มีความเป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งไหล่ตกพลางถอนใจหงอย ๆ ผิดกับตอนแรกลิบลับ เขาจึงล้มเลิกการใช้ตรรกะกับทุกสิ่ง ในความสัมพันธ์ของพวกเขา เจย์สังเกตว่าจะมีช่วงเวลาแวบหนึ่งที่หากปล่อยไปก็จะสูญหายตลอดกาล มันคือเสี้ยววินาทีที่เจนภพทำให้หัวใจของเขาบีบตัวอย่างรวดร้าว ไม่ใช่ด้วยความเจ็บปวด เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายมันออกมาอย่างไร บางครั้งเวลาเขามองอีกฝ่ายตั้งอกตั้งใจแปรงขนแมว กัดริมฝีปากตอนอ่านหนังสือ หรือยืนรดน้ำต้นไม้ตรงระเบียง ในความเงียบงันเช่นนั้น หัวใจของเจย์จะมีอาการ ความอบอุ่นจะแผ่ซ่านไปถึงปลายนิ้วมือ ไม่ว่าจะอยู่ในอุณหภูมิ 33 องศาของกรุงเทพมหานครหรือท่ามกลางอากาศติดลบของลอนดอนก็ตาม มันคือความรู้สึกที่ทำให้เจนภพเขียนหนังสือทำมือยาวร้อยหน้าให้เขาในวันรับปริญญา และตอนนี้เจย์กำลังรู้สึกแบบเดียวกันนั้นอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยมขนาด 13 นิ้ว ต่างกันตรงที่ไม่อาจเดินไปกอดอีกฝ่ายให้หัวใจสงบลงกว่านี้ได้เหมือนเคย

    “ผ่านมาเกือบครึ่งทางแล้วนะครับ” เจย์ยกมือขึ้นมานับนิ้ว “เก่งเหมือนกันนะเรา”

    “เหมือนปิดเทอมใหญ่จริงด้วย” เจนภพหันมายิ้มแฉ่ง “ไม่ลองก็ไม่รู้จริง ๆ เนอะ”

    เจย์นึกถึงตอนประกาศกับแฟนหนุ่มว่าจะไปลงเรียนหลักสูตรดีไซน์ระยะสั้นที่อังกฤษเป็นเวลาเกือบปี กังวลอย่างหนึ่งว่านี่จะเป็นการใช้เวลาหลังเรียนจบแบบคนมีอันจะกินจนอีกฝ่ายอดตัดสินไม่ได้หรือเปล่า โดยเฉพาะนี่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำ มากกว่าควรทำ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ร่ำเรียนมาในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่สาขาที่คุ้นเคยและต้องอาศัยทักษะที่ไม่เคยฝึกฝนอย่างเป็นจริงเป็นจัง อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากได้สัมผัสแล้วจะรักหรือจะชัง ความกังวลอีกอย่างที่ตามมาย่อมไม่พ้นความสัมพันธ์ระยะไกล ประเด็นที่เขารู้ดีว่าเจนภพเคยฝังใจนักหนากับเรื่องรักก่อนหน้าที่จบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เจย์เข้าใจดีว่าตัวเองเป็นคนละคนและนี่คือความสัมพันธ์คนละคราว แต่ไม่มีใครทำนายได้อยู่ดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หลังจากบอกใบ้เป็นนัยอยู่เป็นสัปดาห์ สุดท้ายเจย์จึงเดินหน้าชน จุดประสงค์คือแจ้งให้ทราบมากกว่าขออนุญาต เดิมพันหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของผู้รับสารล้วน ๆ

    เรื่องของเรื่องก็คือ เจย์รู้เต็มอกว่าแม้เจนภพไม่เห็นด้วย ตัวเขาเองก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ เจย์คาดการณ์ถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด โดยหลงลืมไปชั่วขณะว่าทำไมตนเองถึงได้ตกหลุมรักคนคนนี้ผ่านบทสนทนาว่าด้วยชีวิต เงินตรา การทำงาน ความฝัน และความหวั่นไหวในแต่ละค่ำคืน เพราะสุดท้ายแล้วเจนภพก็แค่ถามถึงหลักสูตรและสถาบันที่เขาจะไปเรียน แซวว่า “พี่จะต้องรีบหาเงินมาช่วยเจย์แต่งบ้านให้สมฐานะคนเรียน interior design” และถอนใจด้วยความอิจฉาที่เจย์กล้าหาญมากพอจะฉกฉวยโอกาสและวันเวลาแบบที่เขาไม่เคยกล้า วินาทีนั้น เจย์รู้สึกได้ทันทีว่านี่ต่างหากคือสิ่งที่ยากเย็นที่สุด ไม่ใช่การผลักไสหรือฉุดรั้งเพราะกลัวว่าความรักจะร้างลา แต่เป็นการยอมรับและปล่อยมือเพราะว่าอยากให้ความรักนั้นเติบโต

    ปิดเทอมใหญ่ที่ยาวนานกว่าธรรมดา เจนภพว่าไว้อย่างนั้น เหมือนกับช่วงเวลาปลายหน้าร้อนที่เจย์ต้องกลับบ้านที่เชียงใหม่และพวกเขาไม่ได้สัมผัสกันและกันร่วมสองเดือน คราวนี้แค่เปลี่ยนจากการมีครอบครัวคั่นกลาง (ใช่แล้ว ป่านนี้พ่อของเจย์ยังคงทำเป็นไม่รับรู้การมีอยู่ของเจนภพในฐานะคนรักของลูกชายอย่างแข็งขัน) ไปเป็นมหาสมุทร ระยะทาง และเขตเวลาที่แตกต่างกันแทน ขณะนี้ล่วงเข้าเดือนที่หก ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำให้พวกเขาทำได้ทุกอย่างยกเว้นจับมือกันและอะไรมากกว่านั้นเล็กน้อย แต่รวม ๆ แล้วความห่างไกลทำให้เจย์ตระหนักว่าเขาอยู่โดยไม่มีเจนภพข้าง ๆ ได้อย่างสบาย เพียงแต่หากเป็นไปได้ เขาขอเลือกชีวิตที่มีพี่เจนอยู่ตลอดเวลาดีกว่า นั่นอาจเป็นเหตุผลที่คนเราต้องมีบ้านให้กลับไปกระมัง

    “ว่าแต่ช่วงคริสต์มาสนี่ เจย์มีแผนไปทำอะไรหรือยังนะ” 

    “พรุ่งนี้ว่าจะเอากล้องฟิล์มไปถ่ายบรรยากาศ” เจย์ตอบ “แต่เดี๋ยวเอากล้องมือถือถ่ายภาพสด ๆ ส่งมาให้ดูก่อนนอนนะ”

    “ดีแล้ว ส่งมาเมื่อไหร่ก็ได้ พี่ทำงานดึกช่วงนี้เพราะงานเร่งมากเลย” ว่าแล้วก็หาวหนึ่งที “ต้องรีบเคลียร์งานเพราะว่าวันคริสต์มาสอีฟจะไปเที่ยวงานที่โบสถ์แหละ นัดไดว์ฟไว้ด้วย” 

    “พี่ไดว์ฟบอกแล้วครับ ตอนที่แวะมาถามว่าจะฝากอะไรกลับไทยไหม” เจย์ตอบ ยังจำภาพรุ่นพี่ที่บอบช้ำจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเดินมาล้มตัวลงบนโซฟาของเขาเมื่อวันก่อนได้ดี ตั้งแต่รู้ว่าเขาจะมาเรียนที่นี่ พี่ไดว์ฟก็มักแวะเวียนมาชวนไปพิพิธภัณฑ์โน้นนี้ ไม่ก็เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำเขาอยู่เสมอ พอเล่าให้ผู้เป็นเพื่อนสนิทฟัง เจนภพฟันธงว่านั่นเป็นอาการโหยหาเพื่อนมนุษย์และวิธีหลีกหนีความจริงอันโหดร้ายของนายดิศพลไม่ผิดแน่ ทางที่ดีคือปล่อยให้ทำตามใจไป เจย์ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วเนื่องจากได้กินข้าวฟรีและตั้งวงนินทาพี่เจน

    “แล้วได้ฝากอะไรมาไหม” ต่อให้ภาพวิดีโอคอลกระตุกหรือความละเอียดต่ำแค่ไหน แต่นัยน์ตาของคนถามอย่างเจนภพเป็นประกายวิบวับอย่างชัดเจน

    “ก็มีฟิล์มที่จะฝากพี่เจนสแกนกับชาให้คุณแม่ แค่นี้เอง” เจย์ตอบ รู้สึกสนุกอย่างยิ่งที่ได้เห็นคนในจอถอนหายใจเหมือนลูกโป่งที่ค่อย ๆ ฟีบลงอย่างดราม่า 

    “เดี๋ยวจะไปบอกไดว์ฟให้จับใส่กระเป๋าเดินทางกลับมาซะเลย”

    “แบบนั้นมันจะน่ากลัวเกินไปนะครับ” เจย์ขำ

    “เฮ้อ อยากให้มาเล่นเกมที่งานด้วยกัน เจย์คือมือหนึ่งเรื่องโชคของพี่” ว่าแล้วเจนภพก็ขยับแล็ปท็อปให้กล้องถ่ายทอดภาพอาณาจักรตุ๊กตาที่อยู่บนเตียง ดูเหมือนเอมิลี่จะชอบหมอนหมีพูห์ที่เจย์ได้มาเมื่อสองปีก่อนเป็นพิเศษ 

    “มีประโยชน์แค่นี้เองสินะเรา”

    “มาทำให้คนอื่นเขาคิดถึงแล้วยังจะตัดพ้ออีก”

    คราวนี้การแสดงท่าทางหงอย ๆ เกินจริงของเจนภพทำให้เจย์หัวเราะออกมาพร้อมความรู้สึกร้อนผ่าวตรงขอบตา เขาถอยหลังห่างจากจอไปเล็กน้อย ไม่อยากให้คนไกลเห็นตัวเองน้ำตารื้นเพราะจะชวนกันร้องไห้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ความเหนื่อยล้าจากการเรียน ความหวาดกลัวอนาคตข้างหน้า ความไม่มั่นใจในฝีมือ ความกังวลว่าอีกฝ่ายจะตอบรับภาพถ่ายที่เขาเผลอส่งไปไม่รู้เวล่ำเวลาอย่างไร และแม้แต่ความลังเลว่าควรส่งข้อความไปหาดีหรือไม่ แสดงความอ่อนแอได้มากแค่ไหน เรียกร้องจากคนที่เขาเป็นฝ่ายเดินจากมาได้มากเพียงใด ทั้งหมดทั้งมวลกลั่นออกมาเป็นน้ำตาง่าย ๆ เวลาต้องบอกลาอีกฝ่ายไปอีกวัน เจย์ขยี้ปลายจมูกแดง กระแอมไอเพื่อเรียกสติอีกครั้ง รู้อยู่แล้วว่าเจนภพอ่านออกหมดว่าเขารู้สึกอย่างไร

    “เดี๋ยวต้องออกไปข้างนอกแล้วครับ” เจย์รีบพูด “อ้อใช่ คืนคริสต์มาสอีฟเจย์มีโปรเจกต์ต้องทำแล้วต้องออกไปปาร์ตี้ต่อ ถ้าไม่ได้ตอบข้อความทันทีก็ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวก่อนนอนจะมาบอกว่าถึงบ้านแล้ว” 

    “รู้แล้วครับ” เจนภพพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “อย่าดื่มเยอะ ระวังตัว แล้วก็เป็นเด็กดี ซานตาคลอสจะได้เอาของขวัญมาให้”

    เจย์ประทับใจสีหน้ายามแฟนหนุ่มพูดถึงซานตาคลอสเหลือเกิน หัวใจเขาเริ่มคันยุบยิบขึ้นมาอีกครั้ง

    “รู้แล้วเหมือนกันครับ” เจย์ยกมือขึ้นมาบ๊ายบาย “อย่างอแงล่ะ เด็กดี”

    วิดีโอคอลจบลงเหมือนตอนเริ่มต้น เจนภพอุ้มเอมิลี่มาโบกอุ้งเท้าลาและหัวเราะลั่นจนแทบหงายหลังอีกครั้ง เจย์รีบโบกมืออย่างว่องไวก่อนน้ำตาจะไหล่บ่าเป็นน้ำหลาก ต้องโทษบรรยากาศของเทศกาลที่ทำให้อ่อนไหวเป็นพิเศษ หรือไม่ก็ความเป็นคนปากหนักตามธรรมชาติของตัวเอง เสี้ยววินาทีก่อนหน้าจอจะดับลง เขาตะโกนว่า “คิดถึงนะครับ!” สุดเสียง ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายจะได้ยินทันหรือไม่ ส่วนการกล่าวย้ำอีกทีคงน่าอายเกินไป


    เมื่อกี้เจย์ว่าอะไรนะ ข้อความล่าสุดเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ


    เจย์ยิ้มจนรอยบุ๋มปรากฏบนสองแก้ม เขาส่งแค่อีโมติคอนหน้ายิ้มใส่แว่นกันแดดกลับไปให้ ก่อนจะคว้าผ้าพันคอไหมพรมที่เพิ่งแกะออกจากกล่องของขวัญเมื่อวานมาพันให้อุ่น คนที่ตั้งใจถักมันอย่างดีและฝากเพื่อนสนิทเอามาซ่อนในห้องของเขาคงยังไม่รู้ว่าของขวัญคริสต์มาสโดนหาเจอก่อนเวลาอันควร (ช่วยไม่ได้ที่ต้องใช้กระเป๋าเดินทางพอดีนี่นา) เจย์ลูบเนื้อผ้านุ่มอุ่นราวกับได้รับการโอบกอด เขาหยิบกุญแจห้องแล้วก้าวออกไปยังเมืองที่เริ่มสว่างไสวขึ้นทีละน้อยเหมือนเทียนที่ถูกจุดทีละเล่มในโบสถ์ 


  • driving home for Christmas



    family (4)

    - @divedissaphol พอดีพ่อต้องเข้าเวร ไม่ว่างไปรับแล้วนะ
    - อ้าว แล้วแม่ล่ะครับ
    - แม่ไปสวิส ไม่รู้เรื่องเลยไอ้น้องคนนี้
    - งั้นแบบนี้ไอ้คุณพี่จะมารับผมแทนเหรอ
    - บ้าแล้ว อยู่ไซต์งานที่เชียงใหม่ บอกให้กัปตันมาแลนดิ้งที่นี่สิ
    - พูดว่าให้กลับแท็กซี่เองแต่แรกก็จบเรื่องแล้วปะ 
    - ไม่ต้อง ๆ แม่เขาฝากคนไปรับแล้ว
    - อะไรอะ ฝากใคร


    ดิศพล เจริญภูมิเป็นคนไม่เชื่อเรื่องโชคลาง แต่หนังตาข้างขวาของเขากระตุกทันทีที่เปิดโปรแกรมแชทหลังจากเหยียบแผ่นดินประเทศไทยได้ไม่นานเท่าไร การนัดหมายกับครอบครัวล้มเหลวเป็นอย่างแรก เรื่องหน้าที่การงานของพ่อที่โรงพยาบาลนั้นเข้าใจได้เสมอ เช่นเดียวกับพี่สาวฝาแฝดที่เป็นวิศวกรและรอนแรมอยู่หลายที่ยกเว้นบ้าน แต่มารดาผู้ทำงานติดบ้านแทบตลอดเวลา จู่ ๆ ก็ออกไปท่องเที่ยวโดยไม่บอกกล่าว ออกจะเป็นเรื่องคาดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน เมื่อหวนคิดดูดี ๆ นั่นอาจเป็นความผิดฐานละเลยไม่ใส่ใจของเขาเองก็เป็นได้ ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เขาเหมือนคนละเมอเดินที่ถูกจิตใต้สำนึกบงการให้เดินไปมหาวิทยาลัย เลี้ยวเข้าห้องสมุด เข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษา กลับมาเขียนวิทยาพนธ์เพื่อจะได้กลับไปยังมหาวิทยาลัย วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาจนแทบลืมวันลืมคืน ข้อมูลอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาการถูกแยกไว้อีกโฟลเดอร์หนึ่ง เก็บเข้าลิ้นชักไว้ดูทีหลังโดยที่ “ทีหลัง” ไม่เคยมาถึง แม้แต่คนอย่างเจนภพยังเลิกก่อกวนเขาอย่างมีนัยสำคัญ เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรรู้สึกขอบคุณหรือโหยหาดี

    ดิศพลก้มลงมองข้อความล่าสุดของตัวเองในกลุ่มครอบครัว สถานะขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่ยังไม่มีใครตอบคำถามของเขาสักคน เขารู้สึกว่าตาขวากระตุกแรงขึ้นกว่าเดิมอีกตอนที่โทรศัพท์สั่นเพราะมีข้อความใหม่เข้ามา ในใจนึกฝันว่าถ้าซื้อลอตเตอรี่งวดนี้ก็อาจจะมีโอกาสชนะรางวัลกับเขาบ้าง คนที่แม่ฝากฝังให้มารับเขาได้ บนโลกนี้มันจะสักกี่คนกันเชียว 


    tim assavakul: ถึงแล้วใช่เปล่า
    tim assavakul: รออยู่ตรงไหน เดี๋ยวไปหา


    ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นทิมมีผมสีดำตามธรรมชาติน่าจะเป็นวันสุดท้ายของชั้นมัธยมหก ส่วนครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเห็นหน้าค่าตากันคือเมื่อเกือบสามปีก่อน หลังจากจบทริปอิตาลีตอนเหนือ ทิมไม่ได้พลาดรถไฟเที่ยวที่ดิศพลโดยสารไปลอนดอนเมื่อหน้าร้อนจบลง แต่เป็นเพราะดิศพลเองต่างหากที่ออกเดินทางล่วงหน้าโดยไม่ได้บอกใคร เวลาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับจะถมความเงียบงันและว่างเปล่าหลังจากนั้น เขารู้แค่ว่าทิมเรียนจบในปีถัดมาและกลับมายังบ้านเกิด ส่วนเขามัวง่วนอยู่กับการเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่ลอนดอนดังเดิม ชื่อของอีกฝ่ายแว่วมาให้ได้ยินบ้างนาน ๆ ครั้งในบทสนทนาเรื่อยเปื่อยกับแม่ ดิศพลคาดว่าทิมเองก็น่าจะได้ยินความเป็นไปของเขาผ่านช่องทางเดียวกัน ส่วนเรื่องราวอื่นใดนอกเหนือจากนั้นไม่มีอยู่จริง

    ต้องโทษที่เขาเอาของติดตัวมาจากอังกฤษน้อยชิ้นเกินไป นอกจากเป้สะพายหลังหนึ่งใบกับกระเป๋าลากขนาดเล็กก็ไม่มีอย่างอื่นอีก ทิมยืนเก้ ๆ กังๆ ด้วยความหวังว่าจะช่วยถืออะไรสักอย่างแก้เก้อ แต่ว่าต้องผิดหวัง พวกเขาเดินไปยังที่จอดรถ ดิศพลต้องใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายเพิื่อยับยั้งตัวเองไม่ให้วิจารณ์คนที่เอามินิคูเปอร์คันเล็กมารับคนที่สนามบิน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ที่สำคัญคือคำบ่นแสนเนรคุณแบบนั้นกลับทำให้ทิมหัวเราะคิกคักเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าแกล้งเพื่อนสำเร็จ และเพื่อนคนนั้นก็อยู่ในสถานะที่ตอบโต้อะไรไม่ได้เสียด้วย

    "เรารู้หรอกน่าว่าไดว์ฟไม่เอาของมาเยอะหรอก" ทิมช่วยเขาจัดวางกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถ "แต่ก็แอบกลัวแหละว่าจะขนหนังสืออ้างอิงหนา ๆ มาเต็มกระเป๋าแทน ยกไม่ไหว"

    "เดี๋ยวนี้เขามีฐานข้อมูลออนไลน์กับคินเดิลกันแล้วคุณ" เขาอดเถียงกลับไม่ได้จริง ๆ ไม่มีวัน 

    "ช่วงวันหยุดแบบนี้ก็พักบ้างเถอะคุณ" ทิมย้อน "ขึ้นรถดี ๆ ล่ะ ระวังหัวโขก"

    จู่ ๆ ช่องว่างนั้นก็พลันหายไป ดิศพลสงสัยว่าคนข้าง ๆ กำลังขับรถที่มุ่งหน้าไปสู่อดีตหรือไม่ ไม่ใช่แค่สองปีที่สาบสูญนั่น แต่เป็นบรรยากาศคุ้นเคยระหว่างคนที่รู้จักกันตั้งแต่ยังไม่เกิด ผ่านไปราวสิบนาทีได้ เขาถึงเพิ่งนึกออกว่าไม่เคยนั่งรถที่ทิมขับมาก่อน อีกฝ่ายถามแทรกความเงียบขึ้นมาว่าเขาอยากฟังเพลงอะไร ก่อนที่จะลงเอยด้วยการสลับกันเลือกคนละเพลง เขาเพิ่งรู้ว่าทิมก็ชอบ Billie Eilish เหมือนกัน ช่วงหนึ่งดิศพลเผลอร้องเพลงคลอระหว่างชมวิวข้างทางแสนน่าเบื่อ นั่นทำให้บทสนทนาหันเหไปยังเรื่องวงดนตรีของมหาวิทยาลัยที่เขาเคยเป็นหัวหน้านักร้อง — กล่าวคือ เรื่องแล้วเรื่องเล่าหลั่งไหลออกมาเหมือนตาน้ำผุดในธรรมชาติ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ใคร่สนใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายชอบฟังเพลงอะไร มีเรื่องสัพเพเหระแบบไหนในชีวิตบ้าง ดิศพลตระหนักถึงความตลกร้ายของสถานการณ์ เขาอวดอ้างกับตัวเองมาตลอดว่ารู้จักชีวิตข้างในของทิมดีเสียยิ่งกว่าเจ้าตัว แต่กับเรื่องอื่นๆ เขากลับหลงทางโดยสิ้นเชิง

    "ไดว์ฟอยากแวะกินข้าวก่อนไหม ต้องออกไปหาเจนกี่โมงนะ"

    "เดี๋ยวหาอะไรในบ้านกิน" เขาตอบ "นี่แม่บอกแม้แต่เรื่องเรานัดเจนเลยเหรอ"

    "เปล่าเหอะ เราก็คุยกับเจนสิ ถึงได้รู้" 

    "เออ" เขาพลาดอะไรไปไม่น้อยจริง ๆ หากนำเรื่องนี้มาพิจารณา "เฮ้ย นี่อย่าบอกนะว่าจะไปด้วย"

    "อ้าว เราต้องขับรถให้ไดว์ฟไม่ใช่เหรอ"

    "เดี๋ยวโทรเรียกเจนมารับ"

    "เจนต้องขับพาที่บ้านไปงานนี่นา จะไปนั่งเบียดกับบ้านเขาหรือไง"

    ดิศพลถอนใจเฮือกใหญ่ เพื่อนสนิทของเขาข้ามกำแพงกลับมาเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ส่วนเขายังนั่งอยู่ตรงนี้ จ้องหน้ากับกำแพงที่ว่า โอกาสเคยผ่านมาแล้วผ่านไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาไม่คิดฉกฉวย วิถีทางของเขาคือปลูกผักปลูกหญ้าอยู่ข้างกำแพงนั้นตลอดไป 



    เจนภพกระโดดเข้ามากอดเหมือนหมาตัวใหญ่ของอาจารย์ที่ปรึกษาเวลาเขาไปเยี่ยมบ้าน ดิศพลยกมือไหว้พ่อแม่ของเพื่อนอย่างทุลักทุเล เนื่องจากพวกผู้ใหญ่แยกตัวไปหาคนรู้จักและเที่ยวชมงานเอง จึงเหลือแค่พวกเขายืนเคว้งกันอยู่สามคน เจนภพพูดไม่หยุดตั้งแต่บ่นคิดถึงแฟนไปจนถึงเรื่องซื้อกองทุนรวมโดยมีทิมยืนยิ้มกริ่มขณะมองดูสถานการณ์โปรด หากตัดภาพดังกล่าวออกมาโดยไม่คำนึงถึงช่วงเวลาแล้วล่ะก็ นี่อาจลวงตาได้ว่าตอนนี้คือเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เจนภพกับทิมเป็นแฟนหนุ่มของกันและกัน หาไม่แล้วก็ย้อนไปไกลกว่านั้นตอนที่สองคนนี้เพิ่งรู้จักกันใหม่ ๆ ในฐานะเพื่อนของเพื่อน กล้องซูมเข้าไปให้เห็นว่าเจนภพยืนเถียงกับเขาไม่เลิกรา ไม่รู้ตัวเลยว่าทิมมองมาด้วยสายตาอ่อนโยนจนเขาเผลอสบถคำว่า "ฉิบหาย" ในใจ 

    แต่ตอนนี้ สิ่งเดียวที่พอจะแยกชั่วขณะปัจจุบันออกจากอดีตได้ อาจเป็นตอนที่ดิศพลหันไปหาอีกฝ่ายด้วยความเคยชิน ไม่ได้คาดหวังว่าทิมจะตอบรับสีหน้าเอือมระอาหรือเข้าใจสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ส่งไป เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังขำปนเอ็นดูกับพลังที่เหลือล้นของแฟนเก่าเหมือนเคย แต่เปล่าเลย ทิมยิ้มร่าให้เขาก่อนที่จังหวะสบตาจะมาถึงเสียอีก รอยยิ้มซุกซนนั้นกว้างขึ้นไปอีกเมื่อดิศพลคิดว่าตัวเองน่าจะหลุดทำหน้าเหลอหลา เขาแทบจะเห็นกราฟิกคำว่า "ฉิบหาย" ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าแบบในรายการวาไรตี้ที่ชอบดูเลยทีเดียว

    "เจน พูดเยอะไม่หิวน้ำบ้างเหรอ" ทิมว่า "ไปซื้อน้ำให้หน่อยดิ สามแก้วเลย" 

    ไม่รู้เพราะทิมยื่นแบงก์ให้โดยไม่รีรอหรือเปล่า เจนภพถึงได้วิ่งร่าเริงไปยังซุ้มขายน้ำอย่างว่องไว

    "ร่ำรวย เลี้ยงเพื่อน" แน่นอนว่าดิศพลต้องฆ่าเวลาด้วยบทสนทนาอะไรแบบนี้อยู่แล้ว

    "ไดว์ฟ โค้กแก้วละยี่สิบ"

    "แต่จริง ๆ แล้วกิจการก็ไปได้ดีหรือเปล่า"

    "ก็ดีนะ แต่ตอนนี้สนใจเรื่องดีไซน์มากกว่าเรื่องบริหารอีก" ทิมขำ ที่บ้านของเขาทำธุรกิจจิวเวลรี่กับออกแบบเครื่องประดับต่าง ๆ "แม่ชอบแซวว่าส่งไปเรียนผิดสายหรือเปล่า"

    "ทำไมเด็กบัญชีถึงหันมาเป็นนักออกแบบกันหมด เรางงเหมือนกันตอนน้องเจย์ไปเรียนด้านนี้ที่อังกฤษ" ดิศพลตั้งข้อสงสัย ก่อนจะชะงักเมื่อเอ่ยชื่อบุคคลที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ขึ้นมา "โทษที ไม่ได้จะพาดพิงเขา"

    ทิมไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา นอกจากยิ้มบาง ๆ ให้ "เราว่าไดว์ฟต้องอัปเดตผังความสัมพันธ์ใหม่ด่วน ๆ เลย" ว่าแล้วก็เอื้อมมือมาบีบบ่าให้กำลังใจเขา "เรากลับมาเป็นเพื่อนกับเจนได้ เพราะเรากับเจย์ไม่ได้เกลียดกันเหมือนในละครสักหน่อย ถึงตอนแรกจะมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันบ้าง แต่พอกลับไทยมา ได้เจอกัน ได้นัดกินข้าวกัน ได้เคลียร์กันก็โอเคไปทีละนิดแหละ ยิ่งเราเป็นรุ่นพี่เจย์ด้วย พาไปเลี้ยงขนมกับให้คำปรึกษาเรื่องเรียนแค่นี้ก็ดีกันแล้ว" 

    ดิศพลรู้สึกเหมือนตัวเองหลับข้ามทศวรรษเหมือนริป แวน วิงเคิลแล้วตื่นมาเจอโลกที่เปลี่ยนไป ตลอดช่วงเวลานั้น ชื่อทิมไม่เคยหลุดรอดจากริมฝีปากของเขา พอ ๆ กับที่เขาระมัดระวังไม่ให้คนอื่นเอ่ยชื่อนั้นออกมาโดยไม่จำเป็น จู่ ๆ ความเป็นจริงก็ตีแสกหน้าเหมือนลมหนาวที่มาปะทะโดยไร้สัญญาณเตือน เขายังอยู่ที่เดิมเสมอ ทุกครั้งที่ทิมยิ้ม เขาจะกลับไปเป็นเด็กมัธยมใส่กางเกงขาสั้นที่รอกลับบ้านพร้อมกันหลังเรียนพิเศษ เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ทิมร้องไห้ เขาจะนึกถึงประโยค "เลิกกันแล้ว" เสียงสั่นเครือและกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เจือในลมหายใจ 

    "มาแล้ว!" เจนภพโผล่เข้ามาอีกครั้ง หลังจากแจกจ่ายแก้วน้ำให้ เขาก็เอาหมวกซานตาคลอสที่ไปเอามาจากไหนก็ไม่ทราบสวมลงบนศีรษะของแต่ละคนเสร็จสรรพ "คุยอะไรกันอยู่เหรอ"

    "อัปเดตชีวิตให้ไดว์ฟฟัง" ทิมชิงตอบ "มัวแต่เรียนหนังสือทั้งวันทั้งคืนจนไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว"

    "สงสัยจะจริง" เขารู้สึกว่าน้ำอัดลมรสชาติจืดจางในปากขึ้นมาทันที "ทุกคนทำงานทำการ ไปไหนต่อไหนกันแล้ว แต่เรายังมีสถานะเป็นนักศึกษาอยู่เลย"

    ดิศพลพูดไปตามความจริงเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการคำปลอบโยนอื่นใด แต่ในเมื่อเขาอยู่กับนักปลอบใจคนอันดับหนึ่ง รู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกเจนภพรวบกอดจากข้างหลัง แถมยังเอาหัวมาถูไถเหมือนแมวขนาดยักษ์อีกต่างหาก คนที่เดินผ่านไปผ่านมาน่าจะรู้สึกขบขันไม่ก็กระอักกระอ่วนกับสิ่งที่เห็นจนต้องเดินหนีแน่ ๆ เพราะกลัวน้ำในแก้วกระฉอก เขาจึงไม่กล้าออกอาการขัดขืนมาก

    "เส้นทางของไดว์ฟแค่ไกลกว่าคนอื่นเอง แต่เดี๋ยวก็ถึงจุดหมายเหมือนกัน" เจนภพจับตัวเขาโยกไปโยกมา "ใช้เวลาไปถึงนานกว่าไม่ได้แปลว่าประสบความสำเร็จน้อยกว่าคนอื่นเสมอไปนี่ ถ้าพรุ่งนี้เราเปลี่ยนเป้าหมายบ้าง เราก็จะไปช้าที่สุดในกลุ่มอีกหน แต่ไม่เห็นเป็นไร ยังไงก็อยู่ด้วยกันตรงนี้"

    "เจนนี่มันเจนจริง ๆ เลย" ทิมว่า "นี่ เราขอกอดบ้างดิ"

    ท้องฟ้ามืดสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แสงไฟรอบ ๆ จึงเปล่งแสงระยิบระยับแทนดาวที่ถูกกลบบนฟ้า นั่นเป็นภาพเดียวที่ดิศพลเห็นในเวลานั้น เขาได้ยินเสียงวงดนตรีเล่นเพลง Holy Night ซึ่งไม่น่ากึกก้องมากพอจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นโครมคราม เพราะทิมกอดเขาแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ส่วนสูงที่ต่างกันพอสมควรจึงอาจทำให้เขาโกหกไม่ได้หากอีกฝ่ายตั้งใจฟัง  — ตึ้กตั้ก ตึ้กตั้ก ท่วงทำนองสะท้อนในหู มนุษย์ไร้อำนาจควบคุม ช่างน่าอายเหลือเกิน



    "ง่วงหรือยัง ตาปรือแล้วเนี่ย"
    "นิดหน่อย"
    "ไม่นิดแล้ว นี่อึดมากนะ ตั้งแต่ลงเครื่องมายังไม่ได้พักเลย"
    "ตารางนอนพังจนไม่รู้ว่าต้องนอนยังไงแล้วเหมือนกัน"
    "มาเร็ว เจนจะไปเข้ามิสซาแล้ว กลับบ้านกัน"

    กลับบ้านกัน เขาเดินตามทิมไปที่รถหลังจากโบกมือลาเพื่อนสนิทที่เข้าโบสถ์พร้อมครอบครัว แม้จะอ่อนระโหยโรยแรงกันทั้งคู่ แต่เพลย์ลิสต์เพลงเกาหลีที่เจนภพแนะนำก็ทำให้พวกเขาประคองสติกลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย ดูเหมือนว่าเวลายี่สิบหกปีจะดำเนินมาเพื่อให้ถึงนาทีที่พวกเขาโยกหัวประกอบเพลงที่ฟังไม่เข้าใจความหมายไปพร้อมกัน 

    "เมอร์รี่คริสต์มาสนะไดว์ฟ" 
    "อือ เหมือนกัน ขอบคุณที่มาส่ง"
    "ไม่เป็นไร ไปละ"
    "เดี๋ยวก่อนดิ"

    ทิมที่กำลังจะเข้าไปนั่งในรถชะงัก จากนี้ดิศพลจะโทษอาการเจ็ตแล็กของตัวเองก็แล้วกัน

    "มากินกาแฟสักแก้วก่อนแล้วค่อยไป"


    สีหน้าของทิมในขณะนั้นน่าจะประทับลงในความทรงจำของเขาไปอีกเนิ่นนาน เหมือนสีหน้าของเจนภพตอนเขาเข้าไปทักครั้งแรกสมัยมัธยมต้น เหมือนรอยยิ้มกว้างของคนในกลุ่มเหนือหม้อชาบูในวันสอบกลางภาควันสุดท้าย เหมือนสายตาที่แม่มองมาเวลาเขาหันไปหา ทิมปิดประตูรถอย่างงง ๆ แต่ก็ก้าวนำหน้าไปด้วยความคุ้นเคยกับสถานที่ ดิศพลเดินตาม พลางรำพึงในใจว่าบางทีหนทางกลับบ้านที่แท้จริงอาจเริ่มต้นที่ประโยคเฉิ่มเชยประโยคหนึ่งก็เป็นได้ 


  • I'll be home this Christmas




    แตงโม เด็กหนุ่มวัยสิบห้าย่างสิบหกเดินลงมารินน้ำใส่แก้วที่ชั้นล่างพอดี ตอนที่แรมโบ้ เจ้าหมาแก่ที่ผูกไว้นอกบ้านเห่าขึ้นมาเสียงดัง ปกติแล้วมันจะเงยหัวขึ้นมาทำหน้าที่บ้างนาน ๆ ครั้งก่อนฟุบลงไปนอนต่อ แต่เนื่องจากตอนนี้เวลาห้าทุ่มกว่า ถ้าหากปล่อยให้ยืดเยื้อ เสียงผสุรวาทอื่น ๆ อาจตามมาจนทำให้อาม่ามองหน้าคนในชุมชนไม่ติดไปอีกหลายวัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเลื่อนประตูบานเฟี้ยมของห้องแถวออกเพื่อไปดุหมาและสำรวจว่าอะไรคือต้นเหตุ ภาวนาให้แรมโบ้เห่าลมเห่าฟ้าเพราะหลอนไปเอง มากกว่าบังเอิญเห็นโจรยกเค้าหรือคนร้ายทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ในคืนคริสต์มาสอีฟแสนสงบ

    "ก็พี่ลืมไปสนิทเลย" เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาก่อนจะทันเห็นตัว "ไม่เอาล่ะ ไม่อยากไปรบกวนบ้านเขา ต่งไม่อยู่บ้านด้วย ดึกแล้วให้ไปเยาวราชตอนนี้ไม่น่าเวิร์ก เดี๋ยวนั่งรอหน้าบ้านก็ได้ โอ๊ย ยุงกัด"

    ชะโงกหน้าออกไปเห็นเงาตะคุ่มของผู้ชายตัวสูงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านของเขา แตงโมเพ่งสายตาผ่านเลนส์แว่นหนาเตอะ มองออกราง ๆ ว่าอีกฝ่ายมีกระเป๋าเดินทางแบบลากอยู่ข้าง ๆ และกำลังเอนตัวพิงประตูบ้านของพี่เจนภพซึ่งปลอดคนในตอนนี้ เขารีบส่งเสียงชู่วเพื่อเอ็ดแรมโบ้ให้หยุดขู่ และนั่นทำให้บุคคลปริศนาหันมาเจอแล้วโบกมือให้แทบจะทันที การได้เห็นพี่เจย์วิ่งเหยาะ ๆ มาหาใต้แสงไฟสีส้มสลัวออกจะเหนือจริงไปหน่อย จนแตงโมอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะฝันไม่ก็อ่านหนังสือมากจนเพี้ยนไปแล้ว ก็พี่เจนเพิ่งบอกตอนเรียนพิเศษเมื่อวานนี้หยก ๆ ว่าคิดถึงแฟนที่อยู่อังกฤษแค่ไหน แถมยังบ่นกระปอดประแปดที่ปีนี้พวกเขาไม่ได้ไปเที่ยวงานคริสต์มาสด้วยกันอีก แต่ลักยิ้มบุ๋มบนแก้มขาว ๆ และรูปลักษณ์ที่เหมือนจะเปล่งรัศมีเรืองรองออกมาเพียงแค่ยืนเฉย ๆ ไม่มีทางเป็นใครอื่นได้แน่

    "พี่เจย์ มาได้ไงฮะ" เขาถามอย่างตื่นเต้น หน้าตาของแตงโมตอนนี้คงตลกพิลึก คนโตกว่าถึงได้ขำนัก

    "เครื่องบินไง" พี่เจย์ตอบหน้าตาย บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจมุมกวนโอ๊ยแบบซื่อ ๆ ของอีกฝ่ายเลย เมื่อปีก่อนพี่เจย์เป็นคนติวคณิตศาสตร์เพื่อสอบเข้ามัธยมปลายให้เขา นั่นเป็นครั้งแรกที่แตงโมได้สัมผัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ไม่สมบูรณ์แบบของชายผู้สมบูรณ์แบบคนนี้ เขาแอบคิดว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่พี่เจย์เข้ากันกับพี่เจนผู้ใช้ชีวิตเปิ่น ๆ เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์และเป็นการเป็นงานอย่างน่าทึ่งหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้
    "ล้อเล่นน่ะ จองตั๋วกลับมาวันนี้ตั้งแต่บินไปโน่นแล้ว แค่ไม่ได้บอกพี่เจนเฉย ๆ "

    "อ๋อ" แตงโมถึงบางอ้อ "เซอร์ไพรส์นี่เอง"

    "เลยโดนเซอร์ไพร์สกลับเลย" พี่เจย์บุ้ยใบ้ไปยังบ้านฝั่งตรงข้ามที่ปิดไฟมืดสนิทและไม่มีรถจอดอยู่เหมือนเคย "สงสัยว่าปีนี้จะไปมิสซากันหมด แล้วพี่ก็ลืมว่าพิธีมันเริ่มเที่ยงคืน" 

    "อ๋อ"

    "แล้วเจมส์ดันกลับบ้าน คนดูแลหอก็หลับแล้ว พี่เลยไปเข้าไปรอที่ห้องก่อนไม่ได้"

    "โอ้โฮ แบบนี้พี่เจย์ไปบ้านญาติแล้วมาเซอร์ไพรส์พรุ่งนี้ดีไหมฮะ"

    "ไม่ล่ะ" ชายหนุ่มก้มหน้าถอนใจ ก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาอีกครั้งด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่แตงโมคิดว่าตัวเองไม่เคยเห็นมาก่อน "ไว้สักวันแตงโมชอบใครมาก ๆ ก็จะเข้าใจเองว่ารอได้ เพราะไม่อยากรอแล้ว"

    เรื่องนั้นอาจจะยังไกลตัวหรือยากเกินกว่าเด็กมัธยมสี่จะเข้าใจได้ไปหน่อย แตงโมไม่มีปัญหาอะไรกับส่วนที่ว่า "ถ้าชอบใครมาก ๆ " เพราะพอจะจินตนาการได้ทั้งรูปร่างหน้าตาของใครคนนั้นและความรู้สึกที่เขาบันดาลให้ แต่ส่วนที่บอกว่า "รอได้ เพราะไม่อยากรอแล้ว" นั้นดูขัดแย้งและคลุมเครือจนต้องขมวดคิ้ว เขาได้ยินเสียงพี่เจย์หัวเราะเก้อ ๆ อีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพราะเขาหลุดทำหน้าตลกอะไร แต่เป็นเพราะพี่เจย์ดูจะขำที่ตัวเองเริ่มพูดจาเหมือนพี่เจนภพเข้าไปทุกวันมากกว่า ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันแบบนั้น เด็กดีมารยาทอย่างเขาจึงต้องเชื้อเชิญผู้ใหญ่ที่ไม่มีที่ไปให้มารอในบ้าน ไม่อย่างนั้นหนุ่มนักเรียนนอกอาจจะโดนยุงหามก่อนได้เจอแฟนหนุ่มแน่ ๆ





    "พี่เจย์ใส่ทุกอย่างเลยไหม"
    "อือ เอาหมดเลย ขอบคุณครับ"

    หมดเลย ที่ว่าก็คือไส้กรอก แฮม หมูสับ และไข่ไก่ที่เตรียมใส่ลงไปในหม้อต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อน แตงโมยังนั่งแก้โจทย์เลขอยู่ในห้องนอนโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ตอนนี้ไม่นึกเลยว่าการถามไถ่แขกผู้มาเยือนว่ากินอะไรมาหรือยังจะนำพาเขามาถึงหน้าเตาแก๊สในครัวได้ ถ้าอาม่าเดินลงมาพบเข้าก็คงแปลกใจที่เขาไม่เพียงแต่ทำอาหารมื้อดึก แต่ยังเป็นอาหารมื้อดึกเพื่อคนอื่นอีกต่างหาก ตอนแรกพี่เจย์ตอบอ้อมแอ้มว่ากินข้าวที่สนามบินเมื่อบ่ายมาแล้ว แต่ว่าจะรอกินมื้อค่ำกับบ้านพี่เจน เสียดายตรงที่แผนล่มไม่เป็นท่าเสียก่อน พอแตงโมเห็นหน้าตาอิดโรยของอีกฝ่ายที่บินข้ามทวีปด้วยความตั้งใจอันแรงกล้า เขาจึงเดินไปหยิบบะหมี่รสต้มยำหมูสับสามห่อมาแกะแล้วโยนลงหม้อ พี่เจย์ที่นั่งเหลวอยู่บนโซฟาทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นเครื่องปรุงหอมฉุย

    แตงโมใช้ผ้าจับหูหม้อแล้วยกออกมา ส่งสัญญาณให้พี่เจย์เอาหนังสือพิมพ์เก่า ๆ มาวางรองบนโต๊ะรับแขกตัวเตี้ย หลังจากแจกจ่ายชามแบ่งและตะเกียบ เขาก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นและเอื้อมไปคีบเส้นบะหมี่ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ขณะที่พี่ชายมาดดีบนโซฟาตั้งหน้าตั้งตาสูดเส้นอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ปิดบังอาการหิวโหยหรือรักษาภาพลักษณ์อะไรทั้งสิ้น เขาเคยได้ยินญาติผู้น้องของพี่เจย์หาว่าพี่เป็นคนขี้เก๊กเวลาเจอคนแปลกหน้าและขี้อ้อนเป็นบ้าเวลาต้องการอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่สำหรับเด็กแถวบ้านอย่างแตงโม ความทรงจำแรกที่มีต่อคนในคำถามไม่ได้เป็นอย่างที่ได้ยินมา วันนั้นพี่เจย์ในชุดนิสิตมีสีหน้าตระหนกเมื่อมาถึงโรงพยาบาล ท่าทางตอนประคองพี่เจนที่หลังเดี้ยงจนเดินไม่ไหวนั้นแฝงด้วยความห่วงใยไร้การปิดบัง มีแต่คนเจ็บเท่านั้นที่มองไม่เห็น แล้วไหนจะตอนแรมโบ้วิ่งกวดแมวเอมิลี่ของพี่เจน  พี่เจย์ที่ตามมาเจอเหตุการณ์ภายหลังแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงฉากระเบียงฝั่งตรงข้ามที่แตงโมไม่ได้ตั้งใจจะเห็น แต่ดันเห็นบ่อย ๆ อีก พอได้มารู้จักกันมากขึ้นในแต่ละปี พี่คนนี้ก็ดูมีอะไรมาให้แปลกใจอยู่เรื่อย 

    "พี่เจย์ มันยากหรือเปล่าฮะ" พอคิดเรื่อยเปื่อยตอนดึก แตงโมเลยพลั้งปากออกไปได้ง่ายเกินเหตุ

    "หือ อะไรยาก เรื่องเรียนเหรอ" 

    "เปล่า" กลายเป็นคนถามที่กระอักกระอ่วนใจเอง "เรื่องที่ชอบพี่เจน ไม่สิ คบกับพี่เจนน่ะฮะ"

    พอพูดออกไปแล้วถึงได้รู้ว่าอาจจะเสียมารยาทไปหน่อย แต่คนโดนถามไม่ได้มีท่าทีเคืองกันแต่อย่างใด พี่เจย์แค่ส่งเสียงครุ่นคิดระหว่างรีบเคี้ยวอาหาร ก้มหน้าและขมวดคิ้วไปด้วยเหมือนกำลังเรียบเรียงความคิดอยู่ แตงโมเคยได้ยินพี่เจนภพพูดบ่อย ๆ ว่าบางครั้งก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าตนจะได้คบหากับเจย์ คนที่ถ้าเดินสวนกันเฉย ๆ คงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นดาราได้สบาย อีกทั้งยังนิสัยดีและน่ารักมากกว่ารูปร่างหน้าตาไปอีกหลายเท่าตัว แต่สิ่งที่ทำให้เขาฉงนใจขึ้นมาจริง ๆ คือความเห็นของอาม่าในวันหนึ่ง หลังจากพี่เจย์ติวหนังสือให้เสร็จ อาม่าก็เอ่ยขึ้นมาว่า "อาเฮียเขาหน้าตาดีเหลือเกินเนอะ ลื้อดูสิ สมัยนี้หนุ่มหล่อ ๆ หันมาคบกันเองหมดแล้ว" — แตงโมสัมผัสบางอย่างในการรำพึงขึ้นมาลอย ๆ นั่นได้ ถึงจะไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่รู้สึกว่าสิ่งที่อาม่าเว้นไว้ไม่ได้พูดต่อน่าจะเป็นปัญหารบกวนใจเขาน่าดู 

    "ตอนแรกก็ยากนะ" พี่เจย์ตอบ ยังมุ่งมั่นกับการคีบเส้นบะหมี่ แต่ไม่ได้เอาเข้าปากทันทีทันใด "ไม่มีใครแน่ใจได้ตั้งแต่แรกว่าชอบใครหรอก พี่คิดอย่างนั้น กับพี่เจนยิ่งแล้วใหญ่ ความรู้สึกแรกที่ทำให้พี่สนใจเขาจนไม่ปล่อยไปก็คือ 'ไอ้หมอนี่มันพูดอะไรของมันของมันเนี่ย ข่มกันหรือเปล่า ยอมไม่ได้ ต้องรู้ให้ได้ว่าหมายถึงอะไร ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย' มากกว่า 'โอ้โฮ หล่อจัง ตัวก็สูง' อะไรแบบนั้นอีก"

    "พี่เจย์ก็ตัวสูง" แตงโมว่า ทำเอาคนเล่ายักไหล่เป็นเชิงว่า ใช่ไหมล่ะ ให้

    "พี่สรรหาสารพัดเหตุผลมาอธิบายว่าตัวเองไม่ได้ชอบเขาหรอก แค่ตั้งตัวไม่ถูกเวลาเจอคนแบบนี้ แล้วก็อยากเล่นกับแมวเขาไปนาน ๆ แต่ว่าพอได้รู้จักกันก็ดูจะมีเรื่องโน้นเรื่องนี้เกิดขึ้นเต็มไปหมด สังคมของเรามันแคบมากด้วย เหมือนพี่เจนเป็นศูนย์กลางของหลาย ๆ อย่าง ขนาดแตงโมเอง พี่ยังรู้จักผ่านพี่เจนเลย พี่ไม่ค่อยมีเพื่อนน่ะ รู้ตัวอีกทีตัวเองก็อยู่ท่ามกลางโลกของเขาไปแล้ว ตลกดี

    คำว่า 'รู้ตัวอีกที' น่าจะเป็นคีย์เวิร์ดมั้ง เหมือนที่หนังสือเล่มนึงเคยว่าไว้ว่าเขาตกหลุมรักเหมือนเวลาผล็อยหลับ มัน 'slowly and all at once' แต่พี่คิดว่าจังหวะที่รู้ตัวว่าชอบเขาแล้วแน่ ๆ มันเหมือนสะดุ้งตื่นตอนเผลองีบมากกว่า จากนั้นก็มานั่งไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาเป็นแค่ฝันหรือเปล่า ส่วนที่ยากส่วนหนึ่งก็คือพี่ไม่เคยชอบผู้ชายเหมือนกันมาก่อนเลย ไม่ได้อคติแต่ก็ไร้เดียงสาน่ะ พอตกลงกับตัวเองได้แล้วว่าโอเค เราอยากอยู่กับผู้ชายคนนี้ชะมัด ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคบกันแล้วต้องอะไรยังไง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บ้านอีก แค่พ่อแม่ไม่เคยวิจารณ์คนรักเพศเดียวกันเสีย ๆ หายๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขายอมรับใช่ไหมล่ะ ปัจจัยพวกนี้มันทำให้หวั่นไหวอีกรอบ คำถามเปลี่ยนจาก 'เราชอบเขาหรือเปล่า' มาเป็น 'เรามีสิทธิ์ชอบเขาได้หรือเปล่า' แทน"

    แตงโมนั่งอ้าปากค้าง ไม่เคยเห็นพี่เจย์พูดเรื่องส่วนตัวยาวขนาดนั้นมาก่อน พี่เจย์พักยกด้วยการกินบะหมี่คำใหญ่จนแก้มสองข้างป่อง เคี้ยวโหดเหมือนโกรธใครมาแถมยังดูเผ็ดจนปากแดงไปหมด เขาจึงลุกไปรินน้ำมาให้โดยไว

    "แต่ว่านะ แตงโม เรามีสิทธิ์ชอบเขาเสมอแหละ ต่อให้เขาจะชอบเราหรือไม่ก็ช่าง มันคือสิ่งที่เราตัดสินใจเลือกและรับผิดชอบเอง คนอื่น ๆ กับสังคมอาจทำให้มันยาก แต่พวกนั้นก็ห้ามให้เรารักใครไม่ได้หรอก ตราบใดที่มันไม่ได้ผิดกฎหมายหรือทำให้ใครเดือดร้อนน่ะนะ" 

    แตงโมชะงัก "ต่อให้พี่เจนไม่ชอบเหรอฮะ" เขาทวนคำ "จะเป็นไปได้ยังไง"

    "การชอบใครสักคนจะทำให้เราถ่อมเนื้อถ่อมตัวมั้ง" พี่เจย์ตอบ "แล้วก็ทำให้เราเป็นคนธรรมดา ๆ ที่พิเศษขึ้นเพราะว่ามีคนเข้าใจ" 

    แตงโมไม่ได้ตอบอะไร นอกจากแอบเห็นด้วยว่าพี่เจย์เริ่มพูดจาเหมือนพี่เจนเข้าแล้วจริง ๆ พอพูดออกไปให้เจ้าตัวฟัง พี่เจย์ก็หัวเราะใหญ่จนแทบสำลักอาหาร หัวสมองของเขาคิดแอบคิดพิเรนทร์ว่าถ้าพี่คนนี้ขำจนเส้นบะหมี่ไหลยืดออกมาทางจมูกจะเป็นยังไง และอาม่าจะพูดอะไรถ้ารู้ว่าหนุ่มหล่อคนนั้นมานั่งกินมื้อดึกอยู่ชั้นล่างของบ้านในเวลานี้ แต่ที่แน่ ๆ หากอาม่าเอ่ยเรื่องพี่เจย์กับพี่เจนขึ้นมาคราวหน้า แตงโมคิดว่าเขาพอจะรู้แล้วว่าคำตอบของเขาคืออะไร





    แรมโบ้เห่าขึ้นมาอีกครั้ง มันส่งเสียงสั้น ๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก คล้ายกับเป็นสัญญาณบอกความเคลื่อนไหวของคนคุ้นเคยในซอยมากกว่าเตือนภัยอะไร แตงโมลุกไปแง้มประตูดู พบว่ารถบ้านพี่เจนภพเพิ่งเคลื่อนมาจอดหน้าบ้าน ผู้ชายตัวสูงชะลูดที่แขกของเขารอคอยอยู่ก้าวลงมาจากฝั่งคนขับ ไม่วายร้องเรียกให้หมาบ้านเขาหยุดเห่าเสร็จสรรพอีกต่างหาก แตงโมหันกลับมาส่งสัญญาณให้พี่เจย์และเลื่อนประตูให้กว้างขึ้นอีกหน่อย เขามองไม่ชัดนักว่าพี่เจนออกท่าทางอย่างไรตอนเห็นพี่เจย์โผล่หน้าออกไปทักทายดังลั่น แต่เสียงอุทาน "เฮ้ย" จากอีกฝั่งนั้นได้ยินชัดเจนเต็มสองหู ตามมาด้วยเสียงวิ่งตึกตักมาถึงหน้าบ้านของเขาภายในห้าวินาที

    แตงโมไม่คิดเลยว่าจะได้เป็นส่วนเกินในอาณาเขตบ้านตัวเองตอนที่พี่สองคนกอดกันกลมอยู่ตรงหน้า อ้อมแขนของพี่เจนดูจะรัดแน่นจนพี่เจย์ร้องโอ๊ยและบ่นว่าหายใจไม่ออก แถมยิ่งตลกเข้าไปใหญ่ตอนพี่เจนเบิกตากว้างและหาว่าเขาเป็นซานตาคลอสที่พาตัวแฟนมาส่งให้ในคืนวันคริสต์มาส แตงโมไม่อยากจะบอกเลยว่าสุดที่รักของพี่ต่างหากที่ขนส่งตัวเองข้ามโลกมาถึงนี่ แถมยังกินบะหมี่บ้านน้องไปตั้งสามห่อ ถึงเหตุการณ์นี้จะทำให้ค่ำคืนเทศกาลของแตงโมไม่น่าเบื่อเลยก็เถอะ

    "เมอร์รี่คริสต์มาสนะแตงโม ขอบคุณมาก" พี่เจย์หันมาโบกมือบ๊ายบายอย่างทุลักทุเลเพราะโดนพี่เจนกอดคอพากลับบ้าน เสียงกระเป๋าลากดังครืดคราดเมื่อกระทบพื้นถนนปนกับเสียงร้องร่าเริงที่เอาแต่อวดพ่อกับแม่ของพี่เจน แตงโมพบว่าเขาก็เผลอส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกไปเพราะภาพที่ได้เห็นและบรรยากาศที่ได้สัมผัสเหมือนกัน


    เมื่อเดินกลับขึ้นไปยังชั้นสอง เขาเจออาม่าเปิดประตูห้องนอนออกมาถามว่าเมื่อกี้เสียงดังเอะอะอะไรกัน แตงโมไม่รู้จะอธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างไร เลยเดินไปกอดหญิงชราที่เลี้ยงเขามาแต่อ้อนแต่ออกแล้วบอกว่า "สุขสันต์วันคริสต์มาสครับอาม่า" แน่ล่ะว่าเธอคงไม่เข้าใจ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก



  • auld lang syne




    8:07

    หนัก คือความรู้สึกแรกเมื่อได้สติ ส่วน ต้องให้เอมิลี่ควบคุมอาหารแล้ว คือความคิดต่อมา ระยะหลังมานี้ เจ้าแมวที่เคยเป็นเพียงรักข้างเดียวชอบย่างเท้าอย่างเงียบเชียบขึ้นมาเหยียบและทิ้งตัวลงบนอกของเขาดัง "อั่ก" ในตอนเช้า เจนภพพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าเอมิลี่หวังดีมาปลุกให้ไปทำการทำงาน เพราะว่าลืมตามาเห็นแมวนั่งนิ่งอยู่บนตัวทีไร สีหน้าของยัยหนูดูจะบอกว่า รีบลุกได้แล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นฟรีแลนซ์แล้วจะนอนกินบ้านกินเมืองได้นะ อยู่เรื่อยไป ขืนกล้าหลับต่ออีกแม้แต่นาทีเดียว เขากลัวว่าเอมิลี่อาจถึงขั้นขยับตัวมานอนทับบนหน้าจนขาดอากาศหายใจก็เป็นได้ ดังนั้นกิจวัตรอย่างแรกในยามเช้าของเขาจึงเป็นการจับตัวผู้บุกรุกด้วยสองมือทั้งที่ยังไม่ลืมตาดี ก่อนจะยกร่างน้อย ๆ วางข้างตัวแล้วลุกมายืดยืดสายเพื่อเริ่มวันใหม่ เขาทึกทักไปเองว่าวันนี้ก็เหมือนกัน ลืมไปสนิทว่ามันต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แทนที่จะเจอตัวอวบอ้วนของแมวเลี้ยง มือของเขากลับได้สัมผัสเรือนผมหนานุ่มของแมวตัวใหญ่กว่านั้นมาก

    เจย์ส่งเสียงงึมงำเมื่อโดนแตะต้องโดยไม่ทันตั้งตัว เจนภพกะพริบตาช้า ๆ มองคนที่จู่ ๆ ก็เอาตัวเองมาพาดบนร่างกายเขาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้จะตกใจเรื่องไหนก่อนดีระหว่างการที่เจย์กลับมาหาเขาจริง ๆ ในวันคริสต์มาส หรือการที่อีกฝ่ายมาน้วยอย่างกับเขาเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่แต่เช้าแบบนี้ อันที่จริงเจนภพก็ทึ่งอยู่เหมือนกันตอนพบว่าอีกฝ่ายนอนดิ้นและชอบปัดป่ายมาโดนตัวเขากลางดึก ยิ่งกว่านั้นยังแย่งตุ๊กตาฉลามของเขาไปกอดคนเดียวอีกต่างหาก แม้ว่าจะไม่ได้ค้างคืนด้วยกันบ่อยอะไร แต่ทุกครั้งก็มักลงเอยในสภาพนั้น พอเขาบอกอีกฝ่ายว่านอนร้ายแค่ไหน เจย์จะจ้องมองกลับมาด้วยดวงตากลมโตใสซื่อแล้วปฏิเสธว่าไม่จริงสักนิด ขณะที่รอยฟาดจากฝ่ามือบนใบหน้าของเจนภพปวดแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

    อาจจะเพราะเป็นวันคริสต์มาส หรือไม่ก็เห็นแก่ความพยายามมาเซอร์ไพร์สไกลค่อนโลก เจนภพจึงอดใจไม่เอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่มด้วยความมันเขี้ยว เขาขยับตัวอย่างระมัดระวัง ประคองศีรษะของคนรักลงบนหมอนนุ่มอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจย์ส่งเสียงเหมือนแมวครางตอนยืดแขนขาบิดขี้เกียจบนเตียง โดยที่ไม่ยอมลุก แต่กลับซุกตัวใต้ผ้าห่มจนมีเพียงผมสีน้ำตาลหนาและปลายจมูกน่ารักโผล่พ้นออกมา จนแล้วจนรอดเจนภพก็ห้ามใจไม่ไหว ก้มลงไปจุมพิตหน้าผากของอีกคนไว ๆ ก่อนเดินย่องไปยังห้องน้ำ เขาพบว่าเอมิลี่ตามเข้ามานั่งมองคนแปรงฟันตรงอ่างล้างหน้า ก่อนจะยอมให้อุ้มลงไปชั้นล่างแต่โดยดี 


    8:32

    พ่อของเขานั่งใส่แว่นอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้โยกตัวโปรด มีชาที่เจย์ซื้อมาฝากส่งกลิ่นหอมอวลจากแก้วที่วางอยู่ข้าง ๆ ส่วนแม่กำลังง่วนอยู่กับการให้อาหารปลาหน้าบ้าน หลังจากปล่อยเอมิลี่ลงบนตักของพ่อ เขาก็ค่อย ๆ ย่องไปข้างหลังแล้วกอดหมับเข้าให้ที่เอวจนแม่เผลอทำอาหารแผ่นตกลงไปในอ่างมากเป็นพิเศษ ถึงจะโดนตีแขนไปทีหนึ่ง แต่เขาไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรและรีบเสนอแผนการที่เพิ่งคิดได้สด ๆ ร้อน ๆ ให้มารดาฟัง

    "ชวนทุกคนมากินข้าวที่บ้านเรากัน" เจนภพกล่าว 

    "นัดกะทันหันแบบนี้ใครจะมา" แม่ย้อน 

    "แต่วันนี้วันคริสต์มาสนะ" 

    "ใครเขาจะอินอย่างเธอเนี่ยเจนภพ" แม่หมุนฝาพลาสติกปิดกระบอกใส่อาหารปลาพลางหยีตามองแดดที่เริ่มจัด ไม่มีหิมะตกหรือบรรยากาศอะไรที่บ่งชี้ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ ก็แค่วันธรรมดาในหน้าหนาวที่ไม่ค่อยหนาวของประเทศที่ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร "จะฉลองคริสต์มาสยังไง อุปกรณ์ก็ไม่มีสักอย่าง เออใช่ ถ้าชอบคริสต์มาสนัก งั้นไหนของขวัญแม่ล่ะ"

    "ไม่เห็นต้องเตรียมอะไรเลย เดี๋ยวเจนไปซื้อพิซซ่ากับไก่ทอดเอง แล้วเดี๋ยวจะจัดโต๊ะให้ด้วย แม่ไม่ต้องทำอะไรเลย" เขาทำเป็นเมินมือของแม่ที่แบมาขอของขวัญที่ไม่มีอยู่จริง ก่อนจะคิดได้แล้ววางมือตัวเองลงไปเหมือนลูกหมาให้มือเจ้านาย "ส่วนของขวัญของแม่ก็คือเจนไง โธ่"

    คนเป็นแม่ถอนใจเฮือกใหญ่ แต่ก็หลุดยิ้มให้เห็นแวบหนึ่ง "เห็นแก่คนที่อุตส่าห์มาไกลแล้วไม่ได้เจอกันนานก็ได้" แม่ว่า "เฮ้อ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะชอบเธอขนาดนั้น"

    เจนภพแกล้งโอดครวญเมื่อแม่เอ่ยถึง "เขา" ที่น่าจะกำลังหลับเพลินอยู่ข้างบนห้อง ทั้งที่ความเป็นจริงตนเองไม่มีคำใดจะกล่าวนอกจากเห็นด้วยทุกประการ นี่ไม่ใช่การมาปรากฏตัวจากเชียงใหม่สู่หน้าบ้านของเขาอย่างปุบปับเหมือนแอนนาที่มายืนตรงหน้าวิลเลียมในน็อตติงฮิลล์ หากแต่เป็นการวางแผนกลับบ้านตั้งแต่ยังไม่ได้จากไปไกลครึ่งค่อนโลกเสียด้วยซ้ำ เมื่อคืนนี้เหมือนเจย์จะรู้ดีว่าเจนภพต้องทักท้วงเรื่องค่าใช้จ่าย บัณฑิตสาขาบริหารเลยเตือนความจำว่าเงินค่าตั๋วเครื่องบินทุกบาททุกสตางค์นั้นมาจากการลงทุนของตัวเอง ไม่ต้องห่วงว่าใครจะครหาว่าผลาญเงินค่าเล่าเรียนเพื่อมาหาแฟนตามใจชอบ เจนภพสาบานได้ว่าทุกครั้งที่คำว่า "แฟน" หลุดออกจากปากอีกฝ่าย เขาเป็นต้องรู้สึกพิศวงอยู่ร่ำไป และถ้าเผลอแสดงอาการอัศจรรย์ใจที่ได้เป็นที่รักถึงขนาดนั้นให้เห็น เจย์จะย้ำอย่างไม่ลังเลว่าเขาสมควรได้รับความรักแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เจนภพยิ่งรักชายหนุ่มรุ่นน้องมากขึ้นไปอีก

    "เดี๋ยวแม่ทอดเฟรนช์ฟรายกับทำข้าวผัดกระเทียมให้ เธอไปนัดแนะกับเพื่อนฝูงให้ดีแล้วกัน วันนี้วันทำงานนี่นา" แม่ของเขาแอบตีก้นลูกชายด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเดินเข้าบ้าน เจนภพเกาหัวแกรก ลืมไปว่าทุกคนไม่ได้มีเวลาว่างเหลือเฟือแบบเขา แต่ก็อย่างที่แม่ว่า นี่ไม่ใช่โอกาสธรรมดาเพราะมีคนอุตส่าห์เดินทางมาไกลทั้งที ที่เขาต้องทำคือจูงใจให้ถูกคนก็เท่านั้น เจนภพคิดขณะส่งข้อความไปยังช่องแชทส่วนตัวของเพื่อนสนิทผู้เป็นดังคีย์สโตนบนซุ้มประตูโค้งแบบโรมัน แม้ตอนนี้อีกฝ่ายคงไม่พ้นโดนฤทธิ์เจ็ทแล็กเล่นงาน แต่เขาก็คาดการณ์ว่าอีกไม่นาน แผนชวนคนโดดงานยกกลุ่มน่าจะสำเร็จอย่างงดงาม


    11:45


    "เอามา พี่ช่วยถือ" เจนภพรับถุงหูหิ้วขนาดใหญ่ที่แบกน้ำหนักพิซซ่าถาดใหญ่สามถาด สปาเกตตี น่องไก่ และของว่างหลายอย่างมาจากเจย์ ผู้ที่มือข้างหนึ่งถือถุงใส่ไก่ทอดถังเบ้อเริ่มอยู่แล้ว เนื่องจากมีเวลาให้เตรียมอาหารไม่มาก แถมคนที่มีฝีมือทัดเทียมมารดาของเขายังดูจะเรียกสติและกำลังวังชาจากลอนดอนกลับมาได้ไม่เต็มที่ พวกเขาจึงเลือกมาซื้ออาหารส่วนใหญ่จากห้างใหม่แถวบ้าน นึกแล้วเขายังขำอยู่เลยที่เห็นเจย์ลุกขึ้นมาจากเตียงงง ๆ ก่อนจะหันซ้ายหันขวา ถามว่าที่นี่คือที่ไหนและตัวเองไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ ท่าทางต่างจากคนแรงเหลือเมื่อคืนราวกับคนละคน แต่พอได้ยินว่าเขากำลังจะออกไปซื้อของเพื่องานเลี้ยงคริสต์มาสแสนฉุกละหุก เจย์ก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า สวมแว่นสายตา และออกมาเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า โดยเหตุผลที่กลับมากระตือรือร้นได้หน่อยก็คือ "เจย์หิว"

    "ไหวไหมนั่น พี่เจนถือถุงใส่ขนมกับน้ำอยู่แล้วนะ" เจย์ถามหลังจากเห็นคนที่มาด้วยกันพยายามหิ้วทุกอย่างไว้ในมือข้างเดียว แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าขำเมื่อรู้คำตอบในวินาทีต่อมา เมื่อนิ้วมือของเจนภพสอดประสานกับมือข้างที่เพิ่งว่าง กุมมือที่เล็กกว่าไว้แน่นราวกับจะหลอมละลายไปด้วยกัน

    "ต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มสิ" เจนภพว่า ยกมือของพวกเขาขึ้นมาประกอบคำพูด "ไม่เป็นไรใช่ไหม"

    "ไม่หรอกครับ" เจย์ตอบ รู้ดีว่าทำไมเขาถึงถามแบบนั้น "มาจูงมือกันเดินให้ถึงบ้านเลยดีกว่า"

    พวกเขาก้าวออกจากห้างและเจอแสงแดดร้อนแรงช่วงปลายเดือนธันวาคมโจมตีมากกว่าจะใช้คำว่าทักทาย พอต้องเดินอยู่ภายใต้พระอาทิตย์ที่ลอยอยู่ตรงหัวพอดิบพอดี เจนภพจึงได้ตระหนักถึงความตลกร้ายของการเฉลิมฉลองเทศกาลที่ไม่ได้ถือกำเนิด ณ ถิ่นนี้ตั้งแต่แรก ในฤดูหนาวที่มืดมิดและเย็นยะเยือก วันแบบนี้มีไว้เพื่อมอบความอบอุ่นให้กันและกันในครอบครัวและหมู่มิตรสหายที่ร้างห่างไกลกันไปนาน เขานึกภาพกลุ่มคนสังสรรค์กันหน้าเตาผิงที่ไฟลุกโชน ต้นสนสีเขียวประดับประดาด้วยลูกบอลวาววับและดวงดาวสุกสว่าง และของขวัญกองโตที่ซานตาคลอสแอบเอามาวางไว้ยามทุกคนหลับใหล ถ้าหากเขาเล่าออกไป มีหวังจะโดนแซวว่าดูการ์ตูนหรืออ่านนิยายจนเพ้อ (ซึ่งก็จริงอีก เขาไม่เถียง) นอกจากเป็นคริสตชนคาทอลิก (ซึ่งก็ไม่ค่อยมีคนเชื่อ) แล้ว การฉลองคริสต์มาสของเขาก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากอยากทำ แล้วก็ — 

    "คิดถึงทุกคนจัง" เจนภพเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    พอเข้าปีที่สี่หลังเรียนจบ ทุกคนแม้แต่เขาเองก็ดูจะหาที่ทางของตัวเองบนโลกนี้ได้แล้ว ต่อให้ไม่มีอะไรแน่นอน อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องมุ่งหน้าไปทางไหน ยังมีที่ที่ประตูบานใหม่เปิดออกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มีโลกใบใหม่ให้พบเจอผู้คนใหม่ ๆ และโอกาสมากมายให้ไขว่คว้า ถ้าเทียบกับเพื่อนสนิทอย่างดิศพลที่คิดว่าตัวเองหยุดนิ่งไม่ไปไหน เจนภพเชื่อว่าเขาเองต่างหากที่เคลื่อนที่ช้ากว่ามาก หลังลาออกจากงานประจำมาทำงานอยู่ที่บ้าน โลกของเขาก็จำกัดอยู่บนพื้นที่ไม่กี่ตารางกิโลเมตรเหมือนเดิม หากจะมีอะไรเปลี่ยนไปก็คงเป็นจิตใจที่สงบและเข้าอกเข้าใจตัวเองมากขึ้น ต่อให้เคลื่อนที่สวนทางกับคนหมู่มาก เขาก็จะไม่หวั่นไหวหรือเสียใจอีกแล้ว เจนภพกลับสู่บทบาทที่เขายินดีจะเล่นตลอดมา นั่นคือการเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่รั้งท้าย หากคนข้างหน้าเดินเร็วเกินไปจนตามไม่ทัน นาน ๆ ครั้งเขาถึงจะร้องขอให้ทุกคนหยุดพักเอาแรง กุลีกุจอหุงหาเสบียง และสรรหาเรื่องตลกมาเล่ารอบกองไฟ 

    "ทุกคนมาแน่ ๆ ครับ" เจย์ย้ำให้ความมั่นใจ "แต่ถ้าไม่มา เจย์จะกินของที่เหลือให้เรียบเอง"

    เจนภพยิ้มกว้างแทบจะถึงใบหู เรื่องนั้นเขาไม่กังขาสักนิด ไม่ว่าจะเป็นประโยคแรกหรือประโยคหลังก็ตาม พอเดินไต่สะพานลอยลงมาถึงซอยบ้านได้สำเร็จ เขาสังเกตว่าแฟนหนุ่มที่ผิวขาวนวลอย่างกับเครื่องกระเบื้องหอบแฮ่ก แก้มสองข้างที่มีลักยิ้มน่ารักเรื่อสีจัดขึ้นจากทั้งความร้อนและความเหนื่อย เจนภพเอ่ยขอโทษที่ที่นี่ต่างจากอังกฤษลิบลับ หวังว่าอีกฝ่ายจะสวมร่างดิศพลเพื่อวิจารณ์ถนนหนทางที่เพิ่งผ่านมา แต่เจย์แค่พูดว่า "จริงครับ เมื่อวานยังไม่มีพี่เจนเลย" และทำให้เขาอยากหยุดกึกก่อนถึงจุดหมายที่ห่างออกไปไม่กี่เมตรเพื่อหอมหัวอีกฝ่ายสักที ติดตรงที่น้องลูกหมีจากอีกซอยดันขี่จักรยานมุ่งหน้าไปยังบ้านเจ้าเด็กแตงโมพอดี แถมยังมีกะจิตกะใจยกมือไหว้พวกเขาทั้งที่เท้ายังไม่หยุดปั่นอีกต่างหาก

    "เด็กนี่นะ" เจนภพเอามือทาบอกเพราะใจหายวาบ กลัวเด็กชายจะล้มโครมเอาเสียก่อน

    ส่วนเจย์กลับยิ้มสว่างไสว คว้ามือเขาไปกุมตามเดิมก่อนจะเดินอีกยี่สิบก้าวถึงบ้าน


    12:20


    "สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่"

    เสียงร่าเริงของเพื่อนชาวญี่ปุ่นสัญชาติไทยนำหน้ามาก่อนตัว เจนภพรีบวิ่งออกมาจากในครัวเพื่อพบเหตุผลที่พ่อแม่เขายังไม่ขานตอบผู้มาเยือนให้ได้ยิน ยูตะเดินถือกระเช้าของขวัญอันเบ้อเริ่มเข้ามา แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกตกใจเท่าหยกผู้แบกต้นสนขนาดย่อมตามหลัง ไม่รู้ว่าจะทึ่งอะไรก่อนดีระหว่างพละกำลังที่คนตัวผอมบางมีกับความเว่อร์วังอลังการยิ่งกว่าเจ้าของงานในวันนี้ เขาปราดไปรับต้นไม้พลาสติกที่ได้รับการตกแต่งมาเรียบร้อย ก่อนจะพบว่าหยกเปลี่ยนสีผมอีกแล้ว คราวนี้เป็นสีบลอนด์ซีด

    "โอ้โฮ พี่เจนแพ้แล้วเห็น ๆ " แม้แต่เจย์ยังตาโตเมื่อเห็นของที่พวกพี่ ๆ นำมา

    "ก็หยกมันบอกว่าถ้าไม่มีอุปกรณ์ตกแต่งเลย ใครจะไปรู้ว่าเรากินเลี้ยงคริสต์มาสกัน" ยูตะแจกแจง "ถ้าจะมีธีมก็ต้องทำตามธีมให้ถึงที่สุด ดีนะไม่ยกฉากละครมาด้วยน่ะ"

    "โชคดีที่พวกพรอพละครเมื่อวันก่อนยังอยู่ที่บ้าน เลยเอามาใช้ได้พอดี" หยกปัดไม้ปัดมือ "ตอนแวะไปรับ ไอ้ยุตบอกให้เลี้ยวเข้าอิเกียไปซื้อต้นสนของจริงด้วยซ้ำเถอะ ดูซิว่าใครเว่อร์กว่ากัน"

    "จริง ๆ แค่มาอย่างเดียว ตานี่ก็ดีใจจะตายแล้ว" แม่ของเขาหัวเราะใหญ่ บุ้ยใบ้ไปทางลูกชายที่ยืนเหวอ

    "หยกต้องมาอยู่แล้ว ส่วนยูตะโดดงานครับ" ผู้มาเยือนรีบรายงานพลางแฉเพื่อน ถ้าเป็นเรื่องอ้อนผู้หลักผู้ใหญ่ เจนภพก็ฉงนใจเหมือนกันที่คนนิ่ง ๆ และห่างเหินบ้างในบางทีอย่างหยกจะเชี่ยวชาญเหลือเกิน เวลามาบ้านทีไร แม่เป็นต้องเข้าไปบีบแก้มหอมแก้มเพื่อนคนนี้ทุกที 

    "เด็กปิดเทอมแล้ว ไม่ได้โดดงานครับ" คนถูกกล่าวหารีบแก้ต่าง "คนโดดงานคือพี่เตต่างหาก รีบลางานบ่ายแล้วกำลังมาอยู่ครับ ส่วนนายไดว์ฟที่บอกให้พวกเรารีบยังรถติดอยู่เลย"

    พวกเขาช่วยกันหามุมเหมาะ ๆ ให้ต้นคริสต์มาสและขนอาหารออกมาวางบนโต๊ะรับแขก เจนภพถึงกับต้องวิ่งไปเอาโต๊ะญี่ปุ่นมากางเพราะพื้นที่สำหรับวางอาหารไม่เพียงพอ แม้ว่าสมาชิกยังมาไม่ครบ แต่บ้านของเขาดูจะเล็กไปถนัดตา อาจเป็นเพราะเวลาผ่านไปพักใหญ่แล้วหลังจากพวกเขานัดสังสรรค์กันที่บ้านของเจนภพ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวช่วงอ่านหนังสือสอบเพราะอยู่ใกล้และไม่ต้องไปแย่งชิงที่นั่งห้องสมุดหรือห้องอ่านหนังสือที่ไหน แม้แต่ช่วงว่างยาวระหว่างคาบเช้าและเย็นที่ไม่รู้จะไปที่ใด เขาก็มักชวนเพื่อนมางีบตอนบ่ายก่อนเดินกลับไปเรียนต่อ กิจกรรมเหล่านั้นห่างหายไปช่วงที่เขาคบกับทิมตอนปีสี่ และหวนกลับมาอีกครั้งตอนเจย์เริ่มแวะเวียนมากินข้าวเย็นด้วยกันบ่อย ๆ จนแม่เริ่มเปรยว่าคิดถึงผองเพื่อนที่แยกย้ายไปทำงานคนละทางจนไม่ได้เจอกัน — ไดว์ฟเรียนอยู่ต่างประเทศตลอดปี พี่เตเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วแทบทุกไตรมาสจนงานล้นมือ หยกมีตารางงานไม่แน่นอนเพราะเป็นทั้งนักแสดงละครเวที ครูสอนการแสดง และแม้แต่นายแบบ ส่วนยูตะเองก็เริ่มต้นชีวิตอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้เจอกันข้างนอกเป็นครั้งคราว คราวละคนสองคนเท่านั้น แม้ไม่ได้ห่างหายกันไปโดยสิ้นเชิง แต่ก็พูดว่าเหมือนเดิมได้ไม่เต็มปาก 

    ไม่มีอะไรเหมือนเดิมได้ ที่ทำได้ก็แค่กลับไปเยี่ยมเยือนบ้างเท่านั้น 

    "หิวกันหรือยัง กินอะไรเล่นไปก่อนก็ได้นะ" เขาบอกเพื่อน ๆ ที่นั่งขัดสมาธิบนพื้น รออยู่หน้าของกินมากมายบนโต๊ะ "นี่แม่กับเจย์ทำของกินเพิ่มอยู่ ไม่ต้องกลัวหมด"

    ก่อนหยกกับยูตะจะทันหยิบพิซซ่าออกมากินคำแรก เสียง "โอ้โฮ" ดังลั่นจากพี่เตก็ดึงดูดความสนใจพวกเขาไปหมด ทุกคนส่งเสียงโอ้โฮกลับไปเมื่อเห็นขวดเครื่องดื่มโผล่พ้นกระเป๋าผ้าที่แม้บ้านนิยมใช้ของรุ่นพี่ ดูเหมือนคนที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มจะเกรงใจคุณพ่อเจ้าของบ้านอยู่หน่อย ๆ ถึงได้รีบยกขวดไวน์ขึ้นมาโชว์แล้วอธิบายว่าหยิบมาพอเป็นพิธี ถ้าไม่รังเกียจก็เชิญมาจิบด้วยกันตามสบาย จนพ่อต้องย้ำให้สบายใจอีกทีว่าพวกเขาโตกันป่านนี้แล้ว ขอแค่ไม่เสียงดังรบกวนชาวบ้านก็เป็นอันพอ 

    หลังจากนั้นไม่ทันไร รถมินิคูเปอร์สีดำก็เคลื่อนมาจอดหน้าบ้าน พวกเขาขมวดคิ้วที่เห็นนักเรียนทุนผู้หายหน้าหายตาไปนานกว่าใครเพื่อนลงมาจากรถ และยิ่งอ้าปากค้างเมื่อเห็นคนขับลดกระจกลงมาโบกมือทักทาย แม้จะชวนให้ทิมมาร่วมปาร์ตี้ด้วยกัน แต่อีกฝ่ายก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่ามีธุระต่อ เจนภพพอเดาออกว่าจริง ๆ แล้วธุระนั้นอาจเป็นการมาส่งเพื่อนสนิทของเขาอย่างเดียว ทว่าก็เข้าใจและรู้สึกขอบคุณที่ทิมมอบช่วงเวลานี้ให้พวกเขาเป็นของขวัญ นอกเหนือจากเค้กก้อนโตที่ซื้อมาฝากระหว่างทาง

    "มากันครบแล้ว ลงมือได้เลย เย่" เจนภพร้องตะโกนแล้วเดินไปตามแม่กับเจย์ที่อยู่ในครัว หลังจากทุกคนมาพร้อมหน้า คราวนี้บ้านของเขาคับแคบลงจริง ๆ ไม่ใช่แค่ในความรู้สึกอีกต่อไป และแม้จะมีชายหนุ่มวัยผู้ใหญ่ถึงหกคน แต่อาหารทุกอย่างที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าก็มีมากเกินไปอยู่ดี ถึงจะกินไปถามไถ่เรื่องชีวิตกันไป สิ่งที่เหลืออยู่บนโต๊ะก็ยังไม่ใช่น้อย ๆ หยกยอมแพ้กับอาหารคาวจนหันไปตัดเค้กมากิน ขณะที่พี่เตนั่งหมดแรงจุกเพราะรีบกินตอนที่หิวจัด ส่วนยูตะกับไดว์ฟเกี่ยงกันกินสับประรดบนพิซซ่าหน้าฮาวาเอี้ยน มีแต่เจย์ที่ค่อย ๆ เคี้ยวทุกอย่างด้วยความใจเย็น เห็นแบบนั้นเจนภพเลยแบ่งของกินบางส่วนใส่กล่องไปให้บ้านฝั่งตรงข้าม แตงโมกับลูกหมีดีใจกันใหญ่ที่มีอะไรมาให้กินระหว่างเล่นเกม

    "ไว้มากินต่ออีกยกเถอะ" ดิศพลสรุปอย่างมีเหตุผล ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ "ทำไมต้องฝืนกันด้วยเนี่ย"

    "เจย์ขอกินเค้กอีกชิ้นก่อน" คนที่ยังไม่ทันได้กินของหวานรีบท้วง สีหน้าของคนในกลุ่มเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เจนภพสาบานว่าจะไม่มีวันลืม



    16:50 



    "ขยับเข้าไปชิดกันหน่อย" เจนภพขยับมือบอกให้สมาชิกทุกคนเข้าไปอยู่ในเฟรมระหว่างที่ยกกล้องโพลารอยด์ขึ้นมาเล็งไปด้วย ก่อนหน้านี้ หลังจากเก็บอาหารไว้ในครัว เล่นไพ่อูโน่กับสลาฟ ตลอดจนเปิดการ์ตูนเรื่อง 101 Dalmatians ดูตามธรรมเนียมจนจบ (เจนภพกับหยกช่วยกันพากย์เสียงลูกหมา) เจ้าของบ้านก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขาควรถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อย ถึงคนอื่น ๆ จะบันทึกภาพด้วยโทรศัพท์มือถือกันไปตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือทานอาหาร แต่เขาต้องการมอบของที่ระลึกที่จับต้องได้ให้ทุกคนอย่างทันท่วงที แม้เงื่อนไขที่ว่า "ทันท่วงที" จะทำให้เขาต้องนั่งรถเมล์ไปห้างเพื่อซื้อฟิล์มใหม่ก็ตาม

    "ถ้าเจนถ่าย แล้วใครจะถ่ายให้เราครบทุกคนล่ะ" ยูตะยกมือถาม "คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องนะครับ เราอยากได้รูปทั้งครอบครัวเลย"

    คำว่าครอบครัวทำให้มุมปากของเจนภพยกขึ้นเป็นรอยยิ้มโดยอัตโนมัติ โชคดีที่เขายังยกกล้องแนบไว้กับตา อย่างน้อยจะได้ฉวยโอกาสให้น้ำตาใส ๆ คลอเบ้าอย่างเงียบ ๆ เขารู้ดีว่าหากโดนทักขึ้นมาแม้เพียงคำเดียวจะต้องปล่อยโฮออกมาจนน่าเกลียดเป็นแน่ และอาจจะร้องหนักยิ่งกว่าเพราะรู้ว่านี่คือกลุ่มคนกลุ่มเดียวที่อนุญาตให้เขาทำแบบนั้นได้โดยไม่ตัดสิน เจนภพบันทึกภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าลงบนความทรงจำอย่างแนบแน่นก่อนจะกดชัตเตอร์  — พ่อกับแม่นั่งข้างกันบนโซฟาด้วยท่าทางเก้อเขิน เจย์ร้องเรียกเอมิลี่ให้มาหาแล้วอุ้มไว้ในวงแขน หยกยิ้มไม่ยิงฟันเหมือนปลากระเบนที่ตัวเองชอบนักหนา พี่เตกับยูตะยกแขนทำเป็นรูปหัวใจด้วยกัน และไดว์ฟนั่งพับเพียบเรียบร้อยเหมือนตัวแทนประกวดมารยาทอยู่ข้าง ๆ ต้นคริสต์มาสเฉพาะกิจที่วาววับ ทุกคนสวมหมวกซานตาคลอสกับเขากวางที่หยกเอามาฝากกันถ้วนหน้า — ขณะที่สมองพยายามเก็บทุกรายละเอียดให้แม่นยำ หัวใจของเขาจะจดจำความรู้สึก ณ ขณะนั้นตลอดไป

    "นั่นไง ตากล้องมาแล้ว" เจย์ชี้มือไปทางประตู แขกคนใหม่ของบ้านท่าทางงงงวยเมื่อเห็นพวกพี่ ๆ โพสท่ากันเป็นหมู่คณะ แถมยังโดนลูกพี่ลูกน้องชี้นิ้วใส่อย่างปุบปับอีก ท่าทางผงะของเจมส์ทำให้อดีตอาจารย์อย่างเจนภพอดเอ็นดูไม่ได้ นอกจากเป็นลูกศิษย์แล้ว พ่อแม่ของเจนภพยังรู้จักเจมส์ในฐานะเด็กที่มากินข้าวเย็นกับเจย์ที่บ้านบ่อย ๆ ก่อนจะขยับมาเป็นเด็กหนุ่มที่เล่นโฆษณานมสดพาสเจอไรส์ในทีวี ที่น่าทึ่งคือแม้แต่หยกเองก็ยังจับพลัดจับผลูไปเป็นครูสอนการแสดงให้เจมส์ในค่ายนักแสดงชื่อดัง แค่คิดว่าอีกไม่นานอาจจะได้เห็นใบหน้าของเด็กที่เรียกเขาว่า "มาสเตอร์" อยู่บนสื่อต่าง ๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง เจนภพก็รู้สึกว่ามันช่างเซอร์เรียลเสียเหลือเกิน 

    "แค่โพลารอยด์เอง ไม่ต้องใช้เด็กเอกฟิล์มอย่างน้องก็ได้มั้ง" เจ้าตัวบ่น "แล้วน้องไม่ใช่ส่วนหนึ่งของครอบครัวเหรอ พี่เจนไม่ใช่พี่เขยของน้องเหรอ ตอบ"

    "ตัวเองจะมากินข้าวฟรีต่างหาก" เจย์ย้อน "ตอนนี้ลุกไปบีบปากลำบากหรอกนะ เดี๋ยวโดนแน่"

    เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงโดยไม่จำเป็น ผู้ติดตามที่มีหน้าที่พาเจมส์มาส่งเฉย ๆ อย่างแจมจึงก้าวเข้ามาจัดการ เจนภพนัดแนะคอนเซปต์กับศิษย์คนโปรด พวกเขาสองคนลงมานอนตะแคงกันคนละฝั่งเพื่อไม่ให้บังคนอื่นและอยู่ในภาพได้อย่างพอดิบพอดี

    "เอาแล้วนะครับ" แจมยกกล้องขึ้น "สาม สอง หนึ่ง" 


    แม้จะไม่ได้เห็นสีหน้าท่าทางครบทุกคนเพราะต้องเปลี่ยนตำแหน่งและบทบาท และแม้จะเมื่อยแขนไปบ้างเพราะต้องค้างอยู่ในท่าเดิมให้กล้องตัวอื่นได้ถ่ายภาพ แต่เจนภพก็ยังยิ้มกว้างสุดชีวิต ในความสุขสันต์ทั้งปวง ความเศร้าจะเผลอแทรกเข้ามาให้หวั่นไหวได้เสมอ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ช่วงเวลานี้จะหวนกลับมาอีก ชั่วขณะปัจจุบันจึงกลายเป็นของขวัญล้ำค่า ถึงจะคงอยู่ได้นานเท่าอาการปวดแก้มจากการฉีกยิ้ม แต่ก็เป็นจริงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
     

    เขาได้อยู่ท่ามกลางคนที่รัก ทุกคนได้กลับบ้านแล้ว



  • have yourself a merry little Christmas




    ในที่สุดก็มีช่วงเวลาสงบสุข ฉันคิด เหยียดตัวไล่ความเมื่อยล้าจากการนั่งเกร็งมาตลอดทั้งบ่ายเพราะพวกเขาชอบหาเรื่องอุ้มฉันอยู่เรื่อย ถ้าเป็นแมวตัวใหญ่ที่ฉันคุ้นมือดีหรือแม้แต่เจ้านายหมาโง่ ฉันคงไม่ต้องระมัดระวังตัวมากมายขนาดนั้น โดยเฉพาะกับผู้ชายผมสีอ่อนท่าทางเงียบ ๆ ที่มีกลิ่นหมาจาง ๆ ติดตามเสื้อผ้า ถึงมาดจะดูไม่ให้เท่าไร แต่เขาก็แอบทำเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกับฉันเวลาที่ไม่มีใครเห็น แถมยังมาลูบขนกันอย่างเป็นเอาตาย ผิดกับมนุษย์หน้าเหมือนกระต่าย เพื่อนสนิทของเจ้าหมาซึ่งฉันเคยพบก่อนจะมาอยู่ที่นี่เมื่อนานมาแล้ว เขายังคงทำท่าตกใจนิด ๆ ทุกครั้งที่ฉันโผล่ไปใกล้ เหมือนจะพยักหน้าให้เป็นเชิงทักทาย แต่ก็ไม่เคยมีอะไรมากกว่านั้น จริง ๆ แล้วฉันเสียดายที่เขาไม่ใจกล้าสักหน่อย ไม่รู้ว่ามีความหลังฝังใจอะไรกับแมวหรือสัตว์โดยทั่วไปหรือเปล่า แต่นั่นก็ไม่น่าเสียดายเท่าการที่ฉันอดเล่นกับทิมหรอก ทั้งที่แอบเห็นเขาพานายกระต่ายนั่นมาส่งแท้ ๆ 

    "มาเถอะเอมิลี่ ไปนอนกัน" แมวใหญ่อุ้มฉันตัวลอยหวือจากพื้น ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองตาปรือ ๆ ของเขา วันนี้ทั้งเขาและเจ้าหมาเดินไปนู่นไปนี่ หยิบจับอะไรต่อมิอะไรไม่ได้ขาด ยิ้มและหัวเราะดังลั่นกับมุกตลกที่ทำให้ฉันนึกกังขาในสติปัญญามนุษย์ (อาจเป็นเพราะเครื่องดื่มกลิ่นประหลาดที่ทำให้พวกเขาหน้าแดงก็เป็นได้) และยังวุ่นวายกับการทำความสะอาดหลังจากทุกคนกลับไปแล้วอีก ฉันเห็นเจ้าหมาหาวทุกทีที่หันไปมอง ตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อระหว่างยืนล้างจาน อดคิดไม่ได้เลยว่าเขาช่างสรรหาความลำบากให้ตัวเองเก่งจริง ๆ เลย ถึงแบบนี้อาจจะดีกว่าปล่อยให้เขานั่งหมกมุ่นจนถักชุดพิลึกกึกกือให้ฉันใส่ก็เถอะ

    เจ้าหมาปิดไฟชั้นล่างแล้วเดินตามหลังมาจนถึงห้องนอนชั้นบน ฉันนึกภาพเขาทิ้งตัวลงบนเตียงทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำและโดนยี้ใส่ออกตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดประตูทีเดียว แต่ใครจะไปรู้ว่าเขายังมีพลังงานเฮือกสุดท้ายหลงเหลืออยู่ จู่ ๆ เจ้าหมาก็เดินแยกไปนั่งตรงหน้าเปียโนโดยไม่พูดจาไม่จา ทันทีที่เขากดคีย์แรกก็ทำให้แมวใหญ่ที่อุ้มฉันอยู่ชะงัก ก่อนจะเดินมานั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจที่ปลายเตียง ไม่มีคำพูดอื่นใดระหว่างพวกเขาสองคน คนหนึ่งเพียงแค่เล่นดนตรี ส่วนอีกคนแค่เพลิดเพลินไปกับมัน ต่อให้มีอะไรซับซ้อนกว่านั้น ฉันก็มั่นใจว่าพวกเขาคงเข้าใจกันดี ฉันไม่แน่ใจว่าระยะเวลามีผลต่อพฤติกรรมมากแค่ไหน แต่ช่วงก่อนที่แมวใหญ่ของฉันจะหายไปอยู่ที่อื่น พวกเขาใช้คำพูดเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงเรื่อย ๆ มีหลายต่อหลายครั้งที่ทั้งคู่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรและหยิบยื่นให้โดยไม่ต้องขอ ฉันเห็นแล้วได้แต่หวังว่าคนเราจะอ่านอารมณ์สัตว์สายพันธุ์อื่นแบบนั้นได้ขนาดนั้นบ้าง แต่ถ้าอ่านออกแล้วยังแกล้งทำเป็นไม่สนใจอีก อย่างเรื่องชุดบ้า ๆ บอ ๆ กับเครื่องประดับกิ๊กก๊อกนั่น เห็นทีมนุษย์คนนั้นจะต้องโดนดีสักที

    อันที่จริงฉันเห็นเขาซ้อมเพลงนี้เมื่อหลายวันก่อน โม้กับฉันว่าจะเล่นให้แมวใหญ่ฟังในวันคริสต์มาส บอกตามตรงว่าเวลาหมอนั่นจดจ่อกับอะไรสักอย่างก็ดูน่ามองอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเมื่อสองวันก่อนเขาจึงคอตกตอนรู้ข่าวว่าอีกฝ่ายไม่ว่างมาคุยด้วยพอดี แต่ยังไม่ทันเสียใจได้นาน คนที่อยากให้ฟังนักหนาก็โผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ขนาดฉันที่แทบจะไม่ตกใจอะไรในชีวิตอีกแล้วก็ยังเผลออุทานเสียงดังอย่างกับพวกหมาขี้ตื่น ทำเอาแมวใหญ่หัวเราะชอบใจ อย่างน้อยตอนนี้เจ้าหมาก็ไม่เสียแรงเปล่าแล้ว มีแต่ได้กำไรด้วยซ้ำเพราะได้รับความรักจากแมวเป็นการตอบแทน แต่ไม่ใช่จากฉันหรอกนะ ถึงเขาจะเล่นได้เข้าท่าดีก็เถอะ ถ้าฉันเป็นมนุษย์ผู้ฟังจริง ๆ เห็นทีแค่ปรบมือก็น่าจะเพียงพอ อย่างอื่นปล่อยให้คนรักกันเขาแสดงออกจะดีกว่า

    ฉันกระโดดลงจากเตียงไปหาฟูกนอนอุ่นสบายเพื่อจะได้รีบหลับตาลง เพราะเหนื่อยก็อย่างหนึ่ง เพราะไม่อยากรับรู้ช่วงเวลาหวานชื่นของพวกเขาก็อีกอย่าง ก่อนจะผล็อยหลับ ฉันคล้ายจะได้ยินเสียง "เมอร์รี่คริสต์มาส" แว่วมาในความมืด ถึงพวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจอวยพรให้แมวที่บังเอิญมาอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างฉัน แต่ในเมื่อถูกเลี้ยงดูมาโดยคนคลั่งเทศกาล ฉันเลยพึมพำคำเดียวกันกลับไปในใจ 


    เมอร์รี่คริสต์มาสก็แล้วกัน เจ้าพวกมนุษย์




  • author's note:

    Merry Christmas and wish you a very happy new year!

    ขอให้ทุกคนมีคริสต์มาสที่สุขสันต์และปีใหม่ที่ดีนะคะ
    ปีนี้เป็นปีที่สนุกมากเพราะได้รู้จักกับ nct และได้แนะนำเหล่าตัวละครใน emily ให้ทุกคนได้รู้จัก ขอขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านและมอบความปรารถนาดีให้ตลอดมา รวมทั้งขอบคุณที่รักทุกคนในเรื่องนี้ด้วย  ถึงแม้มันจะเริ่มต้นด้วยการเป็นแฟนฟิคชั่น แต่ไป ๆ มา ๆ เรากลับเห็นภาพพวกเขาเหมือนเป็นมนุษย์ที่มีตัวตนจริง ๆ มากขึ้นทีละนิด ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะนักเขียนเพียงคนเดียว แต่เป็นเพราะคนอ่านต่างหากที่เห็นความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในนั้น รวมทั้งร่วมแบ่งปันความสุข ความเศร้า ความหวั่นไหว ความลังเล ความผิดหวัง และแม้แต่ความหวังไปด้วยกันจนจบ  

    ตอนพิเศษนี้อาจจะยาวสักหน่อย แต่ก็เหมือนจอยทั้ง 36 บทที่ผ่านมา ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันจนตัวอักษรสุดท้ายนะคะ อ่านจบแล้วแวะมาคุยและถามไถ่ถึงตัวละครที่คุณรักได้ทั้งในนี้และทวิตเตอร์ รวมถึง #อิเจนเอ๊ย ได้เสมอ :) 





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
per_pur (@per_pur)
เพิ่งได้มาเจองานเขียนนี้หลังอ่าน emilyจบมานานแล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะ เรารักงานเขียนของคุณกิ๊บมากๆ เราหายไปบ้างกลับมาอ่านบ้างตอนแรกคิดว่าโห 36บทเยอะจังแหะ แต่ได้อ่านแล้วมีความสุขมากๆเลย พออ่านจนจบแล้วก็คิดถึงตัวละครในเรื่องตลอด เห็นทีไรก็ยิ้มได้ทุกครั้งเลย ยิ่งได้มาอ่านตอนพิเศษนี้ ด้วยความชื่นชอบคริสต์มาสเป็นฐานเดิมได้มาอ่านแล้วให้ความรู้สึกคริสต์มาสกลางเดือนเมษาสุดๆ อ่านไปยิ้มไปน้ำตาซึมปริ่มเหมือนที่เจย์วิดีโอคอลกับเจนภพ ขอให้คุณกิ๊บมีความสุขมากๆนะคะ จะคอยซัพพอร์ตอยู่เรื่อยๆเลย :)
maaaaaaaaarimi (@maaaaaaaaarimi)
ก่อนอื่นเลยขอบคุณคุณกิ๊ฟมากๆที่เขียนเอมิลี่ขึ้นมานะคะ สุดว้าวซ่า ยกให้เป็นจอยแห่งปีของทางนี้เลยค่ะ เรื่องของนายเจนภพและผองเพื่อนทำให้เราผ่านคืนวันที่สับสนและว้าวุ่นใจมาได้จริงๆ ;_;
ปีนี้ขอให้คุณกิ๊ฟมีแต่ความสดใส เป็นกำลังใจให้นะคะ
vemblur (@vemblur)
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆของเจนภพน้องเจย์นายไดว์ฟ หยก ยูตะ พี่เต น้องแตงโมงน้องลูกหมี และเจ้าหญิงเอมิลี่ 5555 ขอบคุณมากเลยมันดีมากเลยจริงๆค่ะ พออ่านแล้วเรากลับค้นพบคำปลอบโยนโดยไม่ได้ตั้งใจ บรรยากาศในเรื่องสามารถรักษาหัวใจที่เจ็บปวดได้อยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วมันจะไม่เป็นอะไรเหมือนอย่างที่นายเจนภพว่า ฮืออออดีมากเลยค่ะ (รักพาร์ทเอมิลี่บ่นถึงเจ้านายหมาโง่และแมวใหญ่ของเขา ;-;)

Happy New Year ล่วงหน้านะคะ ไม่ว่าคุณกิ๊ฟคิดจะทำสิ่งใดเดินไปเส้นทางไหน ขอให้ราบรื่นและมีความสุขนะคะ ?✨
lemonandcream (@rainforestsky)
เป็นของขวัญคริสต์มาสที่ดีมากๆ เลยค่ะ อ่านแล้วมีแต่ความอบอุ่น น่ารัก อยู่เต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นตัวละครไหน ฉากใดก็ตาม เหมาะสำหรับเทศกาลนี้จริงๆ
เจนภพกับน้องเจย์แสนจะนุ่มฟู เป็นความสัมพันธ์ที่เรามองด้วยความยินดี ส่วนไดวฟ์กับทิมก็มีความน่ารักในแบบของเขานะ พอให้เราได้ยุบยิบที่หัวใจ ฮือ ครอบครัวและผองเพื่อนก็ดีมากเลย และขอมอบความรักที่แสนพิเศษให้เจ้าแมวน้อย แง ชอบการเล่าผ่านมุมมองของเอมิลี่มากเลยค่ะ มีความเย่อหยิ่งแต่ก็รักเจ้าของนะ 55555555555555555555
ขอบคุณอีกครั้งที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ ถ้อยคำและเรื่องราวเหล่านี้ ให้ความสนุก และแง่คิดให้ได้ทบทวนตัวเองมากมายเลยค่ะ
gggggggns (@gggggggns)
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษตอนนี้นะคะ เราอ่านแล้วอบอุ่นหัวใจมากมากเลย เจนภพก็ยังคงเป็นเจนภพที่น่ารัก น้องเจย์ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม ทุกคนเติบโตขึ้นไปตามทางของตัวเอง คุณทำให้เราหลงรักในทุกๆตัวละครเลย เราชอบ part เอมิลี่นะ555555 ยางทีเราก็อยากรู้เหมือนกันว่าสัตว์เลี้ยงของเราคิดอะไรอยู่ ส่วงทิมกับดิส เรายังเอาใจช่วยอยู่นะ เราไม่รู้เขาจะลงเอยกันยังไงแต่เราก็ยังจะเชียร์ต่อไปเรื่อยๆเลย

Merry Christmas นะคะ เราขอให้คุณมีความสุขมากมาก แล้วก็ขอบคุณที่มอบความสุขให้กับเราเหมือนกัน ????
weirdmoon (@weirdmoon)
ขอบคุณมากๆๆๆ เลยนะคะ เป็นคริสมาสต์ที่ดีอีกปีสำหรับเราเลยค่ะ ชอบทุกตัวละครเลย รู้สึกเหมือนพวกเขามีตัวตนอยู่จริงๆ
ยิ้มแก้มแตกเลยฮือ
ป.ล. เป็นกำลังใจให้คุณกิ๊ฟสำหรับการเขียนทุกเรื่องเลยนะคะ คอยตามอยู่เสมอๆ นะ ?
kevinkevx (@kevinkevx)
คุณคะ อย่างแรกเลย ขอบคุณสำหรับฟิตชันน่ารักๆอย่างเอมิลี่นะคะ เป็นของขวัญแรกในวันคริสต์มาสที่เราชอบมากจริงๆขอบคุณพลังของคุณนักเขียนที่ทำให้เครอ่านแล้วรู้สึกได้ถึงตัวตนจริงๆ เป็นคริสต์มาสที่อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจมากๆมันทำให้เราได้ย้อนคิดอะไรหลายๆเลย ขอบคุณมากนะคะ เมอร์รี่คริสต์มาสค่ะคุณกิ๊ฟ??✨
pan. (@opacity_jeelet)
ไม่ว่ากี่ครั้งที่อ่าน#อิเจนเอ๊ย ก็รับรู้ถึงความอบอุ่นและการตัอนรับฉันมิตรเสมอเลยค่ะ แต่แปลกใจที่ครั้งนี้อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเดินผ่านแถวบ้านเจนภพได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างในบ้านแล้วทำให้เรามีความสุขไปด้วย ในฐานะคนอินกับคริสมาสต์คนหนึ่ง การได้เจอครอบครัวและเพื่อนฝูงในช่วงนี้มันวิเศษจริงๆนะคะ ยินดีด้วยกับการที่เจนได้ใช้เวลาที่ดีกับครอบครัวนะ

ดีใจที่ได้เห็นทุกคนเติบโตขึ้นในเส้นทางของตัวเอง ดีใจที่ได้เห็นน้องเจย์และเจนเข้าใจกันและยังรักกันมากกว่าเดิมอีกต่างหาก(พวกเธอหวานจนเราอิจฉา จะน่ารักกันเกินไปแล้วนะทั้งคู่เลย ฮึ่มๆ) ดีใจที่ได้เจอเอมิลี่อีก(ไม่รู้จะสงสารหรือยินดีด้วยดีที่เอมิลี่ชินกับเจนภพแล้ว555) ดีใจที่ได้เห็นทุกคนอยู่ด้วยกัน ชอบอินเนอร์การขนต้นคริสมาสต์ของหยก การจะเลี้ยวไปอิเกียเพื่อซื้อต้นจริงของยูตะและการลางานของพี่เตมากจริงๆ (อยากลางานเหมือนกันค่ะพี่ขา แต่ที่ทำงานไม่เข้าใจ;-;) การได้อ่านตอนนี้ยิ่งเข้าใจแล้วว่าทำไมเข้ากันได้ขนาดนี้ เล่นตามเจนภพกันเก่งมาก

นี่เป็นหนึ่งในของขวัญคริสมาสต์ที่ดีสำหรับเราในปีนี้เลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่พาพวกเขามาให้หายคิดถึง สุขสันต์วันคริสมาสต์และสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ ขอบคุณสำหรับปีนี้มากจริงๆ งานของคุณกิ๊ฟทำให้เรายิ้มได้ในวันเหนื่อย ขอให้คุณได้พักผ่อนและได้ใช้ชีวิตได้อย่างที่ใจหวังนะคะ
ป.ล.ไม่รู้ว่าคุณกิ๊ฟจะมีแพลนเขียนspin-offของคุณดิศพลกับทิมต่อหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะออกมารูปแบบไหน เอาใจช่วยคุณดิศพลอยู่นะคะ
น้องแตงโมก็เหมือนกันนะ!
benz4988 (@benz4988)
Merry Christmas นะคะ คุณนักเขียน ฅ(=^ェ^=)ฅ

คุณสร้างความรู้สึกดีๆต่อวันคริสต์มาสสำหรับเรามากเลย TuT