this Christmas
คริสต์มาสที่มาถึงเร็วกว่าที่คาด นั่นคือความรู้สึกแรกเมื่อเจย์ต่อสัญญาณวิดีโอคอลสำเร็จและเห็นภาพคนอีกซีกโลกปรากฏผ่านจอคอมพิวเตอร์ จะว่าคาดไม่ถึงก็ไม่เชิง หลังจากระยะเวลาสามเดือนผันผ่านมาเป็นสามปี เขาได้เรียนรู้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าสามารถคาดหวังสิ่งที่ไม่คาดคิดจากเจนภพได้เสมอ คราวนี้ผู้รับบทเหยื่อมิใช่ใครอื่นไกล หากแต่เป็นแมวเพศเมียที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนตักคนเลี้ยง เอมิลี่สวมผ้าคลุมไหล่ที่มีฮู้ดสีแดงและขอบผ้าเป็นขนนุ่มฟูสีขาวแบบชุดซานตาคลอสทั่วไป เจย์สังเกตว่าเจนภพอุตส่าห์บรรจงผูกโบให้ยัยหนูอย่างสวยงามเสียด้วย ถึงจะดูเหมือนเด็กไปหน่อย แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบแมวตัวโปรดผ่านจอและโดนคนแซวว่าเหมือนแมวตะปบกล้อง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเอมิลี่จะคิดแบบเดียวกัน เจ้าหล่อนพยายามยกอุ้งเท้าตอบ ออกจะฉงนที่เห็นมนุษย์คนโปรดติดแหง็กอยู่ในจอ
เจนภพหัวเราะเสียงดัง ยิ้มกว้างจนตาหยีและเริ่มอุ้มเอมิลี่ขึ้นมาเต้นอย่างอารมณ์ดี ถ้าเป็นคนคนนี้ล่ะก็ เมื่อไหร่ก็เป็นคริสต์มาสได้ทั้งนั้น เจย์แก้ไขสิ่งที่คิดเมื่อครู่นี้ในใจ ถ้าเพียงแต่พี่เจนของเขาจะเห็นสีหน้าของแมวในอ้อมแขนสักนิด ไม่รู้ว่ากาลเวลาทำให้เอมิลี่อ่อนระโหยโรยแรงหรือเจ้าหล่อนเรียนรู้ว่าเปลืองแรงเปล่ากันแน่ จึงไม่ได้ออกอาการขัดขืนหรือกางกรงเล็บปัดป่ายไปทุกที่เหมือนเคย แต่ดวงตากลมโตที่หรี่ลงบ่งบอกถึงความไม่จอยสุดขีดอย่างชัดเจน
“สงสัยวันนี้เป็นวันดี ดูพี่มีความสุขจัง” เจย์เอ่ย หวังให้อีกฝ่ายหยุดบ้าพลังก่อนจะลืมว่าเป้าหมายคือการสนทนากับคน ไม่ใช้เต้นอวดแมว แม้จะน่ารักจนใจเจ็บก็เถอะ
“ดีสิ มีความสุขที่ได้เห็นหน้าเจย์ เจย์ใส่เสื้อไหมพรมแบบนี้แล้วน่ารักจัง ว่าแต่หนาวมากไหม หิมะตกบ้างหรือยัง” ดูเหมือนว่าแค่เริ่มต้น อีกฝ่ายก็รัวทั้งคำตอบ ประโยคบอกเล่า และประโยคคำถามในคราวเดียว ทำให้นึกถึงที่พี่ไดว์ฟเคยวิเคราะห์ไว้เหนือถ้วยชาในบ่ายวันหนึ่ง ว่าลำดับความคิดของเจนภพเวลาพูดจานั้นตรงกันข้ามกับตอนเขียนเรียงความโดยสิ้นเชิง เจย์ที่กำลังฝึกเขียนอยู่ตอนนั้นเข้าใจในทันที ประโยค thesis statement ของนิสิตเกียรตินิยมคนดังกล่าวเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาอยากจะพูดทุกอย่างโดยไม่ต้องอาศัยการขึ้นย่อหน้าใหม่ให้แต่ละประเด็น เจย์เองเคยผ่านจุดที่ต้องไล่ตามทั้งความคิดและคำพูดจนแทบล้มคะมำมาแล้ว แต่เมื่อตัวเองเดินได้เร็วขึ้นและอีกฝ่ายก้าวช้าลง เขาก็พบว่านั่นกลายเป็นส่วนที่ทำให้เจนภพได้รับคะแนนพิเศษ แน่นอนว่าเรียงความในการสอบไม่ได้มาพร้อมนัยน์ตาสีน้ำตาลระยิบระยับและเสียงทุ้มนุ่มอย่างที่เขาได้ยินแทบทุกวันนี่ ความรักทำให้คนลำเอียงได้ถึงเพียงนั้นทีเดียว
“แล้วก็คิดถึงเจย์มากเลย”
เขายังไม่ทันตอบคำถามก่อนหน้าด้วยซ้ำ จู่ ๆ เจนภพก็ส่งประโยคสรุปความมาให้โดยไม่ทันตั้งตัว ช่างไม่มีความเป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งไหล่ตกพลางถอนใจหงอย ๆ ผิดกับตอนแรกลิบลับ เขาจึงล้มเลิกการใช้ตรรกะกับทุกสิ่ง ในความสัมพันธ์ของพวกเขา เจย์สังเกตว่าจะมีช่วงเวลาแวบหนึ่งที่หากปล่อยไปก็จะสูญหายตลอดกาล มันคือเสี้ยววินาทีที่เจนภพทำให้หัวใจของเขาบีบตัวอย่างรวดร้าว ไม่ใช่ด้วยความเจ็บปวด เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายมันออกมาอย่างไร บางครั้งเวลาเขามองอีกฝ่ายตั้งอกตั้งใจแปรงขนแมว กัดริมฝีปากตอนอ่านหนังสือ หรือยืนรดน้ำต้นไม้ตรงระเบียง ในความเงียบงันเช่นนั้น หัวใจของเจย์จะมีอาการ ความอบอุ่นจะแผ่ซ่านไปถึงปลายนิ้วมือ ไม่ว่าจะอยู่ในอุณหภูมิ 33 องศาของกรุงเทพมหานครหรือท่ามกลางอากาศติดลบของลอนดอนก็ตาม มันคือความรู้สึกที่ทำให้เจนภพเขียนหนังสือทำมือยาวร้อยหน้าให้เขาในวันรับปริญญา และตอนนี้เจย์กำลังรู้สึกแบบเดียวกันนั้นอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยมขนาด 13 นิ้ว ต่างกันตรงที่ไม่อาจเดินไปกอดอีกฝ่ายให้หัวใจสงบลงกว่านี้ได้เหมือนเคย
“ผ่านมาเกือบครึ่งทางแล้วนะครับ” เจย์ยกมือขึ้นมานับนิ้ว “เก่งเหมือนกันนะเรา”
“เหมือนปิดเทอมใหญ่จริงด้วย” เจนภพหันมายิ้มแฉ่ง “ไม่ลองก็ไม่รู้จริง ๆ เนอะ”
เจย์นึกถึงตอนประกาศกับแฟนหนุ่มว่าจะไปลงเรียนหลักสูตรดีไซน์ระยะสั้นที่อังกฤษเป็นเวลาเกือบปี กังวลอย่างหนึ่งว่านี่จะเป็นการใช้เวลาหลังเรียนจบแบบคนมีอันจะกินจนอีกฝ่ายอดตัดสินไม่ได้หรือเปล่า โดยเฉพาะนี่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำ มากกว่าควรทำ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ร่ำเรียนมาในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่สาขาที่คุ้นเคยและต้องอาศัยทักษะที่ไม่เคยฝึกฝนอย่างเป็นจริงเป็นจัง อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากได้สัมผัสแล้วจะรักหรือจะชัง ความกังวลอีกอย่างที่ตามมาย่อมไม่พ้นความสัมพันธ์ระยะไกล ประเด็นที่เขารู้ดีว่าเจนภพเคยฝังใจนักหนากับเรื่องรักก่อนหน้าที่จบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เจย์เข้าใจดีว่าตัวเองเป็นคนละคนและนี่คือความสัมพันธ์คนละคราว แต่ไม่มีใครทำนายได้อยู่ดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หลังจากบอกใบ้เป็นนัยอยู่เป็นสัปดาห์ สุดท้ายเจย์จึงเดินหน้าชน จุดประสงค์คือแจ้งให้ทราบมากกว่าขออนุญาต เดิมพันหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของผู้รับสารล้วน ๆ
เรื่องของเรื่องก็คือ เจย์รู้เต็มอกว่าแม้เจนภพไม่เห็นด้วย ตัวเขาเองก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ เจย์คาดการณ์ถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด โดยหลงลืมไปชั่วขณะว่าทำไมตนเองถึงได้ตกหลุมรักคนคนนี้ผ่านบทสนทนาว่าด้วยชีวิต เงินตรา การทำงาน ความฝัน และความหวั่นไหวในแต่ละค่ำคืน เพราะสุดท้ายแล้วเจนภพก็แค่ถามถึงหลักสูตรและสถาบันที่เขาจะไปเรียน แซวว่า “พี่จะต้องรีบหาเงินมาช่วยเจย์แต่งบ้านให้สมฐานะคนเรียน interior design” และถอนใจด้วยความอิจฉาที่เจย์กล้าหาญมากพอจะฉกฉวยโอกาสและวันเวลาแบบที่เขาไม่เคยกล้า วินาทีนั้น เจย์รู้สึกได้ทันทีว่านี่ต่างหากคือสิ่งที่ยากเย็นที่สุด ไม่ใช่การผลักไสหรือฉุดรั้งเพราะกลัวว่าความรักจะร้างลา แต่เป็นการยอมรับและปล่อยมือเพราะว่าอยากให้ความรักนั้นเติบโต
ปิดเทอมใหญ่ที่ยาวนานกว่าธรรมดา เจนภพว่าไว้อย่างนั้น เหมือนกับช่วงเวลาปลายหน้าร้อนที่เจย์ต้องกลับบ้านที่เชียงใหม่และพวกเขาไม่ได้สัมผัสกันและกันร่วมสองเดือน คราวนี้แค่เปลี่ยนจากการมีครอบครัวคั่นกลาง (ใช่แล้ว ป่านนี้พ่อของเจย์ยังคงทำเป็นไม่รับรู้การมีอยู่ของเจนภพในฐานะคนรักของลูกชายอย่างแข็งขัน) ไปเป็นมหาสมุทร ระยะทาง และเขตเวลาที่แตกต่างกันแทน ขณะนี้ล่วงเข้าเดือนที่หก ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำให้พวกเขาทำได้ทุกอย่างยกเว้นจับมือกันและอะไรมากกว่านั้นเล็กน้อย แต่รวม ๆ แล้วความห่างไกลทำให้เจย์ตระหนักว่าเขาอยู่โดยไม่มีเจนภพข้าง ๆ ได้อย่างสบาย เพียงแต่หากเป็นไปได้ เขาขอเลือกชีวิตที่มีพี่เจนอยู่ตลอดเวลาดีกว่า นั่นอาจเป็นเหตุผลที่คนเราต้องมีบ้านให้กลับไปกระมัง
“ว่าแต่ช่วงคริสต์มาสนี่ เจย์มีแผนไปทำอะไรหรือยังนะ”
“พรุ่งนี้ว่าจะเอากล้องฟิล์มไปถ่ายบรรยากาศ” เจย์ตอบ “แต่เดี๋ยวเอากล้องมือถือถ่ายภาพสด ๆ ส่งมาให้ดูก่อนนอนนะ”
“ดีแล้ว ส่งมาเมื่อไหร่ก็ได้ พี่ทำงานดึกช่วงนี้เพราะงานเร่งมากเลย” ว่าแล้วก็หาวหนึ่งที “ต้องรีบเคลียร์งานเพราะว่าวันคริสต์มาสอีฟจะไปเที่ยวงานที่โบสถ์แหละ นัดไดว์ฟไว้ด้วย”
“พี่ไดว์ฟบอกแล้วครับ ตอนที่แวะมาถามว่าจะฝากอะไรกลับไทยไหม” เจย์ตอบ ยังจำภาพรุ่นพี่ที่บอบช้ำจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเดินมาล้มตัวลงบนโซฟาของเขาเมื่อวันก่อนได้ดี ตั้งแต่รู้ว่าเขาจะมาเรียนที่นี่ พี่ไดว์ฟก็มักแวะเวียนมาชวนไปพิพิธภัณฑ์โน้นนี้ ไม่ก็เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำเขาอยู่เสมอ พอเล่าให้ผู้เป็นเพื่อนสนิทฟัง เจนภพฟันธงว่านั่นเป็นอาการโหยหาเพื่อนมนุษย์และวิธีหลีกหนีความจริงอันโหดร้ายของนายดิศพลไม่ผิดแน่ ทางที่ดีคือปล่อยให้ทำตามใจไป เจย์ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วเนื่องจากได้กินข้าวฟรีและตั้งวงนินทาพี่เจน
“แล้วได้ฝากอะไรมาไหม” ต่อให้ภาพวิดีโอคอลกระตุกหรือความละเอียดต่ำแค่ไหน แต่นัยน์ตาของคนถามอย่างเจนภพเป็นประกายวิบวับอย่างชัดเจน
“ก็มีฟิล์มที่จะฝากพี่เจนสแกนกับชาให้คุณแม่ แค่นี้เอง” เจย์ตอบ รู้สึกสนุกอย่างยิ่งที่ได้เห็นคนในจอถอนหายใจเหมือนลูกโป่งที่ค่อย ๆ ฟีบลงอย่างดราม่า
“เดี๋ยวจะไปบอกไดว์ฟให้จับใส่กระเป๋าเดินทางกลับมาซะเลย”
“แบบนั้นมันจะน่ากลัวเกินไปนะครับ” เจย์ขำ
“เฮ้อ อยากให้มาเล่นเกมที่งานด้วยกัน เจย์คือมือหนึ่งเรื่องโชคของพี่” ว่าแล้วเจนภพก็ขยับแล็ปท็อปให้กล้องถ่ายทอดภาพอาณาจักรตุ๊กตาที่อยู่บนเตียง ดูเหมือนเอมิลี่จะชอบหมอนหมีพูห์ที่เจย์ได้มาเมื่อสองปีก่อนเป็นพิเศษ
“มีประโยชน์แค่นี้เองสินะเรา”
“มาทำให้คนอื่นเขาคิดถึงแล้วยังจะตัดพ้ออีก”
คราวนี้การแสดงท่าทางหงอย ๆ เกินจริงของเจนภพทำให้เจย์หัวเราะออกมาพร้อมความรู้สึกร้อนผ่าวตรงขอบตา เขาถอยหลังห่างจากจอไปเล็กน้อย ไม่อยากให้คนไกลเห็นตัวเองน้ำตารื้นเพราะจะชวนกันร้องไห้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ความเหนื่อยล้าจากการเรียน ความหวาดกลัวอนาคตข้างหน้า ความไม่มั่นใจในฝีมือ ความกังวลว่าอีกฝ่ายจะตอบรับภาพถ่ายที่เขาเผลอส่งไปไม่รู้เวล่ำเวลาอย่างไร และแม้แต่ความลังเลว่าควรส่งข้อความไปหาดีหรือไม่ แสดงความอ่อนแอได้มากแค่ไหน เรียกร้องจากคนที่เขาเป็นฝ่ายเดินจากมาได้มากเพียงใด ทั้งหมดทั้งมวลกลั่นออกมาเป็นน้ำตาง่าย ๆ เวลาต้องบอกลาอีกฝ่ายไปอีกวัน เจย์ขยี้ปลายจมูกแดง กระแอมไอเพื่อเรียกสติอีกครั้ง รู้อยู่แล้วว่าเจนภพอ่านออกหมดว่าเขารู้สึกอย่างไร
“เดี๋ยวต้องออกไปข้างนอกแล้วครับ” เจย์รีบพูด “อ้อใช่ คืนคริสต์มาสอีฟเจย์มีโปรเจกต์ต้องทำแล้วต้องออกไปปาร์ตี้ต่อ ถ้าไม่ได้ตอบข้อความทันทีก็ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวก่อนนอนจะมาบอกว่าถึงบ้านแล้ว”
“รู้แล้วครับ” เจนภพพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “อย่าดื่มเยอะ ระวังตัว แล้วก็เป็นเด็กดี ซานตาคลอสจะได้เอาของขวัญมาให้”
เจย์ประทับใจสีหน้ายามแฟนหนุ่มพูดถึงซานตาคลอสเหลือเกิน หัวใจเขาเริ่มคันยุบยิบขึ้นมาอีกครั้ง
“รู้แล้วเหมือนกันครับ” เจย์ยกมือขึ้นมาบ๊ายบาย “อย่างอแงล่ะ เด็กดี”
วิดีโอคอลจบลงเหมือนตอนเริ่มต้น เจนภพอุ้มเอมิลี่มาโบกอุ้งเท้าลาและหัวเราะลั่นจนแทบหงายหลังอีกครั้ง เจย์รีบโบกมืออย่างว่องไวก่อนน้ำตาจะไหล่บ่าเป็นน้ำหลาก ต้องโทษบรรยากาศของเทศกาลที่ทำให้อ่อนไหวเป็นพิเศษ หรือไม่ก็ความเป็นคนปากหนักตามธรรมชาติของตัวเอง เสี้ยววินาทีก่อนหน้าจอจะดับลง เขาตะโกนว่า “คิดถึงนะครับ!” สุดเสียง ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายจะได้ยินทันหรือไม่ ส่วนการกล่าวย้ำอีกทีคงน่าอายเกินไป
เมื่อกี้เจย์ว่าอะไรนะ ข้อความล่าสุดเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ
เจย์ยิ้มจนรอยบุ๋มปรากฏบนสองแก้ม เขาส่งแค่อีโมติคอนหน้ายิ้มใส่แว่นกันแดดกลับไปให้ ก่อนจะคว้าผ้าพันคอไหมพรมที่เพิ่งแกะออกจากกล่องของขวัญเมื่อวานมาพันให้อุ่น คนที่ตั้งใจถักมันอย่างดีและฝากเพื่อนสนิทเอามาซ่อนในห้องของเขาคงยังไม่รู้ว่าของขวัญคริสต์มาสโดนหาเจอก่อนเวลาอันควร (ช่วยไม่ได้ที่ต้องใช้กระเป๋าเดินทางพอดีนี่นา) เจย์ลูบเนื้อผ้านุ่มอุ่นราวกับได้รับการโอบกอด เขาหยิบกุญแจห้องแล้วก้าวออกไปยังเมืองที่เริ่มสว่างไสวขึ้นทีละน้อยเหมือนเทียนที่ถูกจุดทีละเล่มในโบสถ์
driving home for Christmas
family (4)
- @divedissaphol พอดีพ่อต้องเข้าเวร ไม่ว่างไปรับแล้วนะ
- อ้าว แล้วแม่ล่ะครับ
- แม่ไปสวิส ไม่รู้เรื่องเลยไอ้น้องคนนี้
- งั้นแบบนี้ไอ้คุณพี่จะมารับผมแทนเหรอ
- บ้าแล้ว อยู่ไซต์งานที่เชียงใหม่ บอกให้กัปตันมาแลนดิ้งที่นี่สิ
- พูดว่าให้กลับแท็กซี่เองแต่แรกก็จบเรื่องแล้วปะ
- ไม่ต้อง ๆ แม่เขาฝากคนไปรับแล้ว
- อะไรอะ ฝากใคร
ดิศพล เจริญภูมิเป็นคนไม่เชื่อเรื่องโชคลาง แต่หนังตาข้างขวาของเขากระตุกทันทีที่เปิดโปรแกรมแชทหลังจากเหยียบแผ่นดินประเทศไทยได้ไม่นานเท่าไร การนัดหมายกับครอบครัวล้มเหลวเป็นอย่างแรก เรื่องหน้าที่การงานของพ่อที่โรงพยาบาลนั้นเข้าใจได้เสมอ เช่นเดียวกับพี่สาวฝาแฝดที่เป็นวิศวกรและรอนแรมอยู่หลายที่ยกเว้นบ้าน แต่มารดาผู้ทำงานติดบ้านแทบตลอดเวลา จู่ ๆ ก็ออกไปท่องเที่ยวโดยไม่บอกกล่าว ออกจะเป็นเรื่องคาดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน เมื่อหวนคิดดูดี ๆ นั่นอาจเป็นความผิดฐานละเลยไม่ใส่ใจของเขาเองก็เป็นได้ ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เขาเหมือนคนละเมอเดินที่ถูกจิตใต้สำนึกบงการให้เดินไปมหาวิทยาลัย เลี้ยวเข้าห้องสมุด เข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษา กลับมาเขียนวิทยาพนธ์เพื่อจะได้กลับไปยังมหาวิทยาลัย วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาจนแทบลืมวันลืมคืน ข้อมูลอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาการถูกแยกไว้อีกโฟลเดอร์หนึ่ง เก็บเข้าลิ้นชักไว้ดูทีหลังโดยที่ “ทีหลัง” ไม่เคยมาถึง แม้แต่คนอย่างเจนภพยังเลิกก่อกวนเขาอย่างมีนัยสำคัญ เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรรู้สึกขอบคุณหรือโหยหาดี
ดิศพลก้มลงมองข้อความล่าสุดของตัวเองในกลุ่มครอบครัว สถานะขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่ยังไม่มีใครตอบคำถามของเขาสักคน เขารู้สึกว่าตาขวากระตุกแรงขึ้นกว่าเดิมอีกตอนที่โทรศัพท์สั่นเพราะมีข้อความใหม่เข้ามา ในใจนึกฝันว่าถ้าซื้อลอตเตอรี่งวดนี้ก็อาจจะมีโอกาสชนะรางวัลกับเขาบ้าง คนที่แม่ฝากฝังให้มารับเขาได้ บนโลกนี้มันจะสักกี่คนกันเชียว
tim assavakul: ถึงแล้วใช่เปล่า
tim assavakul: รออยู่ตรงไหน เดี๋ยวไปหา
ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นทิมมีผมสีดำตามธรรมชาติน่าจะเป็นวันสุดท้ายของชั้นมัธยมหก ส่วนครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเห็นหน้าค่าตากันคือเมื่อเกือบสามปีก่อน หลังจากจบทริปอิตาลีตอนเหนือ ทิมไม่ได้พลาดรถไฟเที่ยวที่ดิศพลโดยสารไปลอนดอนเมื่อหน้าร้อนจบลง แต่เป็นเพราะดิศพลเองต่างหากที่ออกเดินทางล่วงหน้าโดยไม่ได้บอกใคร เวลาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับจะถมความเงียบงันและว่างเปล่าหลังจากนั้น เขารู้แค่ว่าทิมเรียนจบในปีถัดมาและกลับมายังบ้านเกิด ส่วนเขามัวง่วนอยู่กับการเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่ลอนดอนดังเดิม ชื่อของอีกฝ่ายแว่วมาให้ได้ยินบ้างนาน ๆ ครั้งในบทสนทนาเรื่อยเปื่อยกับแม่ ดิศพลคาดว่าทิมเองก็น่าจะได้ยินความเป็นไปของเขาผ่านช่องทางเดียวกัน ส่วนเรื่องราวอื่นใดนอกเหนือจากนั้นไม่มีอยู่จริง
ต้องโทษที่เขาเอาของติดตัวมาจากอังกฤษน้อยชิ้นเกินไป นอกจากเป้สะพายหลังหนึ่งใบกับกระเป๋าลากขนาดเล็กก็ไม่มีอย่างอื่นอีก ทิมยืนเก้ ๆ กังๆ ด้วยความหวังว่าจะช่วยถืออะไรสักอย่างแก้เก้อ แต่ว่าต้องผิดหวัง พวกเขาเดินไปยังที่จอดรถ ดิศพลต้องใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายเพิื่อยับยั้งตัวเองไม่ให้วิจารณ์คนที่เอามินิคูเปอร์คันเล็กมารับคนที่สนามบิน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ที่สำคัญคือคำบ่นแสนเนรคุณแบบนั้นกลับทำให้ทิมหัวเราะคิกคักเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าแกล้งเพื่อนสำเร็จ และเพื่อนคนนั้นก็อยู่ในสถานะที่ตอบโต้อะไรไม่ได้เสียด้วย
"เรารู้หรอกน่าว่าไดว์ฟไม่เอาของมาเยอะหรอก" ทิมช่วยเขาจัดวางกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถ "แต่ก็แอบกลัวแหละว่าจะขนหนังสืออ้างอิงหนา ๆ มาเต็มกระเป๋าแทน ยกไม่ไหว"
"เดี๋ยวนี้เขามีฐานข้อมูลออนไลน์กับคินเดิลกันแล้วคุณ" เขาอดเถียงกลับไม่ได้จริง ๆ ไม่มีวัน
"ช่วงวันหยุดแบบนี้ก็พักบ้างเถอะคุณ" ทิมย้อน "ขึ้นรถดี ๆ ล่ะ ระวังหัวโขก"
จู่ ๆ ช่องว่างนั้นก็พลันหายไป ดิศพลสงสัยว่าคนข้าง ๆ กำลังขับรถที่มุ่งหน้าไปสู่อดีตหรือไม่ ไม่ใช่แค่สองปีที่สาบสูญนั่น แต่เป็นบรรยากาศคุ้นเคยระหว่างคนที่รู้จักกันตั้งแต่ยังไม่เกิด ผ่านไปราวสิบนาทีได้ เขาถึงเพิ่งนึกออกว่าไม่เคยนั่งรถที่ทิมขับมาก่อน อีกฝ่ายถามแทรกความเงียบขึ้นมาว่าเขาอยากฟังเพลงอะไร ก่อนที่จะลงเอยด้วยการสลับกันเลือกคนละเพลง เขาเพิ่งรู้ว่าทิมก็ชอบ Billie Eilish เหมือนกัน ช่วงหนึ่งดิศพลเผลอร้องเพลงคลอระหว่างชมวิวข้างทางแสนน่าเบื่อ นั่นทำให้บทสนทนาหันเหไปยังเรื่องวงดนตรีของมหาวิทยาลัยที่เขาเคยเป็นหัวหน้านักร้อง — กล่าวคือ เรื่องแล้วเรื่องเล่าหลั่งไหลออกมาเหมือนตาน้ำผุดในธรรมชาติ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ใคร่สนใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายชอบฟังเพลงอะไร มีเรื่องสัพเพเหระแบบไหนในชีวิตบ้าง ดิศพลตระหนักถึงความตลกร้ายของสถานการณ์ เขาอวดอ้างกับตัวเองมาตลอดว่ารู้จักชีวิตข้างในของทิมดีเสียยิ่งกว่าเจ้าตัว แต่กับเรื่องอื่นๆ เขากลับหลงทางโดยสิ้นเชิง
"ไดว์ฟอยากแวะกินข้าวก่อนไหม ต้องออกไปหาเจนกี่โมงนะ"
"เดี๋ยวหาอะไรในบ้านกิน" เขาตอบ "นี่แม่บอกแม้แต่เรื่องเรานัดเจนเลยเหรอ"
"เปล่าเหอะ เราก็คุยกับเจนสิ ถึงได้รู้"
"เออ" เขาพลาดอะไรไปไม่น้อยจริง ๆ หากนำเรื่องนี้มาพิจารณา "เฮ้ย นี่อย่าบอกนะว่าจะไปด้วย"
"อ้าว เราต้องขับรถให้ไดว์ฟไม่ใช่เหรอ"
"เดี๋ยวโทรเรียกเจนมารับ"
"เจนต้องขับพาที่บ้านไปงานนี่นา จะไปนั่งเบียดกับบ้านเขาหรือไง"
ดิศพลถอนใจเฮือกใหญ่ เพื่อนสนิทของเขาข้ามกำแพงกลับมาเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ส่วนเขายังนั่งอยู่ตรงนี้ จ้องหน้ากับกำแพงที่ว่า โอกาสเคยผ่านมาแล้วผ่านไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาไม่คิดฉกฉวย วิถีทางของเขาคือปลูกผักปลูกหญ้าอยู่ข้างกำแพงนั้นตลอดไป
เจนภพกระโดดเข้ามากอดเหมือนหมาตัวใหญ่ของอาจารย์ที่ปรึกษาเวลาเขาไปเยี่ยมบ้าน ดิศพลยกมือไหว้พ่อแม่ของเพื่อนอย่างทุลักทุเล เนื่องจากพวกผู้ใหญ่แยกตัวไปหาคนรู้จักและเที่ยวชมงานเอง จึงเหลือแค่พวกเขายืนเคว้งกันอยู่สามคน เจนภพพูดไม่หยุดตั้งแต่บ่นคิดถึงแฟนไปจนถึงเรื่องซื้อกองทุนรวมโดยมีทิมยืนยิ้มกริ่มขณะมองดูสถานการณ์โปรด หากตัดภาพดังกล่าวออกมาโดยไม่คำนึงถึงช่วงเวลาแล้วล่ะก็ นี่อาจลวงตาได้ว่าตอนนี้คือเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เจนภพกับทิมเป็นแฟนหนุ่มของกันและกัน หาไม่แล้วก็ย้อนไปไกลกว่านั้นตอนที่สองคนนี้เพิ่งรู้จักกันใหม่ ๆ ในฐานะเพื่อนของเพื่อน กล้องซูมเข้าไปให้เห็นว่าเจนภพยืนเถียงกับเขาไม่เลิกรา ไม่รู้ตัวเลยว่าทิมมองมาด้วยสายตาอ่อนโยนจนเขาเผลอสบถคำว่า "ฉิบหาย" ในใจ
แต่ตอนนี้ สิ่งเดียวที่พอจะแยกชั่วขณะปัจจุบันออกจากอดีตได้ อาจเป็นตอนที่ดิศพลหันไปหาอีกฝ่ายด้วยความเคยชิน ไม่ได้คาดหวังว่าทิมจะตอบรับสีหน้าเอือมระอาหรือเข้าใจสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ส่งไป เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังขำปนเอ็นดูกับพลังที่เหลือล้นของแฟนเก่าเหมือนเคย แต่เปล่าเลย ทิมยิ้มร่าให้เขาก่อนที่จังหวะสบตาจะมาถึงเสียอีก รอยยิ้มซุกซนนั้นกว้างขึ้นไปอีกเมื่อดิศพลคิดว่าตัวเองน่าจะหลุดทำหน้าเหลอหลา เขาแทบจะเห็นกราฟิกคำว่า "ฉิบหาย" ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าแบบในรายการวาไรตี้ที่ชอบดูเลยทีเดียว
"เจน พูดเยอะไม่หิวน้ำบ้างเหรอ" ทิมว่า "ไปซื้อน้ำให้หน่อยดิ สามแก้วเลย"
ไม่รู้เพราะทิมยื่นแบงก์ให้โดยไม่รีรอหรือเปล่า เจนภพถึงได้วิ่งร่าเริงไปยังซุ้มขายน้ำอย่างว่องไว
"ร่ำรวย เลี้ยงเพื่อน" แน่นอนว่าดิศพลต้องฆ่าเวลาด้วยบทสนทนาอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
"ไดว์ฟ โค้กแก้วละยี่สิบ"
"แต่จริง ๆ แล้วกิจการก็ไปได้ดีหรือเปล่า"
"ก็ดีนะ แต่ตอนนี้สนใจเรื่องดีไซน์มากกว่าเรื่องบริหารอีก" ทิมขำ ที่บ้านของเขาทำธุรกิจจิวเวลรี่กับออกแบบเครื่องประดับต่าง ๆ "แม่ชอบแซวว่าส่งไปเรียนผิดสายหรือเปล่า"
"ทำไมเด็กบัญชีถึงหันมาเป็นนักออกแบบกันหมด เรางงเหมือนกันตอนน้องเจย์ไปเรียนด้านนี้ที่อังกฤษ" ดิศพลตั้งข้อสงสัย ก่อนจะชะงักเมื่อเอ่ยชื่อบุคคลที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ขึ้นมา "โทษที ไม่ได้จะพาดพิงเขา"
ทิมไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา นอกจากยิ้มบาง ๆ ให้ "เราว่าไดว์ฟต้องอัปเดตผังความสัมพันธ์ใหม่ด่วน ๆ เลย" ว่าแล้วก็เอื้อมมือมาบีบบ่าให้กำลังใจเขา "เรากลับมาเป็นเพื่อนกับเจนได้ เพราะเรากับเจย์ไม่ได้เกลียดกันเหมือนในละครสักหน่อย ถึงตอนแรกจะมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันบ้าง แต่พอกลับไทยมา ได้เจอกัน ได้นัดกินข้าวกัน ได้เคลียร์กันก็โอเคไปทีละนิดแหละ ยิ่งเราเป็นรุ่นพี่เจย์ด้วย พาไปเลี้ยงขนมกับให้คำปรึกษาเรื่องเรียนแค่นี้ก็ดีกันแล้ว"
ดิศพลรู้สึกเหมือนตัวเองหลับข้ามทศวรรษเหมือนริป แวน วิงเคิลแล้วตื่นมาเจอโลกที่เปลี่ยนไป ตลอดช่วงเวลานั้น ชื่อทิมไม่เคยหลุดรอดจากริมฝีปากของเขา พอ ๆ กับที่เขาระมัดระวังไม่ให้คนอื่นเอ่ยชื่อนั้นออกมาโดยไม่จำเป็น จู่ ๆ ความเป็นจริงก็ตีแสกหน้าเหมือนลมหนาวที่มาปะทะโดยไร้สัญญาณเตือน เขายังอยู่ที่เดิมเสมอ ทุกครั้งที่ทิมยิ้ม เขาจะกลับไปเป็นเด็กมัธยมใส่กางเกงขาสั้นที่รอกลับบ้านพร้อมกันหลังเรียนพิเศษ เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ทิมร้องไห้ เขาจะนึกถึงประโยค "เลิกกันแล้ว" เสียงสั่นเครือและกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เจือในลมหายใจ
"มาแล้ว!" เจนภพโผล่เข้ามาอีกครั้ง หลังจากแจกจ่ายแก้วน้ำให้ เขาก็เอาหมวกซานตาคลอสที่ไปเอามาจากไหนก็ไม่ทราบสวมลงบนศีรษะของแต่ละคนเสร็จสรรพ "คุยอะไรกันอยู่เหรอ"
"อัปเดตชีวิตให้ไดว์ฟฟัง" ทิมชิงตอบ "มัวแต่เรียนหนังสือทั้งวันทั้งคืนจนไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว"
"สงสัยจะจริง" เขารู้สึกว่าน้ำอัดลมรสชาติจืดจางในปากขึ้นมาทันที "ทุกคนทำงานทำการ ไปไหนต่อไหนกันแล้ว แต่เรายังมีสถานะเป็นนักศึกษาอยู่เลย"
ดิศพลพูดไปตามความจริงเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการคำปลอบโยนอื่นใด แต่ในเมื่อเขาอยู่กับนักปลอบใจคนอันดับหนึ่ง รู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกเจนภพรวบกอดจากข้างหลัง แถมยังเอาหัวมาถูไถเหมือนแมวขนาดยักษ์อีกต่างหาก คนที่เดินผ่านไปผ่านมาน่าจะรู้สึกขบขันไม่ก็กระอักกระอ่วนกับสิ่งที่เห็นจนต้องเดินหนีแน่ ๆ เพราะกลัวน้ำในแก้วกระฉอก เขาจึงไม่กล้าออกอาการขัดขืนมาก
"เส้นทางของไดว์ฟแค่ไกลกว่าคนอื่นเอง แต่เดี๋ยวก็ถึงจุดหมายเหมือนกัน" เจนภพจับตัวเขาโยกไปโยกมา "ใช้เวลาไปถึงนานกว่าไม่ได้แปลว่าประสบความสำเร็จน้อยกว่าคนอื่นเสมอไปนี่ ถ้าพรุ่งนี้เราเปลี่ยนเป้าหมายบ้าง เราก็จะไปช้าที่สุดในกลุ่มอีกหน แต่ไม่เห็นเป็นไร ยังไงก็อยู่ด้วยกันตรงนี้"
"เจนนี่มันเจนจริง ๆ เลย" ทิมว่า "นี่ เราขอกอดบ้างดิ"
ท้องฟ้ามืดสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แสงไฟรอบ ๆ จึงเปล่งแสงระยิบระยับแทนดาวที่ถูกกลบบนฟ้า นั่นเป็นภาพเดียวที่ดิศพลเห็นในเวลานั้น เขาได้ยินเสียงวงดนตรีเล่นเพลง Holy Night ซึ่งไม่น่ากึกก้องมากพอจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นโครมคราม เพราะทิมกอดเขาแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ส่วนสูงที่ต่างกันพอสมควรจึงอาจทำให้เขาโกหกไม่ได้หากอีกฝ่ายตั้งใจฟัง — ตึ้กตั้ก ตึ้กตั้ก ท่วงทำนองสะท้อนในหู มนุษย์ไร้อำนาจควบคุม ช่างน่าอายเหลือเกิน
"ง่วงหรือยัง ตาปรือแล้วเนี่ย"
"นิดหน่อย"
"ไม่นิดแล้ว นี่อึดมากนะ ตั้งแต่ลงเครื่องมายังไม่ได้พักเลย"
"ตารางนอนพังจนไม่รู้ว่าต้องนอนยังไงแล้วเหมือนกัน"
"มาเร็ว เจนจะไปเข้ามิสซาแล้ว กลับบ้านกัน"
กลับบ้านกัน เขาเดินตามทิมไปที่รถหลังจากโบกมือลาเพื่อนสนิทที่เข้าโบสถ์พร้อมครอบครัว แม้จะอ่อนระโหยโรยแรงกันทั้งคู่ แต่เพลย์ลิสต์เพลงเกาหลีที่เจนภพแนะนำก็ทำให้พวกเขาประคองสติกลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย ดูเหมือนว่าเวลายี่สิบหกปีจะดำเนินมาเพื่อให้ถึงนาทีที่พวกเขาโยกหัวประกอบเพลงที่ฟังไม่เข้าใจความหมายไปพร้อมกัน
"เมอร์รี่คริสต์มาสนะไดว์ฟ"
"อือ เหมือนกัน ขอบคุณที่มาส่ง"
"ไม่เป็นไร ไปละ"
"เดี๋ยวก่อนดิ"
ทิมที่กำลังจะเข้าไปนั่งในรถชะงัก จากนี้ดิศพลจะโทษอาการเจ็ตแล็กของตัวเองก็แล้วกัน
"มากินกาแฟสักแก้วก่อนแล้วค่อยไป"
สีหน้าของทิมในขณะนั้นน่าจะประทับลงในความทรงจำของเขาไปอีกเนิ่นนาน เหมือนสีหน้าของเจนภพตอนเขาเข้าไปทักครั้งแรกสมัยมัธยมต้น เหมือนรอยยิ้มกว้างของคนในกลุ่มเหนือหม้อชาบูในวันสอบกลางภาควันสุดท้าย เหมือนสายตาที่แม่มองมาเวลาเขาหันไปหา ทิมปิดประตูรถอย่างงง ๆ แต่ก็ก้าวนำหน้าไปด้วยความคุ้นเคยกับสถานที่ ดิศพลเดินตาม พลางรำพึงในใจว่าบางทีหนทางกลับบ้านที่แท้จริงอาจเริ่มต้นที่ประโยคเฉิ่มเชยประโยคหนึ่งก็เป็นได้
"เอามา พี่ช่วยถือ" เจนภพรับถุงหูหิ้วขนาดใหญ่ที่แบกน้ำหนักพิซซ่าถาดใหญ่สามถาด สปาเกตตี น่องไก่ และของว่างหลายอย่างมาจากเจย์ ผู้ที่มือข้างหนึ่งถือถุงใส่ไก่ทอดถังเบ้อเริ่มอยู่แล้ว เนื่องจากมีเวลาให้เตรียมอาหารไม่มาก แถมคนที่มีฝีมือทัดเทียมมารดาของเขายังดูจะเรียกสติและกำลังวังชาจากลอนดอนกลับมาได้ไม่เต็มที่ พวกเขาจึงเลือกมาซื้ออาหารส่วนใหญ่จากห้างใหม่แถวบ้าน นึกแล้วเขายังขำอยู่เลยที่เห็นเจย์ลุกขึ้นมาจากเตียงงง ๆ ก่อนจะหันซ้ายหันขวา ถามว่าที่นี่คือที่ไหนและตัวเองไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ ท่าทางต่างจากคนแรงเหลือเมื่อคืนราวกับคนละคน แต่พอได้ยินว่าเขากำลังจะออกไปซื้อของเพื่องานเลี้ยงคริสต์มาสแสนฉุกละหุก เจย์ก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า สวมแว่นสายตา และออกมาเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า โดยเหตุผลที่กลับมากระตือรือร้นได้หน่อยก็คือ "เจย์หิว"
"ไหวไหมนั่น พี่เจนถือถุงใส่ขนมกับน้ำอยู่แล้วนะ" เจย์ถามหลังจากเห็นคนที่มาด้วยกันพยายามหิ้วทุกอย่างไว้ในมือข้างเดียว แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าขำเมื่อรู้คำตอบในวินาทีต่อมา เมื่อนิ้วมือของเจนภพสอดประสานกับมือข้างที่เพิ่งว่าง กุมมือที่เล็กกว่าไว้แน่นราวกับจะหลอมละลายไปด้วยกัน
"ต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มสิ" เจนภพว่า ยกมือของพวกเขาขึ้นมาประกอบคำพูด "ไม่เป็นไรใช่ไหม"
"ไม่หรอกครับ" เจย์ตอบ รู้ดีว่าทำไมเขาถึงถามแบบนั้น "มาจูงมือกันเดินให้ถึงบ้านเลยดีกว่า"
พวกเขาก้าวออกจากห้างและเจอแสงแดดร้อนแรงช่วงปลายเดือนธันวาคมโจมตีมากกว่าจะใช้คำว่าทักทาย พอต้องเดินอยู่ภายใต้พระอาทิตย์ที่ลอยอยู่ตรงหัวพอดิบพอดี เจนภพจึงได้ตระหนักถึงความตลกร้ายของการเฉลิมฉลองเทศกาลที่ไม่ได้ถือกำเนิด ณ ถิ่นนี้ตั้งแต่แรก ในฤดูหนาวที่มืดมิดและเย็นยะเยือก วันแบบนี้มีไว้เพื่อมอบความอบอุ่นให้กันและกันในครอบครัวและหมู่มิตรสหายที่ร้างห่างไกลกันไปนาน เขานึกภาพกลุ่มคนสังสรรค์กันหน้าเตาผิงที่ไฟลุกโชน ต้นสนสีเขียวประดับประดาด้วยลูกบอลวาววับและดวงดาวสุกสว่าง และของขวัญกองโตที่ซานตาคลอสแอบเอามาวางไว้ยามทุกคนหลับใหล ถ้าหากเขาเล่าออกไป มีหวังจะโดนแซวว่าดูการ์ตูนหรืออ่านนิยายจนเพ้อ (ซึ่งก็จริงอีก เขาไม่เถียง) นอกจากเป็นคริสตชนคาทอลิก (ซึ่งก็ไม่ค่อยมีคนเชื่อ) แล้ว การฉลองคริสต์มาสของเขาก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากอยากทำ แล้วก็ —
"คิดถึงทุกคนจัง" เจนภพเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
พอเข้าปีที่สี่หลังเรียนจบ ทุกคนแม้แต่เขาเองก็ดูจะหาที่ทางของตัวเองบนโลกนี้ได้แล้ว ต่อให้ไม่มีอะไรแน่นอน อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องมุ่งหน้าไปทางไหน ยังมีที่ที่ประตูบานใหม่เปิดออกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มีโลกใบใหม่ให้พบเจอผู้คนใหม่ ๆ และโอกาสมากมายให้ไขว่คว้า ถ้าเทียบกับเพื่อนสนิทอย่างดิศพลที่คิดว่าตัวเองหยุดนิ่งไม่ไปไหน เจนภพเชื่อว่าเขาเองต่างหากที่เคลื่อนที่ช้ากว่ามาก หลังลาออกจากงานประจำมาทำงานอยู่ที่บ้าน โลกของเขาก็จำกัดอยู่บนพื้นที่ไม่กี่ตารางกิโลเมตรเหมือนเดิม หากจะมีอะไรเปลี่ยนไปก็คงเป็นจิตใจที่สงบและเข้าอกเข้าใจตัวเองมากขึ้น ต่อให้เคลื่อนที่สวนทางกับคนหมู่มาก เขาก็จะไม่หวั่นไหวหรือเสียใจอีกแล้ว เจนภพกลับสู่บทบาทที่เขายินดีจะเล่นตลอดมา นั่นคือการเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่รั้งท้าย หากคนข้างหน้าเดินเร็วเกินไปจนตามไม่ทัน นาน ๆ ครั้งเขาถึงจะร้องขอให้ทุกคนหยุดพักเอาแรง กุลีกุจอหุงหาเสบียง และสรรหาเรื่องตลกมาเล่ารอบกองไฟ
"ทุกคนมาแน่ ๆ ครับ" เจย์ย้ำให้ความมั่นใจ "แต่ถ้าไม่มา เจย์จะกินของที่เหลือให้เรียบเอง"
เจนภพยิ้มกว้างแทบจะถึงใบหู เรื่องนั้นเขาไม่กังขาสักนิด ไม่ว่าจะเป็นประโยคแรกหรือประโยคหลังก็ตาม พอเดินไต่สะพานลอยลงมาถึงซอยบ้านได้สำเร็จ เขาสังเกตว่าแฟนหนุ่มที่ผิวขาวนวลอย่างกับเครื่องกระเบื้องหอบแฮ่ก แก้มสองข้างที่มีลักยิ้มน่ารักเรื่อสีจัดขึ้นจากทั้งความร้อนและความเหนื่อย เจนภพเอ่ยขอโทษที่ที่นี่ต่างจากอังกฤษลิบลับ หวังว่าอีกฝ่ายจะสวมร่างดิศพลเพื่อวิจารณ์ถนนหนทางที่เพิ่งผ่านมา แต่เจย์แค่พูดว่า "จริงครับ เมื่อวานยังไม่มีพี่เจนเลย" และทำให้เขาอยากหยุดกึกก่อนถึงจุดหมายที่ห่างออกไปไม่กี่เมตรเพื่อหอมหัวอีกฝ่ายสักที ติดตรงที่น้องลูกหมีจากอีกซอยดันขี่จักรยานมุ่งหน้าไปยังบ้านเจ้าเด็กแตงโมพอดี แถมยังมีกะจิตกะใจยกมือไหว้พวกเขาทั้งที่เท้ายังไม่หยุดปั่นอีกต่างหาก
"เด็กนี่นะ" เจนภพเอามือทาบอกเพราะใจหายวาบ กลัวเด็กชายจะล้มโครมเอาเสียก่อน
ส่วนเจย์กลับยิ้มสว่างไสว คว้ามือเขาไปกุมตามเดิมก่อนจะเดินอีกยี่สิบก้าวถึงบ้าน
12:20
"สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่"
เสียงร่าเริงของเพื่อนชาวญี่ปุ่นสัญชาติไทยนำหน้ามาก่อนตัว เจนภพรีบวิ่งออกมาจากในครัวเพื่อพบเหตุผลที่พ่อแม่เขายังไม่ขานตอบผู้มาเยือนให้ได้ยิน ยูตะเดินถือกระเช้าของขวัญอันเบ้อเริ่มเข้ามา แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกตกใจเท่าหยกผู้แบกต้นสนขนาดย่อมตามหลัง ไม่รู้ว่าจะทึ่งอะไรก่อนดีระหว่างพละกำลังที่คนตัวผอมบางมีกับความเว่อร์วังอลังการยิ่งกว่าเจ้าของงานในวันนี้ เขาปราดไปรับต้นไม้พลาสติกที่ได้รับการตกแต่งมาเรียบร้อย ก่อนจะพบว่าหยกเปลี่ยนสีผมอีกแล้ว คราวนี้เป็นสีบลอนด์ซีด
"โอ้โฮ พี่เจนแพ้แล้วเห็น ๆ " แม้แต่เจย์ยังตาโตเมื่อเห็นของที่พวกพี่ ๆ นำมา
"ก็หยกมันบอกว่าถ้าไม่มีอุปกรณ์ตกแต่งเลย ใครจะไปรู้ว่าเรากินเลี้ยงคริสต์มาสกัน" ยูตะแจกแจง "ถ้าจะมีธีมก็ต้องทำตามธีมให้ถึงที่สุด ดีนะไม่ยกฉากละครมาด้วยน่ะ"
"โชคดีที่พวกพรอพละครเมื่อวันก่อนยังอยู่ที่บ้าน เลยเอามาใช้ได้พอดี" หยกปัดไม้ปัดมือ "ตอนแวะไปรับ ไอ้ยุตบอกให้เลี้ยวเข้าอิเกียไปซื้อต้นสนของจริงด้วยซ้ำเถอะ ดูซิว่าใครเว่อร์กว่ากัน"
"จริง ๆ แค่มาอย่างเดียว ตานี่ก็ดีใจจะตายแล้ว" แม่ของเขาหัวเราะใหญ่ บุ้ยใบ้ไปทางลูกชายที่ยืนเหวอ
"หยกต้องมาอยู่แล้ว ส่วนยูตะโดดงานครับ" ผู้มาเยือนรีบรายงานพลางแฉเพื่อน ถ้าเป็นเรื่องอ้อนผู้หลักผู้ใหญ่ เจนภพก็ฉงนใจเหมือนกันที่คนนิ่ง ๆ และห่างเหินบ้างในบางทีอย่างหยกจะเชี่ยวชาญเหลือเกิน เวลามาบ้านทีไร แม่เป็นต้องเข้าไปบีบแก้มหอมแก้มเพื่อนคนนี้ทุกที
"เด็กปิดเทอมแล้ว ไม่ได้โดดงานครับ" คนถูกกล่าวหารีบแก้ต่าง "คนโดดงานคือพี่เตต่างหาก รีบลางานบ่ายแล้วกำลังมาอยู่ครับ ส่วนนายไดว์ฟที่บอกให้พวกเรารีบยังรถติดอยู่เลย"
พวกเขาช่วยกันหามุมเหมาะ ๆ ให้ต้นคริสต์มาสและขนอาหารออกมาวางบนโต๊ะรับแขก เจนภพถึงกับต้องวิ่งไปเอาโต๊ะญี่ปุ่นมากางเพราะพื้นที่สำหรับวางอาหารไม่เพียงพอ แม้ว่าสมาชิกยังมาไม่ครบ แต่บ้านของเขาดูจะเล็กไปถนัดตา อาจเป็นเพราะเวลาผ่านไปพักใหญ่แล้วหลังจากพวกเขานัดสังสรรค์กันที่บ้านของเจนภพ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวช่วงอ่านหนังสือสอบเพราะอยู่ใกล้และไม่ต้องไปแย่งชิงที่นั่งห้องสมุดหรือห้องอ่านหนังสือที่ไหน แม้แต่ช่วงว่างยาวระหว่างคาบเช้าและเย็นที่ไม่รู้จะไปที่ใด เขาก็มักชวนเพื่อนมางีบตอนบ่ายก่อนเดินกลับไปเรียนต่อ กิจกรรมเหล่านั้นห่างหายไปช่วงที่เขาคบกับทิมตอนปีสี่ และหวนกลับมาอีกครั้งตอนเจย์เริ่มแวะเวียนมากินข้าวเย็นด้วยกันบ่อย ๆ จนแม่เริ่มเปรยว่าคิดถึงผองเพื่อนที่แยกย้ายไปทำงานคนละทางจนไม่ได้เจอกัน — ไดว์ฟเรียนอยู่ต่างประเทศตลอดปี พี่เตเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วแทบทุกไตรมาสจนงานล้นมือ หยกมีตารางงานไม่แน่นอนเพราะเป็นทั้งนักแสดงละครเวที ครูสอนการแสดง และแม้แต่นายแบบ ส่วนยูตะเองก็เริ่มต้นชีวิตอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้เจอกันข้างนอกเป็นครั้งคราว คราวละคนสองคนเท่านั้น แม้ไม่ได้ห่างหายกันไปโดยสิ้นเชิง แต่ก็พูดว่าเหมือนเดิมได้ไม่เต็มปาก
ไม่มีอะไรเหมือนเดิมได้ ที่ทำได้ก็แค่กลับไปเยี่ยมเยือนบ้างเท่านั้น
ปีนี้ขอให้คุณกิ๊ฟมีแต่ความสดใส เป็นกำลังใจให้นะคะ
Happy New Year ล่วงหน้านะคะ ไม่ว่าคุณกิ๊ฟคิดจะทำสิ่งใดเดินไปเส้นทางไหน ขอให้ราบรื่นและมีความสุขนะคะ ?✨
เจนภพกับน้องเจย์แสนจะนุ่มฟู เป็นความสัมพันธ์ที่เรามองด้วยความยินดี ส่วนไดวฟ์กับทิมก็มีความน่ารักในแบบของเขานะ พอให้เราได้ยุบยิบที่หัวใจ ฮือ ครอบครัวและผองเพื่อนก็ดีมากเลย และขอมอบความรักที่แสนพิเศษให้เจ้าแมวน้อย แง ชอบการเล่าผ่านมุมมองของเอมิลี่มากเลยค่ะ มีความเย่อหยิ่งแต่ก็รักเจ้าของนะ 55555555555555555555
ขอบคุณอีกครั้งที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ ถ้อยคำและเรื่องราวเหล่านี้ ให้ความสนุก และแง่คิดให้ได้ทบทวนตัวเองมากมายเลยค่ะ
Merry Christmas นะคะ เราขอให้คุณมีความสุขมากมาก แล้วก็ขอบคุณที่มอบความสุขให้กับเราเหมือนกัน ????
ยิ้มแก้มแตกเลยฮือ
ป.ล. เป็นกำลังใจให้คุณกิ๊ฟสำหรับการเขียนทุกเรื่องเลยนะคะ คอยตามอยู่เสมอๆ นะ ?
ดีใจที่ได้เห็นทุกคนเติบโตขึ้นในเส้นทางของตัวเอง ดีใจที่ได้เห็นน้องเจย์และเจนเข้าใจกันและยังรักกันมากกว่าเดิมอีกต่างหาก(พวกเธอหวานจนเราอิจฉา จะน่ารักกันเกินไปแล้วนะทั้งคู่เลย ฮึ่มๆ) ดีใจที่ได้เจอเอมิลี่อีก(ไม่รู้จะสงสารหรือยินดีด้วยดีที่เอมิลี่ชินกับเจนภพแล้ว555) ดีใจที่ได้เห็นทุกคนอยู่ด้วยกัน ชอบอินเนอร์การขนต้นคริสมาสต์ของหยก การจะเลี้ยวไปอิเกียเพื่อซื้อต้นจริงของยูตะและการลางานของพี่เตมากจริงๆ (อยากลางานเหมือนกันค่ะพี่ขา แต่ที่ทำงานไม่เข้าใจ;-;) การได้อ่านตอนนี้ยิ่งเข้าใจแล้วว่าทำไมเข้ากันได้ขนาดนี้ เล่นตามเจนภพกันเก่งมาก
นี่เป็นหนึ่งในของขวัญคริสมาสต์ที่ดีสำหรับเราในปีนี้เลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่พาพวกเขามาให้หายคิดถึง สุขสันต์วันคริสมาสต์และสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ ขอบคุณสำหรับปีนี้มากจริงๆ งานของคุณกิ๊ฟทำให้เรายิ้มได้ในวันเหนื่อย ขอให้คุณได้พักผ่อนและได้ใช้ชีวิตได้อย่างที่ใจหวังนะคะ
ป.ล.ไม่รู้ว่าคุณกิ๊ฟจะมีแพลนเขียนspin-offของคุณดิศพลกับทิมต่อหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะออกมารูปแบบไหน เอาใจช่วยคุณดิศพลอยู่นะคะ
น้องแตงโมก็เหมือนกันนะ!
คุณสร้างความรู้สึกดีๆต่อวันคริสต์มาสสำหรับเรามากเลย TuT