เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Drabble CornerCotton Candy 702
Endless Rain [drabble]
  • ภาพรถยนต์​ที่จอดนิ่งสนิทและหยดน้ำที่เกาะอยู่ด้านนอก​กระจก เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า​ วันศุกร์​ วันที่ฝนตกหนัก​ และ​ วันที่กลับจากต่างจังหวัด ไม่ควรเป็นวันเดียวกัน

    เป็นเรื่องดีที่บรรยากาศ​บนชั้นสองของรถทัวร์ไม่น่าเบื่อสักเท่าไหร่​ เสียงพูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อใกล้ถึงที่หมาย​ หลายคนเล่นเกมในโทรศัพท์​  บางคนยังสนุกสนานกับการคุยข้ามที่นั่ง​ไปมา​ ส่วนผมก็เริ่มเก็บหูฟังและที่ชาร์จแบตลงในกระเป๋าเป้​ ก่อนหันกลับไปถามเพื่อนในกลุ่มว่ากลับบ้านกันยังไง

    ".. ให้กลับเองใช่มั้ย​ อ่า​ เคครับ​ เจอกันที่คอนโดครับ" 

    ท่ามกลางเสียงเพลงจากลำโพง​และเสียงพูดคุย​ ผมได้ยินประโยคนั้นชัดเจน​และรู้ว่าใครเป็นคนพูด แม้ว่าจะเป็นเพียงการคุยโทรศัพท์เท่านั้น​

    รถจอดสนิท​พอดีกับเวลาที่ฝนหยุดตก
    ทุกคนพร้อมใจกันลุกขึ้นจากที่นั่ง​ และต่อแถวรอเดินลงจากรถอย่างใจจดใจจ่อ​ ผมตรวจเช็คสัมภาระให้เรียบร้อย​ ก่อนจะมองลงไปนอกหน้าต่าง​เพื่อดูว่าฟุตบาทที่ยังซ่อมไม่เสร็จ​จะสภาพเละขนาดไหน

    แต่ถ้าจะพูดให้ถูก​ ก็แค่มองหาว่าใครบางคนลงไปจากรถหรือยัง

    กลิ่นความชื้นแตะจมูก​ทันทีที่ผมก้าวเท้าลงจากรถ​ ผมหาทางเดินแทรกผ่านผู้คนในชุดยูนิฟอร์ม​เดียวกัน​ ความลำบากเพิ่มขึ้นคูณสอง​ เมื่อเลนส์แว่นเจ้ากรรมดันขึ้นฝ้า​ แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยไว้แบบนั้น​ เพราะสองมือยังต้องหิ้วถุงขนมพะรุงพะรัง​

    เมื่อหาที่ว่างพอจะยืนรอได้​ ผมจึงหยิบโทรศัพท์​ขึ้นมาและส่งไลน์บอกคนที่มารับ​ ว่ามาถึงแล้ว

    ผมกวาดตาไปรอบๆ​ เผื่อว่าจะเจอเพื่อนร่วมชะตากรรม​ คนเริ่มซาลงอย่างเห็นได้ชัด​ เพราะส่วนใหญ่กลับรถไฟฟ้ากันเป็​นกลุ่ม​ ไม่ก็เดินเข้าไปรอข้างใน​ สายตามองไปเรื่อยๆ​ จนไปสะดุดเข้ากับใครบางคนที่กำลังหยิบร่มขึ้นมากาง​ เพราะฝนเริ่มตกปรอยๆอีกครั้ง​

    เข้าไป​ถามว่ากลับยังไงดีมั้ย? 

    นั่นเป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัว​ ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า​คงกลับรถไฟฟ้าเหมือนทุกวัน

    ความคิดหลายอย่างเริ่ม​ตีรวนกันในหัว​ 
    ผมรู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่ง​ ที่ไม่มีผลอะไรกับชีวิตเท่าไหร่... 
    แต่ก็มีแค่​ไอ้​ เรื่องเล็กๆ​ นี่แหละ​ ที่ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ทั้งกังวลทั้งลังเล​จนทำอะไรไม่ถูก​แบบที่เป็นอยู่​ตอนนี้​  น่ารำคาญจังวะ

    ยิ่งเห็นว่าเขารับโทรศัพท์​ด้วยท่าทางรีบร้อนแบบนั้น​ และเวลาที่ลดลงไปทุกวินาที​ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า​ ถ้าไม่ทำตอนนี้​ก็ไม่รู้จะมีโอกาสอีกตอนไหน

    ผมหันมองคนที่ยืนหันหลัง ก่อนตัดสินใจสาวเท้าเข้าไปหา​

    แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึง​ 
    คนที่อยู่ห่างกันไม่ถึง​ 10 ก็เดินออกไปจากตรงนั้นเสียแล้ว 

    ทิ้งให้​ชื่อของใครบางคนที่หลุดออกจากปากของผม​ลอยไปกับความว่างเปล่า​ 

    ผมยืนมองเจ้าของชื่อที่เดินห่างออกไปไกลเรื่อยๆและหายไปกับสายฝนในที่สุด

    และก็เป็นอีกครั้ง​ที่ผมปล่อยโอกาสที่มีค่าให้หลุดมือไป










Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in