เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
IF I DIE, ถ้าหากฉันจากไปpriawhwan
Chapter 2 : Beatric Smog
  • 51 ชั่วโมงหลังการเสียชีวิตของไฮลี่ เพียซ
    โดย เบียทริซ สม๊อก
    ไฮลี่ เพียซจะอยู่ในความทรงจำของพวกเราเสมอ นั่นเป็นประโยคที่ถูกเขียนเอาไว้บนกระดาษผิวหยาบสีขาวครีม ตัวอักษรสีดำ รูปแบบตัวอักษร Angsana News ตัวหนา
    คงไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ เพื่อนร่วมห้องของเราจะจากไปเร็วขนาดนี้ โดยเฉพาะการฆ่าตัวตาย
    ที่สำคัญ ไฮลี่
    ไฮลี่ เพียซเป็นผู้หญิงทั่วไปสูงตามมาตรฐาน น้ำหนักตามมาตรฐาน ปลายเท้าของเธอเปิดเป็นรูปสามเหลี่ยม หลายคนเป็นแบบนั้นเพียงแค่พวกเขาไม่สังเกต ไฮลี่ชอบปล่อยผมบลอนด์ยาวของเธอให้สยาย เธอชอบมากถ้าหากมีลมพัด เธอชอบน้ำหอมกลิ่นผลไม้ที่ติดทนนาน เธอชอบสร้างรอยยิ้มให้คนอื่น แม้มันจะดูน่ารำคาญในบางครั้ง เธอยังขี้เกรงใจอีกด้วย เธอมีล้านวิธีกำจัดความเครียดในแบบฉบับของตัวเอง
    คนแบบไฮลี่ เพียซฆ่าตัวตายได้อย่างไร
    อะบิเกล แมนเนอร์ เจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนประบ่า และนัยตาสีน้ำตาลเข้มดันศอกฉันให้เดินเข้าไปในโบสถ์ โบสถ์นี่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเรามากนัก มันจึงไม่ลำบากที่จะแวะมาหลังเลิกเรียน อีกอย่างเธอก็เป็นเพื่อนของฉัน ใครปล่อยให้เพื่อนตายอย่างโดดเดี่ยวกัน? ฉันไม่เคยเข้าร่วมงานศพมาก่อน ฉันจินตนาการไม่ออกเลยในตอนแรกว่ามันจะเป็นอย่างไร ผู้คนคงโศกเศร้า โดยเฉพาะคุณนายเพียซ เธอใส่เดรสเรียบง่ายสีดำ นั่งถือผ้าเช็ดหน้าสีขาวอยู่มุมห้อง ฉันรู้สึกเสียใจแทนเธอ รู้สึกเสียใจกับทุกสิ่งที่เกิด ฉันรวบกระโปรงนั่งลงระหว่างอะบิเกล และเจนน่า ฮัมฟรีย์
    “ให้เกียรติสถานที่ด้วย” ฉันกระซิบบอกเจนน่า
    ถ้าหากคุณอยากลองหาบลอนด์สมองบวมตามแบบในหนังแล้วละก็ ขอฉันแนะนำให้รู้จักกับเจนน่า ฮัมฟรีย์ ผู้มีหน้าอกไซส์โตกว่าแตงโม ภายใต้เดรสสายเดี่ยวรัดรูปสีดำ เจ้าแตงโมสองลูกของเธอกำลังพยายามแย่งอากาศหายใจกันภายใต้บราไซส์เล็ก และแม้ดูเหมือนคุณหมอจะไม่ได้เตือนเธอว่าการทำศัลยกรรมพลาสติกอาจทำให้สมองของเธอมีขนาดเล็กลง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเจนน่าไม่มีสมองอยู่แล้ว
    เจนน่าทำท่าฮึดฮัดแล้วเก็บมือถือรุ่นใหม่สีชมพูกุหลาบใส่กระเป๋ากุชชี่ที่หล่อนภูมิใจนักหนา
    ถ้าหากพ่อของหล่อนไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการออกแบบภายในที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี่แล้วละก็... หล่อนก็ไม่มีอะไรเลย
    แม่แต่นมซิลิโคลน
    สิ่งที่ฉันนึกออกเป็นอย่างแรกเมื่อก้าวเข้ามาในโบสถ์คือนักร้องประสานเสียง ฉันเล่นพวกเครื่องดนตรีบ้าง ร้องพอได้ ฉันกับไฮลี่มักจะมีีแผน cover เพลงนอกกระแสที่พวกเราชอบเหมือนกันเสมอ แต่ดูเหมือนล่าสุดเธอกำลังตกอยู่ในชั่วโมงต้องมนต์ของเทเลอร์ สวิฟท์ เราทั้งคู่ไม่ชอบนักร้องลูกทุ่งกลายเป็นป๊อบหัวทองนั่น หมายถึง เราชอบเพลงของเธอ แต่นอกนั้น.. nah อย่าให้พูดเลย เพียงแต่เราต้องยอมรับจริงๆ ว่าพรสวรรค์ของเธอนั้นกินขาด เธอเกิดมาเพื่อเป็นนักให้ความบันเทิงอย่างแท้จริง ไฮลี่กระทั่งซื้อเสื้อยืดออนไลน์ที่สกรีนว่า Taylor swift’s vibe มาให้ฉันใส่คู่กันขณะอัดวีดีโอ ฟังดูไร้สาระ แต่เรื่องไร้สาระมักทำให้เราหัวเราะเสมอ
    ฉันจำได้เมื่อตอนที่เราสองคนรู้ว่าต่างก็ชอบวงดนตรีอินดี้อย่าง The 1975 แม้ไฮลี่จะเกลียดยุคสีชมพูของพวกเขามากเพียงใด แต่สุดท้ายเธอก็วนกลับมาที่เดิม เปิดเพลงนั้น ฟังมันซ้ำๆ เพื่อซึมซับอะไรบางอย่าง ไฮลี่กับแมตตี้ไม่สามารถตัดขาดจากกัน มีเส้นด้ายบางๆ เกี่ยวทั้งคู่เอาไว้
    ไฮลี่เกลียดอัลบั้มใหม่ของพวกเขามากจนกระทั่งเธออีเมลติติงไปที่ต้นสังกัด เธอพูดว่า ‘ฉันไม่รู้ถ้าหากถูกมองว่าเป็นพวกจอมเกลียด แต่ถ้าหากพวกเขายังคิดว่าการทำแบบนั้นคือการเลาะเปลือกออก ฉันขอบอกเลยว่าพวกเขาแม่งโคตรเปลือก’
    น่ันแหละ ไฮลี่ เธอมักจะมีหลักการอะไรของตัวเองเสมอ ถูกบ้าง ผิดบ้าง เธอชอบถกเถียง เธอได้รับความรู้เพิ่มจากการแลกเปลี่ยนความเห็น แต่ก็เป็นความรู้ที่ไม่จำเป็นต้องรู้ตามแบบของไฮลี่ เพียซล่ะ
    ไฮลี่ กับฉันเพิ่ม Bucket List ของตัวเองลงบน sketchbook พร้อมกันในวันนั้นว่าพวกเราจะไปดูคอนเสิร์ตวงนี้ด้วยกัน รวมถึงไปเทศกาลดนตรี coachella ด้วย ฟังดูเป็นเรื่องตลกสินะ แค่ดูคอนเสิร์ต ใครๆ ก็ไปได้ แน่ละ แต่สำหรับไฮลี่ ไม่
    ครอบครัวเพียซมีไฮลี่เป็นหลานสาวคนเดียวของบ้าน คุณยายของเธอจึงหวงเธออย่างหนัก เธอเคยเล่าว่าแม่เพิ่งเลิกตามมารับส่งเธอตอนเกรดเจ็ด นั่นฟังดูงี่เง่าชะมัด ไฮลี่ไม่เคยไปเที่ยวไกลเกินไปจากบ้าน และโรงเรียน อันที่จริงเธอไม่เคยมาปาร์ตี้ชุดนอนด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าถ้าหากตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพแบบไฮลี่ ฉันคงตาย
    หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอทนไม่ไหว?
    หมายถึง ถูกกดดันจากครอบครัวมากเกินไป ไฮลี่เป็นพวกรักอิสระ เธอชอบเที่ยวเล่น เดินทางไร้จุดหมาย ทำผิดซ้ำๆ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเธอทนอยู่ในบ้านแบบนั้นได้ยังไง เคอร์ฟิวของเธอคือหกโมงเย็น
    ให้ตายเถอะ! เธออายุ 18 แล้วนะ
    ฉันกลอกตา แล้วเหลือบมองไปยังคุณนายเพียซด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เธอยังคงนั่งสะอื้นอยู่กับผ้าเช็ดหน้าสีขาว
    “กลับเลยได้ไหมวะ” อะบิเกลใช้ศอกกระทุ้งท้องแขนของฉัน
    “ถ้าเดินออกไปตอนน้ีจะน่าเกลียด” ฉันบอก
    บางทีอะบิเกลก็น่ารำคาญเหมือนกันนะ หมายถึง เธอก็เป็นอีกคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้คล้ายไฮลี่ เธอมักจะไม่แน่ใจว่าจะไปทางซ้าย หรือขวา พอก้าวไปทางซ้าย เธอก็วกกลับมาที่เก่า เพราะคิดว่าน่าไปทางขวา เธอไม่ฟังความเห็นของใครทั้งนั้น อ้อ อีกอย่างอะบิเกลไม่เคยเห็นใจคนอื่นเลย บางทีเธออาจจะ แต่คำพูดของเธอเป็นขวานผ่าหน้าใครหลายคน คำพูดไร้กาลเทศะมักจะหลุดออกมาจากปากของเธอเหมือนกับก๊อกน้ำที่รั่ว ฉันว่าเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอทำมััน
    หรือเธอรู้ แต่เลือกที่จะอยู่แบบนั้น
    “เมื่อไหร่จะกลับได้ ไม่น่ามาเลย”
    “ถ้าอยากกลับมาก็ออกไปเลย” ฉันเอ่ยเสียงแข็ง อะบิเกลเงียบลง
    ฉัน ไฮลี่ และอะบิเกล เราสามคนมักจะไปไหนด้วยกันซึ่งก็ควรจะหมายถึงว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ทำไมอะบิเกลดูจะไม่สนใจงานศพของเพื่อนสนิทเลยล่ะ ฉันชายตามองดูอะบิเกลที่นั่งห่อไหล่อยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าถมึงทึง เธอเหลือกตามองภาพวาดบนเพดานเพื่อศึกษาไปทำวิจัยเป็นรอบที่ล้าน (ฉันประชด)
    “ตายแล้วยังมีปัญหาอีก” อะบิเกลพึมพัม
    พระเจ้า อะบิเกลควรถูกส่งไปโรงเรียนสอนมารยาท
    ฉันถอนหายใจ ก่อนที่เจ้าของผมสีน้ำตาลจะยกมือขึ้นกอดแขนตัวเองเหมือนว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ
    “เป็นอะไร” ฉันถามเสียงเรียบ
    “ขนลุก” เธอทำตัวสั่น
    “อยากออกไปไหม” ฉันเริ่มจะหมดความอดทนอีกคร้ัง
    “เบียทริซ อะบิเกล” ลิลินเดินเข้ามาหาฉัน เมื่อหันมาฉันพบว่าเจนน่าหายไปแล้ว “คุณนายเพียซเรียกให้ไปวางดอกไม้ในโลง”
    “ฉันไม่ไปนะ” อะบิเกลว่าแล้วหันหน้าไปทางอื่น
    “ฉันไป” ฉันกำกระดาษในมือ
    “รีบไปรีบมานะ จะได้กลับสักที” อะบิเกลพ่นลมหายใจ
    ฉันตัดความรู้สึกรำคาญออกจากโสตประสาท แล้วเดินตรงไปที่หน้าโลงไม้สีตุ่น
    “แล้วฉันจะดูเผื่อนะ”
    ฉันยิ้ม แล้ววางกระดาษจด Bucket List ของเราลงไป
    ลาก่อน ไฮลี่ เพียซ จดจำเสมอ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in