ใช่ อาคาอาชิตื่นในเช้าวันใหม่พร้อมความรู้สึกที่ยังตกค้างเหมือนกับเมื่อวาน เข้าสู่วัฏจักรโถส้วมอีกตามเคย ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ตันอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะไหลออกมาเอง เขาก็เคยคิดนะ ถ้าหากส้วมเต็มจนเก็บไว้ไม่ไหวล่ะก็มันคงระเบิดออกในสักวันอย่างแน่นอน เมื่อมันเอ่อล้นออกมาย่อมหมายความว่าความผิดหวังที่สั่งสมไว้ก็ต้องถูกปลดปล่อย ในเวลานั้นเขาคงได้เขียนอย่างที่ใจปรารถนาเสียที อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกด้านหนึ่งที่คิดได้ก่อนจะมัวเมาในความสำเร็จคือ ‘สิ่งที่ทะลักออกมา’ ของเสียน่าสะอิดสะเอียนในส้วมคงเป็นกลิ่น แต่ของเสียในชีวิตจริงคือหลัง ไหล่ เวลา และสุขภาพจิต ย่อมเป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อสามารถบรรจงรวบรวมประโยคมาร้อยเรียงเป็นเรื่องเป็นราวได้ฉันใด เราก็ต้องแลกบางสิ่งบางอย่างให้กับการกระทำนั้นฉันนั้น เมื่อนั้นของเสียในชีวิตจริงก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน ช่างเป็นฟันเพืองที่สามัคคีกันมาก (เกินไป) เหลือเกิน
แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของของเสียในชีวิตจริง
อาคาอาชิปิ้งขนมปังทาเนยกับไข่กวนเป็นอาหารเช้า แน่นอนว่าเผื่อคนที่ยังนอนหลับเป็นตายอยู่บนเตียงเขาด้วย กลิ่นอาหารหอมฉุยเดินทางไปแตะปลายจมูกเจ้าชายนิทรา ปลุกให้โบคุโตะตื่นขึ้น จากนั้นจึงนำพาไปทางโต๊ะทานอาหารที่มีอาคาอาชิกำลังจัดจานอยู่ “อรุณสวัสดิ์” ทั้งคู่เอ่ยพร้อมกัน พวกเขาจัดการอาหารเช้าลงท้อง หลังทานเสร็จก็ช่วยกันล้างจาน แต่ใช้เวลานานมากกว่าที่เคยเพราะโบคุโตะเอาแต่สาดน้ำใส่เขาไม่หยุด สงครามวารีดำเนินขึ้นเกือบห้านาที จุดจบของทั้งคู่คือช่วยกันเช็ดน้ำที่นองเต็มพื้นในสภาพเปียกโชกไปหมดทั้งตัว แต่ยังไม่ทันได้เก็บไม้ถูพื้นเข้าที่ดี แขกผู้มาเยือนก็ตะโกนเสียงดังลั่นบ้านว่า “อาคาอาชิ! ไปข้างนอกกัน ต้นไม้แถวบ้านนายสวยเป็นบ้าเลย”
ในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ?
คล้ายว่าคนออกปากชวนรู้ว่าเจ้าของบ้านจะตอบกลับตนอย่างไรจึงชิงเอ่ยขึ้นก่อน “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ออกไปแป๊ปเดียวเองน่า” บอกตามตรง ถ้าหากคนที่คว้ามือเขาเดินนำตัวลิิ่วออกไปแบบนี้ไม่ใช่โบคุโตะล่ะก็ สาบานต่อหน้ากองไม้ถูพื้นข้างหลังเลยว่าเขาคงสะบัดมือทิ้งไปแล้ว รวมถึงศึกน้ำล้างจานนั่นก็คงไม่เกิดขึ้นด้วย “คุณจะเป็นหวัดเอานะครับ” โบคุโตะคว้าเสื้อโค้ทสีเบทจากตะขอแขวนเสื้อผ้าและหมวกที่หน้าประตูสวมให้อาคาอาชิ คว้าแขนเขาอีกครั้งแล้วออกตัววิ่งทันทีเมื่อพ้นรั้วบ้าน “ห่วงตัวเองเถอะ” มุ่งหน้าสู่ปลายทางที่ขับเคลื่อนด้วยขาทั้งสี่ นักบิน และความสมัครใจ (ที่มาจากความจำใจ) ของผู้โดยสารอย่างเขาเอง
เหนื่อย
คำเดียวที่สัมผัสได้ในตอนนี้บนเก้าอี้สวนสาธารณะใกล้บ้าน อาคาาชินั่งหอบหายใจเฮือก สูดอากาศเข้าปอดอย่างหมดแรง เขาเคยเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลสมัยมัธยมปลายก็จริงแต่ไม่ใช่กับตอนนี้ที่เขาผันตัวเป็นนักเขียน ลาวงการนักกีฬามาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าปี ไม่เหมือนอย่างโบคุโตะที่เป็นนักกีฬาทีมชาติญี่ปุ่น ยังมีหน้ามายืนยิ้มมองเขานั่งหอบอย่างชอบใจอีก “นี่นายไม่ได้ออกกำลังกายบ้างเลยเหรอเนี่ยอาคาอาชิ” โบคุโตะหัวเราะ ถ่ายรูปตัวเขาที่หมดแรงเก็บไว้เป็นที่ระลึก “ผมไม่มีเวลาหรอกครับ” หรือต่อให้มีก็ไม่ทำหรอก แค่นั่งทำงานเกือบทั้งวันก็จะเหนื่อยเจียนตายอยู่แล้ว ให้ออกกำลังกายไปด้วยคงได้ตายไวกว่าที่คิดแน่ๆ
โบคุโตะทิ้งตัวลงข้างๆ สูดอากาศธรรมชาติเข้าปอดอย่างสดชื่น กอบโกยบรรยากาศยามเก้าโมงเช้าของสวนสาธารณะที่ไม่ได้มาเยือนเสียนาน “เวลาฉันรู้สึกคิดอะไรไม่ออก หรือหาคำตอบของคำถามไม่ได้ก็จะมาตรงนี้บ่อยๆ ” อาคาอาชิมองหน้าโบคุโตะด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าคนข้างกายจะพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมากระทัน ในอดีตพวกเขามักแวะที่นี่ประจำก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน โบคุโตะเคยบอกกับเขาว่าที่นี่มักจะทำให้รู้สึกว่าความคิดในหัวไหลเวียนได้ดียามสังเกตการณ์ผู้คนสัญจรกันไปมา “ฉันคิดว่าถ้าลองเปลี่ยนจากที่เดิมๆ ไปสู่ที่ใหม่ๆ แทน จะทำให้ความคิดมันกว้างขวางขึ้น” โบคุโตะพูดโดยที่สายตายังคงมองหญิงแก่คนหนึ่งกำลังเดินจูงสุนัขตัวโตข้างริมแม่น้ำ “จะว่ายังไงดี ถ้าอยู่ในบ้านคิดอะไรไม่ออกก็ลองเปิดหูเปิดตาที่โลกนอกบ้านแทน บางทีเห็นแค่ดอกไม้เหี่ยวก็ทำให้ฉุกคิดอะไรได้ตั้งมากมาย” อาคาอาชิตาโตคล้ายกับโดนสะกิดจุดในใจ มองหน้าคนพูดที่เกาศีรษะตัวเองอย่างเคอะเขิน ไม่อยากเชื่อว่าคนข้างกายสามารถพูดอะไรแบบนี้ออกมาเป็นด้วย “อ่า…คือฉันอธิบายไม่ค่อยเก่ง นายอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ”
อาคาอาชิก้มหน้า ดูนิ่งเงียบเกินไปจนผิดวิสัย โบคุโตะเริ่มใจเสีย คิดว่าตนเองพูดอะไรไม่เข้าท่าจึงพยายามชวนคุยเรื่องอื่น แต่คนที่ถูกคิดว่านิ่งเงียบจนเกินไปนั้นกลับเงยหน้าสบตาเขาผ่านม่านน้ำตา เอ่อล้นเต็มข้างแก้มทั้งสอง แสงแดดยามเก้าโมงเช้าตกกระทบเหล่าน้ำใสคล้ายดวงอาทิตย์ตกดินริมทะเล โบคุโตะใจร่วงเกือบถึงพื้นหญ้าเมื่อพบว่าอาคาอาชิกำลังร้องไห้ “ขอบคุณครับคุณโบคุโตะ” สวมกอดคนข้างกายแน่น โบคุโตะทำตัวไม่ถูกจึงกอดตอบอย่างเงอะงะ
อาคาอาชิพรั่งพรูความรู้สึกระยะนี้ให้คนในอ้อมกอดฟัง สิ่งที่เขาประสบและเป็นปัญหากำลังขัดคอเขาอย่างใหญ่หลวง เขียนอะไรไม่ออกจนความเครียด ผิดหวัง หงุดหงิด นั้นรุมเร้าในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกที่กลัวว่าสักวันนึงจะกลับไปเขียนไม่ได้อีกแล้วฉายชัดในความคิดมากขึ้นทุกวัน ทวีความฟุ้งซ่านในใจเหมือนพืชแตกหน่อ กลัวถูกวัฐจักรโถส้วมกลืนกินตัวตนจนสูญหาย ถวายวิญญาณแก่ซาตานกี่ร้อยดวงก็คงไม่สามารถนำกลับมาได้ ในใจที่เคยโชติช่วงด้วยไฟแห่งความหวัง บัดนี้กลับมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ปลิวหายไปพร้อมกับสายลมแห่งความผิดหวัง
แม้โบคุโตะไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่อาคาอาชิพูดได้ทั้งหมดเขาก็ยังคงโอบกอดอีกฝ่ายแน่น คนที่เป็นฝ่ายสวมกอดเขานั้นดูแหลกสลาย แต่ถ้อยคำและน้ำเสียงก็ยังคงไว้ซึ่งความหวัง แม้ริบหรี่ก็ยังเป็นความหวัง “ขอโทษที่ทำให้วันหยุดของคุณต้องเป็นแบบนี้นะครับ” โบคุโตะส่ายหน้า คอยซับน้ำตาให้อาคาอาชิ “อย่าโทษตัวเองเลย ร้องไห้บ้างก็ไม่เป็นไรนี่ อย่างน้อยนายก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ” โบคุโตะลูบหัวรุ่นน้อง ชวนให้คิดถึงภาพในอดีตที่อาคาอาชิเคยร้องไห้เพราะกดดันจากการแข่งขันวอลเลย์บอล
อาคาอาชิในตอนนี้แค่ต้องการใครสักคนรับฟังตัวเขาก็เท่านั้นเอง
เมื่อกลับถึงบ้าน โบคุโตะเก็บกวาดสิ่งที่พวกเขาปล่อยทิ้งไว้ก่อนออกจากบ้านแทนอาคาอาชิทั้งหมด ทั้งยังไล่ให้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกต่างหาก อาคาอาชิชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครเป็นเจ้าของบ้านกันแน่ เขาตะโกนบอกโบคุโตะที่อยู่ห้องครัวว่า “อย่าทำบ้านผมพังก็แล้วกัน” จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังโครมครามตามมา อาคาอาชิหัวเราะ เผลอยิ้มกับตัวเอง เป็นอย่างที่โบคุโตะพูด อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียว
เจ้าของบ้าน (ที่แท้จริง) เปิดหน้าจอแม็คบุ๊คเข้าโปรแกรม Microsoft Word อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ดั้นด้นคิดสร้างประโยคเหมือนอย่างเคย เขาปล่อยใจไปกับเหตุการณ์ที่สวนสาธารณะ คำพูดของโบคุโตะยังคงแจ่มชัด เขามองออกไปทางหน้าต่างพบเห็นดอกไม้สีขาวแข่งกันโอ้อวดความงาม “แค่ดอกไม้เหี่ยวก็ทำให้ฉุกคิดอะไรได้ตั้งมากมาย”
อาคาอาชิเริ่มบรรจงรังสรรค์ถ้อยคำในหัว ค่อยๆ รวบรวมส่วนเล็กส่วนน้อยเข้าด้วยกัน ถ่ายทอดความรู้สึกและความคิดผ่านตัวอักษรที่เรียงรายต่อกันนับไม่ถ้วน เมื่อคิดไม่ออกก็จงอย่ายึดติดอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแค่ไม่กี่ตารางเมตร จงมองไปรอบๆ กาย ปล่อยหัวใจไปกับบรรยากาศ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งที่ไม่เคยได้ทันฉุกคิด ไม่ต้องรีบร้อน อย่าเคร่งครัดตัวเองให้มากเกินไป อย่าทำร้ายตัวเองให้เจ็บปวดไปมากกว่านี้
หากเปลวไฟในใจดับมอด ก็จงสร้างมันขึ้นมาใหม่ หากความหวังนั้นช่างริบหรี่ ก็จงอย่าเพิ่งหมดหวัง และอย่าคิดหาวิธีนำตัวตนกลับคืนมาอีก การสูญหายจะไม่มีทางเกิดขึ้นหากจิตวิญญาณยังคงไขว่คว้าหาแสงของวันพรุ่ง
ได้เวลาที่ส้วมระเบิดออกแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in