เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีวิวสอบ IELTS 03/03/2022 และวิธีเตรียมตัว (Band 7)SENNELIER
รีวิวสอบ IELTS 03/03/2022 และวิธีเตรียมตัว (Band7)
  • รีวิวสอบ IELTS 03/03/2022 และวิธีเตรียมตัว

    .

    วันนี้จะมารีวิวข้อสอบIELTS แบบละเอียดและรายละเอียดที่สอบนิดหน่อยแต่ไม่ลงลึกว่าIELTS คืออะไรเพราะมีคนรีวิวเยอะมากแล้วที่เราเพิ่งไปสอบมาเราเลือกสอบกับ British Council เพราะมันมีพวกแบบแบบฝึกหัดฟรีของ GEL IELTS และก็มี Live class เป็น EXPERT IELTSTEACHER ทุกวันวันละ 2 คลาสคลาสนึงประมาณ 40 นาที ให้เรียนฟรี ทำฟรี มีเยอะอยู่พอสมควร ซึ่งคนที่เลือกสอบแบบ UKVI หรือเป็นนักเรียนของ BritishCouncil ยังไงก็ได้อันนี้ฟรีอยู่แล้ว ส่วนคนเลือกสอบ IELTS แบบปกติเหมือนเท่าที่เคยเช็คก็เป็นโปรให้ฟรีอยู่ถ้าสมัครช่วงเดือนก.พ. กับช่วง มี.ค ส่วนถ้าสมัครกับ IDP เราไม่รู้รายละเอียดว่าเค้ามีให้เหมือนกันมั้ยแต่ยังไงก็ต้องมีเล่ม Cambridge ฝึกทำข้อสอบอยู่ดีนะ ไม่แนะนำให้พึ่ง GEL IELTS ทางเดียว คือมันเหมาะกับตอนที่เรามาเก็บตกรายละเอียดมาฝึก มาทวนสิ่งที่เราคิดว่ายังขาด ไม่เข้าใจไรก็ถามทาง Chat box ในหน้าเว็บไซต์ได้เลย(ภาษาอังกฤษล้วน) ซึ่งเราว่าอันนี้อ่ะดี เราชอบ คือเราได้รู้ลึก รู้จริง รอประมาณไม่เกิน2 วันเค้าก็ตอบกลับ ซึ่งตัวอย่างที่เราเคยถามเค้าว่า While กับ However มันใช้ต่างกันยังไง ในเมื่อความหมายก็เหมือนกัน แสดงสิ่งที่ขัดแย้งซึ่งเขาก็ตอบมาว่า While ใช้เปรียบเทียบของประเภทเดียวกัน อย่างปริมาณคนว่างงานในอังกฤษเพิ่งสูงขึ้นแต่ในขณะที่ปริมาณคนว่างงานในไทยกลับต่ำลง ถ้า However มันก็คล้าย While แต่มันจะมีรายละเอียดการใช้แสดงความขัดแย้งของความคิด ไม่ว่าจะเป็น Positive/Negative อย่างเช่น เธอคิดว่าปัญหาโลกร้อนจะทุเลาลงด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยแต่คนอื่นคิดว่ามันอาจจะแย่ลงเพราะยิ่งเรามีเทคโนโลยีล้ำหน้ามันก็ใช้ทรัพยากรมากขึ้น ซึ่งตอนเรารู้ก็แบบ เหยยย นี่เราใช้ผิดมาโดยตลอดเลยรึ 5555 เพราะฉะนั้นอันนี้ควรระวังในส่วนถ้าเจอโจทย์พวกแสดงความคิดใน Writing Task 2  

     

    มาที่สถานที่สอบ เราเลือกสอบแบบ IELTS UKVI แบบกระดาษสอบที่โรงแรมแลนด์มาร์ค ชั้น 3 ที่เลือกแบบกระดาษเพราะมันมีเวลาย้ายคำตอบ IELTS Listening 10 นาทีซึ่งถ้าเป็นแบบคอมจะไม่มีและเราเคยลองสอบทดลองแบบคอมรู้สึกแบบไม่ถนัดเลยก็เลยเลือกแบบกระดาษแต่พาร์ทคอมมันมีข้อดีตรงได้ผลสอบเร็วและพาร์ทอ่านไม่ต้องมานั่งเสียเวลาเปิดพลิกไปพลิกไปพลิกมา(ข้อสอบเย็บมาเป็นเล่มดึงออกมาเป็นแผ่นไม่ได้ ผิดกฎ คือต้องเปิดไปเปิดมาอย่างเดียว) เพราะมันขึ้นโจทย์ด้านนึงและตัวเลือกไว้อีกด้านนึง กดลากก็ได้ Copy ก็ได้ ไฮไลท์ก็ได้ ถ้าใครยังไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอันไหนก็ลองไปทดลองทำแบบคอมในเว็บBritish Council ได้ มีให้ทำฟรีอยู่ ส่วน Paper ก็แนะนำ Cambridge ที่เป็นเล่มตัวเลข ใกล้เคียงข้อสอบสุดตอนนี้ก็เล่ม 16 ส่วน 1-8 มีฟรีในเน็ต ใครอยากลองอ่าน Reading ก็ได้ แต่ไม่แนะนำให้อิงตามมากเพราะมันเก่าเด้อออวันสอบก็ควรไปถึงไม่เกิน 7.30 น. เพราะจะต้องไปฝากของ ลงทะเบียน ถ่ายรูปพิมพ์รอยนิ้วมือ ค่อนข้างใช้เวลาอยู่ ตัว Copy บัตรประชาชนก็ใช้ในขั้นตอนนี้ควรเข้าห้องน้ำก่อนเดินมาลงทะเบียนเพราะพอลงทะเบียนเสร็จเจ้าหน้าที่จะให้เข้าห้องสอบเลยไม่ให้เข้าห้องน้ำของที่เอาเข้าสอบก็มีบัตรปชช. กับน้ำที่เอาป้าย Label ออกเท่านั้น เครื่องเขียนไม่ต้องพกไป เขาให้ใช้ของเค้า นาฬิกาไม่ว่าประเภทไหนก็ห้ามเอาเข้าเพราะในห้องนางจะยิงโปรเจคเตอร์นาฬิกาตัวใหญ่เบิ้มอยู่กลางห้อง เห็นทั่วถึงแน่นอนห้องสอบจะเป็นห้องประชุมขนาดเล็ก นั่งโต๊ะละ 2 คน  ของบนโต๊ะของแต่ละคนก็จะมีหูฟังที่เชื่อมกับลำโพงสี่เหลี่ยมสีดำปรับระดับเสียงได้ ดินสอ 1 แท่งกับยางลบครึ่งก้อน ดินสอเป็นแบบดินสอที่เปลี่ยนไส้ได้แบบตอนเด็กที่ทุกคนต้องมีถ้าทู่ก็ดึงออกมาแล้วยัดอันที่ทู่ที่ตูดดินสอ ก็จะเจอไส้ที่แหลมอันใหม่ขึ้นมาไอเราก็เพิ่งอ๋อตอนสอบเสร็จแล้ว ทนใช้ทู่ไปจนสอบเสร็จ อันนี้โง่เอง 5555 เข้าห้องสอบไปเจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายกฏระเบียบใช้เวลาประมาณครึ่งชม.เริ่มสอบตอน 9.04 . จบตอน 12.04 น.

     

    สิ่งที่เราไม่ค่อยชอบในระหว่างการสอบในครั้งนี้คือเวลามันไม่ได้นับถอยหลังและมันก็ไม่ใช่เลขที่ลง 0 พอดี ต้องมานั่งคำนวณเวลาเอง คือเวลาทำฟังข้อสอบพาร์ทฟังแต่ละพาร์ทเสร็จมันจะมีเวลาในการเชคคำตอบแต่ละพาร์ทและก็เวลาTranfer คำตอบอีก 10 นาที ไอตัวเลขนาฬิกาคือก็ต้องบวกเอาเองว่าจะจบเมื่อไหร่แนะนำว่าให้เขียนเวลาที่คาดว่าจะครบลงในข้อสอบเลย กันลืม

     

    พาร์ท Listening โจทย์ 40 ข้อ ก็คล้ายกับ Cambridge น่ะแหละ  มีเพิ่มพาร์ทที่เป็น Choices โดยเฉพาะพาร์ท4 Listening มีเปลี่ยน 3 ข้อหลังเป็น Choices 4 ตัวเลือก ก็ควรจะต้องอ่านโจทย์ให้เร็วหา Keyword และก็คิด Synonym ไปด้วยเพราะ Choices เค้าไม่บอกอะไรเราตรงเค้าจะพูดสิ่งที่อยู่ในตัวเลือกทุกข้อบางทีก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จะพูดก่อนหน้าอดีต ปัจจุบัน พูดถึงความคิดบุคคลอื่น ก็ต้องดูว่าโจทย์เค้าถามอันไหน อย่าแบบได้ยินปุ๊ปตอบเลยก็คือแบบจบเห่เลยและก็ระวังเรื่องเติม s หรือไม่เติม สังเกตจากรูปประโยคก่อนและก็ฟังให้ได้ยินว่ามันเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์เพราะบางทีรูปประโยคก็ไม่สอดคล้องกับเสียงที่เราได้ยินเสมอไป ง่ายๆก็คือพาร์ทฟังก็อิงจากที่ฟังเป็นหลัก

     

    พาร์ท Reading 3 พาร์ท ต้องขอบอกว่ายากกว่า Cambridge ทุกเล่มที่เคยทำมา5555 โจทย์ขยายความยาวมากขึ้น มีความซับซ้อนและต้องการถ่วงเวลาคนสอบมากขึ้นเพราะปกติพาร์ท 1 Reading จะง่ายเสมอจากการทำโจทย์ Cambridge ตั้งแต่เล่ม13-16 และ Reading ชีทอื่นอีกนับไม่ถ้วน และเจอคำถาม T F NG ทุกพาร์ทและเยอะทุกพาร์ท

    ซึ่งขอบอกเลยว่าอันนี้เป็นจุดที่เราอ่อนและมีปัญหาในการทำมากที่สุดมาโดยตลอดบางทีอ่านแล้วเก็ทแต่พอเจอโจทย์ก็เอ๊ะมันจะ False หรือ Not givenเอ่ย สับสนไปหมด5555 และระวังเรื่องโจทย์บางทีนางเป็นYes No Not given ก็อย่าไปเขียนเป็น T F NG สำคัญคือสติอ่านโจทย์ดีๆก่อนและก็ทวนตำตอบทุกข้อก่อนหมดเวลาด้วยอันนี้สำคัญมากโจทย์ที่ได้ของเราที่จำได้ก็คือ Fashion Industryกับ ไดโนเสาร์บินได้

     

    พาร์ท Writing เราได้ Task  1 กราฟ เป็นเปอร์เซ็นต์ของคนที่เข้าถึงResources 4 ประเภทได้แก่ทีวี อินเทอร์เน็ต วิทยุ หนังสือพิมพ์ ในประเทศนึงตั้งแต่1995-2025 กับ Task 2 Discussboth views และ ให้ความเห็นตัวเองเรื่อง ว่าเราควรโฟกัสการทำรีเสร์ชทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับWorld Heath Problems ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งคิดว่ามันมีหัวข้ออื่นอีกที่สำคัญกว่าที่เราควรโฟกัสมากกว่า

     

    แนะนำว่าให้เขียน Task 2 ก่อน เพราะมันใช้คิดเป็นคะแนน 66% ของคะแนน Writing ทั้งหมด ควรให้ความสำคัญกับอันนี้มากกว่า (อันนี้รู้จาก GEL IELTS) ก็ควรมีองค์ประกอบให้ครบ

    ระวังเรื่องกระดาษ Essays ดูสีกับคำให้ดีอย่าเขียนTask 1,2 สลับกัน ไม่ได้คะแนนเน่อ และเรื่องการเขียนพิมพ์ใหญ่หมดบางคนอาจคิดว่าก็ตัดเรื่องผิดการเขียนพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ผิด แต่พอมานั่งเขียนพิมพ์ใหญ่หมดในเวลาสอบจริงมันช้ากว่าตัวพิมพ์เล็กกลายเป็นเขียนไม่ทันแทน เพราะในชีวิตจริงคนส่วนใหญ่เขียนพิมพ์เล็ก  ก็ควรระวังๆ ควรซ้อมจากบ้านมาก่อนว่าถ้าจะเขียนพิมพ์ใหญ่หมดแล้วเขียนทันไม่ใช่มาลองในห้องสอบครั้งแรกก็ไม่ได้นะ อะไรที่คิดว่าจะทำครั้งแรกในห้องสอบควรหยุดความคิดนั้นคือเวลาสอบมันคือไม่ใช่เวลาที่เราต้องมานั่งทดลอง Tip เทคนิคต่างๆเป็นครั้งแรกคือทุกอย่างที่อย่างทำควรฝึกทุกอย่างมาจากบ้าน

     

    Intro

    -              Paraphrase

    -              Overview

    -              Opinion

    -               

    Body 1

     

    Topic sentence 1

    Explain

    Example

               

                ทุกอย่างต้องเขียน Support กับ Topic sentence 1

     

    Body 2

     

    Topic sentence 2

    Explain

    Example

               

                ทุกอย่างต้องเขียน Support กับ Topic sentence 2

     

    Conclusion

    -              Opinion

     

    ไม่ควรมี New Ideas งอกมาในส่วนของสรุปเพราะมันจะไม่ Make sense หากเราพูดถึงหัวข้ออื่นที่เราไม่ได้กล่าวไว้ใน Body   

     

    ส่วน Task 1 เราแนะนำว่าเขียน Body ก่อน แล้วค่อยเขียนIntro แบบเว้นไปเลยหน้าแรก และมาเขียน Body หน้าหลังไม่งั้นมันเสียเวลาเรื่องการมาลงดีเทล Task 1 ไม่จำเป็นต้องเขียน Conclusion

     

    เวลาเขียน Writing เขียนเว้นบรรทัดจะได้แก้ง่ายกระดาษขอเพิ่มได้ไม่ต้องกลัวไม่พอ แต่ข้อเสียคือเสียเวลาตรงมานั่งกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองขณะที่พี่เจ้าหน้าที่เค้าจะยืนให้เรากรอกรายละเอียดตรงกระดาษแผ่นใหม่เดี๋ยวนั้นเลยเพราะจะมีช่องใส่จำนวนกระดาษว่าที่เราเขียนมีทั้งหมดกี่แผ่นเค้าก็กลัวเรากรอกช่องนั้นผิดแหละมั้ง ซึ่งเราว่ามันไม่ค่อยแฟร์กับการที่เราเสียทุกวินาทีที่เสียไปในการเขียนWriting ต่อ คือมันสะดุด ซึ่งในห้องสอบทุกวินาทีมีค่ามากนะ เพราะกระดาษตอนแรกเค้าแจกเค้าจะให้เราเขียนก่อนจับเวลาสอบซึ่งส่วนตัวเราว่าเขาควรมีกระดาษสำรองไว้ให้แต่ละคนที่โต๊ะอยู่แล้วอีก 1 แผ่นก่อนจับเวลาแล้วก็ให้เขียนรายละเอียดตัวเราก่อนจับเวลาด้วยกันไปเลย ค่าสอบตั้งเกือบ8000 จะวางกระดาษสำรองสักแผ่นนึงไม่ได้เลยหรอ เป็นงง55555

     

    พาร์ท Speaking  ของเรารอบ 18.20 น. ซึ่งค่อนข้างรอนานพอสมควร(สอบ Listening Reading Writing เสร็จตั้งแต่ตอน 12.04 น.)เราเลยกลับบ้านก่อนแล้วค่อยมาที่รร.ใหม่ เพราะพื้นที่นั่งรอสอบ Speaking ค่อนข้างมีจำกัด กลัวโควิดด้วยไรด้วยเรากลับมาที่รร.ถึงตอน 17.00 น. ก็นั่งรอไปจนเค้าเรียกลงทะเบียนอีกรอบก็เหมือนกับครึ่งเช้า ถ่ายรูป ลงทะเบียน รอบนี้ลงทะเบียนรอคิวไม่นาน เพราะคนส่วนมากทยอยสอบSpeaking ไปเกือบหมดแล้ว คิวเราได้เร็วก่อนเวลา รู้สึกเค้าจะเรียกเข้าห้องตอน17.40 น. Examiner จะเป็นคนเปิดประตูออกมาเรียกเราเองพอเข้าไปห้องค่อนข้างกว้าง บรรยากาศไม่อึดอัด ที่นั่งกรรมการกับเราอยู่ห่างกันพอสมควรน่าจะประมาณ 2 เมตร มีฉากกั้นตรงกลาง ซึ่งแนะนำว่าให้ยื่นตัวไปสุดตอนฟังกรรมการพูด เพราะกรรมการเค้าพูดค่อนข้างเบาคือมีทั้งแมสก์ มีทั้งฉาก ระยะห่าง คือบางทีคำถามท่อนนี้เราได้ยิน อีกท่อนอะไรหว่าเรามีสิทธิ์ขอให้เค้าพูดซ้ำได้นะ ถ้าเราไม่ได้ยิน

     

    คำถามที่เจอ ช่วงแรกก็คำถามทั่วไป เราเป็นนักเรียนหรือว่าทำงาน ถ้าไม่ใช่ทั้งคู่อย่างตอนเราสอบ เรายังว่างงานอยู่ เราก็บอกเค้าถึงงานก่อนหน้าและตอนนี้ก็วางแผนเตรียมต่อโทแล้วเค้าก็ให้เราอธิบายถึงงานก่อนหน้าที่เราทำ ลูกค้าแสดงออกถึงการขอบคุณเราตอนปฏิบัติหน้าที่ยังไงเรารู้สึกยังไงตอนนั้น และคิดว่าจะกลับไปทำงานที่เคยทำอยู่มั้ย แล้วก็ถามเรื่องสีสีที่ชอบ ทำไมชอบ สีตอนเด็กกับสีตอนนี้ที่ชอบต่างกันมั้ย ทำไม

     

    ช่วงที่ 2 ให้เราอธิบายถึงตอนที่เราต้องทำตัว Friendly กับคนที่เราไม่ชอบ เค้าคือใคร ทำไมไม่ชอบและทำไมเราต้องทำตัวอย่างนั้น พูด 2 นาที เตรียมตัว 1 นาที เค้าจะให้เราเอาดินสอจากรอบเช้าเข้าไปและเค้าจะมีกระดาษให้ นาทีต้องปั้นน้ำเป็นตัว เรื่องที่พูดไม่จำเป็นต้องพูดความจริงจากชีวิต100% นะ ใส่สีตีไข่เข้าไป ให้มันดูมีเรื่องราว ให้มีรายละเอียดที่เราสามารถพูดต่อไปได้เรื่อยๆหากเรายังพูดไม่จบและเราหยุดกรรมการมอง เราก็ต้องพูดต่อ ไหลไปค่ะไหลไปเรื่อยๆจนเค้าบอกให้เราหยุด 55555 คิดว่ามานั่งเมาท์ให้เพื่อนฟัง จะได้ไม่กดดัน กรรมการเค้าไม่หักคะแนนจากการที่เราพูดเยอะนะ

     

    ช่วงที่ 3 ก็ยังคงถามเรื่อง Friendly แต่เป็นในเชิงมุมมองกว้างๆพูดถึงสังคมว่าทำไมคนในสังคมต้องทำตัว friendly และทำไมเค้าถึงทำตัว Friendly เฉพาะต่อหน้าและลับหลังไม่ใช่อย่างนั้น มัน Positive/ Negative ยังไง คิดว่า Friendly กับ Politeness เหมือนกันมั้ยให้อธิบายตอนที่ต้องทำตัว Politeness กับคนกลุ่มไหน ทำไมต้องทำอย่างนั้น

     ผลออกช่วง 10 โมงเป็นเมลมาเลยบอกรายละเอียดเลข Tracking ผลสอบที่จะมาส่งให้เรา 1 ฉบับเป็นตัวจริง

    ซึ่งเราได้ Listening 8.0/ Reading 7.0/ Writing 6.0/ Speaking 6.0 Total Band 7.0 

    ผลสอบฉบับจริงเราสามารถขอทาง Britishcouncil ได้อีก 5 ฉบับภายในระยะ2 ปี



     

                การฝึกทำข้อสอบ

     

                เราฝึกทำข้อสอบที่สถาบันที่เราเรียน ทำตั้งแต่เล่ม Cambridge 13-16 (ที่สถาบันมี Cambridge ครบทุกเล่ม)

    เล่ม 1-8 มีให้โหลดฟรีตามอินเทอร์เน็ตพิมพ์ตรงตัวหาได้เลยไม่ต้องเสียเงินซื้อ แต่รูปแบบคำถามจะไม่อัพเดตถ้าเอาไว้ฝึกพาร์ท Reading อ่ะพอได้ แนะนำให้ฝึกทำข้อสอบเล่ม 8-16  เวลาฝึกทำข้อสอบควรฝึกแบบเหมือนสนามสอบจริงเป๊ะๆแบบเรียงไปเลย 4 ทักษะรวดเดียว ไม่มีเบรก อย่าทำแบบชิวไป กินขนมทำไป เพราะในสนามสอบจริงไม่มีเวลาสักวิเดียวที่จะมานั่งชิวได้ บรรยากาศค่อนข้างกดดันและเสียงเปิดกระดาษนี่ไม่มีใครเกรงใจใครกันเลย มันจะมีสิ่งที่จะรบกวนโฟกัสของเราเยอะมากๆในสนามสอบจริง

     

    แนะนำ Dictionary

     

    คืออันนี้คือสำคัญแบบมากๆๆๆ แล้วไม่ค่อยมีคนรีวิวเท่าไหร่ ทำให้เรา Struggle มากตอนเขียน Writing แบบเอ...แล้วฉันจะเชื่อพจนานุกรมอันไหนดีเราไม่ค่อยแนะนำใช้ Google translateนะ คือบางอย่าง Google แปลแบบไม่ได้เลยและบางทีก็บอกชนิดคำไม่ครอบคลุมทั้งหมด

    คืออันนี้เราคัดมาแล้วว่าเวิร์คจริงๆ

     

    -              Oxford เราเช่าเป็นแอพมาไว้เลย 1 ปี 609 บาท (เราเตรียมสอบ IELTS 5 เดือน) ถ้าซื้อขาดรู้สึกจะประมาณ2000 กว่า ความหมายเป๊ะเชื่อถือได้ มีบอกรูปอื่นของคำศัพท์ ตัวอย่างประโยค การออกเสียงแต่ข้อเสียคือไม่มีบอก Synonym/Antonym

    -              Cambridge อันนี้เปิดเว็บเอา ฟรี คำศัพท์ใกล้เคียงกับ Oxford

    -              Thesaurus อันนี้เราก็ใช้บ่อยในการหา Synonym แต่ Context อะไรงี้ไม่มีลงรายละเอียด บางอย่างก็แปลแปลกๆซึ่งบางทีเราเอาไปใช้ ศัพท์ก็ผิดบริบทในงานเขียนได้ ต้องระวัง แนะนำ macmillanthesaurus ดีกว่า เพราะมันบอกบริบทมาด้วย

    -              https://www.macmillanthesaurus.com/establishmentอันนี้ดีมากกกกกก อาจารย์ใน GEL IELTS แนะนำมา เค้าจะบอกถึง Collocation การใช้ศัพท์นั้นกับคำอื่นๆ

     

    การเรียนรู้ศัพท์ของเรา เราจะจดคำศัพท์ที่เราเขียนใน ESSAYS แต่ละเรื่อง เอามาจัดหมวดหมู่แบบ BUSINESS, ENVIRONMENT, HUMAN,… แยกไว้ในสมุดอีกเล่ม และก็จะจดชนิดคำ คำเหมือน แตกเป็น MINDMAP  ไว้ซึ่งมันเวิร์คกว่าการมาเปิดหนังสือและท่องจำในความคิดเรา เพราะเราเคยซื้อหนังสือคำศัพท์ที่แยกจัดหมวดหมู่ไว้ให้เรียบร้อยมานั่งอ่านเอง ส่วนตัวมันไม่เวิร์คกับเราอย่างแรง คือเราเรียนรู้จากการทำจากการใช้ ไม่ใช่จากการมานั่งกวาดตามองแล้วพยายามจำเข้าสมองให้มากที่สุด

    เวลาเชคความหมายของศัพท์ เราแนะนำให้เชคมากกว่า 1 Dictionary เพื่อความชัวร์ ตอนแรกๆมันจะช้าๆหน่อย ต้องทำใจ เพราะบางคำเราแปลแบบทุก Dic ที่กล่าวไปเพื่อหาวิธีการใช้ที่ถูกบริบท

     

    เว็บดูการออกเสียง

     

    ซึ่งที่เรียนของเราแนะนำมา (English parks)  ที่อยากรีวิวอันนี้เพราะคนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เท่าไหร่ซึ่งการออกเสียงมันสำคัญมากในการที่ทำให้ผู้สอบได้คะแนนสูงๆในพาร์ท Speaking

     

    -              https://tophonetics.com/

     

    เว็บนี้เว็บเดียวเอาอยู่แล้วดีด้วย จะมีทั้งเสียงอ่านและคำอ่านให้เราฟังและดูประกอบซึ่งเราสามารถเลือกความเร็วของการพูด และเพศของคนพูดได้ด้วย เราสามารถพิมพ์ประโยคยาวๆต่อเนื่องกันเพื่ออ่าน IPA (InternationalPhonetic Alphabet) ได้ทั้งแบบAmericanและ Britishซึ่งทั้ง2 ชาตินี้จะมีบางพยัญชนะในบางตำแหน่งที่อ่านไม่เหมือนกันอย่างถ้าเป็นเสียง /r/ ลงท้ายคำ แบบ Ame จะต้องม้วนลิ้นแต่แบบBritishไม่ต้องออกเสียงซึ่งมันจะมีกฎรายละเอียดแบบยิบย่อยอีกเยอะ แต่ขอพูดสั้นๆของอันนี้ก่อน เช่น  
    motor
    /ˈməʊtə/ อันนี้เป็นแบบBritish, ถ้าแบบ Ame จะเป็น motor /ˈmoʊtər/ เป็นต้น

     

    -              https://www.youtube.com/watch?v=7mahmMmnSx4&list=PLOZUTLsJbEAjW-Z9Bou0fPvPs8zdF79pJ

     

    อันนี้เป็นช่อง Youtube ชื่อ English language club

     

    -              https://www.youtube.com/watch?v=b_qcAuHhJIc&list=PL76E3034895AF6FF4

     

    อันนี้เป็นช่อง Youtube ชื่อ Rachel’s English

     

    ทั้ง 2 ช่องนี้ดีมากๆ ทั้งคู่คือควรกดติดตามมากๆ Rare items เราใช้ทั้ง 2 ช่องฝึกพูดตามพร้อมๆกับเรียนทบทวนวิดีโอของที่เรียนในคลาส Pronunciation ไปด้วย ซึ่งเหมือนรื้อระบบการออกเสียงภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กยันโต การเรียนออกเสียงที่ถูกต้องคือต้องพูดออกมานะไม่ใช่นั่งคิด นั่งดูอย่างเดียว มันคือการเรียนฝึกออกเสียงมันก็ต้องเปล่งเสียงออกมา มันจะเหนื่อยมากๆเลยช่วงแรก และแบบคอแห้งมากๆต้องดื่มน้ำตลอด จำได้เลยว่าทุกครั้งที่ฝึก จะต้องดื่มน้ำเป็นลิตร ไม่งั้นตุยก่อน

     

    ระบบปาก หลอดเสียง ลำคอเรามันติดกับภาษาไทยกล้ามเนื้อหลอดเสียงมันไม่ค่อยถูกฝึกให้ออกเสียงทางภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องมาก่อนเพราะฉะนั้นก็เหมือนกับการออกกำลังกายให้หลอดเสียงของเราได้เรียนรู้ใหม่ เราต้องเลือกตั้งแต่แรกก่อนว่าเราจะอิงตามAme หรือ  British ก็อย่างที่กล่าวไปข้างมันมีกฏในการออกเสียงหลายๆอย่างไม่เหมือนกันเราเลือกแบบ British เพราะเราคิดว่ามัน Challenge ดี แล้วรู้สึกเป็นอะไรที่มันไม่คุ้นชินเท่า Ame เลยเลือก ซึ่งเรื่องสำเนียงแล้วแต่ความชอบแต่ละคนเลยว่าอยากฝึกแบบไหนเวลาฝึกก็คือยึดสำเนียงนั้นตลอดนะ 

    การฝึกพาร์ทฟัง

    นอกจากเรียนที่ที่เรียนแล้ว เวลาว่างขับรถ อาบน้ำ ก่อนนอน เราชอบฟัง Podcast อันนี้คือลิสต์ทั้งหมดที่เราฟัง

    -              TED TALKS PODCAST

    -              ALL EARS ENGLISH

    -              6 MINUTES VOCABULARYBBC อันนี้มีเป็นแอพ มีให้โหลดฟรี ในแอพจะมีAudio scripts และแบบฝึกหัด นิดๆหน่อยๆ

    -              6 MINUTES ENGLISH

    -              คำนี้ดี PODCAST

     

    ช่องที่เราฟังบ่อยสุดจะเป็น TED, ALL EARS, คำนี้ดี เพราะส่วนตัวเรารู้สึกว่ามันสนุกกว่าช่องอื่นแล้วเราชอบจริตของพิธีกรในช่องที่กล่าวมา คือวันไหนเอียนภาษาอังกฤษมากๆจะไปฟังคำนี้ดีแก้เลี่ยน การเลือกฟังช่อง Podcast อันนี้แล้วแต่เทสคนเลย เพราะสิ่งสำคัญในการฝึกคือควรเลือกฝึกจากสิ่งที่เราชอบสิ่งที่เราสนใจ เพราะมันจะทำให้เราโฟกัสอยู่ในเรื่องเหล่านี้ได้นาน

    ส่วนเวลาดูหนังหรือดูซีรี่ย์ อนิเมะใดๆก็ตามในNETFLIX, HBO เราเปิด SUB ENG หมดเลย ตอนแรกก็รู้สึกไม่ชอบแหละสารภาพตามตรงเพราะดู SUB THAI มาตลอดชีวิต5555 แต่เรากลัวเสียตังค์เกือบ 8 พันแล้วได้คะแนนน้อย ความแพงของค่าสอบนี่แหละที่มันขับเคลื่อนเราให้ตัดใจ 5555 ซึ่งรู้สึกขอบคุณตัวเองมากๆๆๆๆๆๆ ตอนนี้คือติดดูหนังเป็น SUB ENG เกือบหมดเลย ซีรี่ย์ที่เราดูช่วงก่อนสอบ

     

    -              EUPHORIA

    -              ANNE WITH AN E

    -              ALIAS GRACE

    -              Misaeng

    -               ดาบพิฆาตอสูร

     

    และมีอื่นๆอีกเยอะ แต่ลืมแล้ว 5555 คือการดูซับ Eng ไม่ได้หมายความว่าเรามานั่งแปล Dictionary ตลอดนะเราเดาจากบริบทของตัวละครเอา มันก็รู้เรื่องนะเอาจริง แล้วก็ยังรู้สึกสนุนเหมือนกับดูSUB THAI นี่แหละ

     

                การฝึกพาร์ทอ่าน

     

    ส่วนเวลาว่างนอกเหนือจากนี้ เราชอบอ่านหนังสือ อ่านการ์ตูน อ่านข่าว บทความเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลือกสื่อที่เราชอบที่เสนอเป็นภาษาอังกฤษ นิยายภาษาอังกฤษ ค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะจบเล่มส่วนการ์ตูนเราว่าอ่านได้ทุกเพศทุกวัย ศัพท์ค่อนข้างจะง่าย เหมือนการ์ตูนส่วนใหญ่ศัพท์ก็ไม่ได้Advance มาก เราจะอ่านเวลาแก้เบื่อ ส่วนพวกหนังสือนิยายจะชอบแปลศัพท์บ่อยเพราะมันไม่มีภาพหรือบริบทของตัวละครให้ดูมากเท่าภาพยนตร์ ก็เลยต้องแปล

     

    -              LezhinComics แอพสีแดงรูปหมา

    -              Tappytoon แอพเป็นแมวใส่แว่นเขียว

    ช่องการ์ตูนพวกนี้มีพวกการ์ตูนดังเยอะมากๆ ต้องซื้อเหรียญอ่านเหมือน Comico กับ Webtoon แต่ราคาค่อนข้างโหดกว่า

    -              BEING MISS NOBODY อันนี้เป็นนิยายที่อ่านก่อนสอบเป็น Young Adult

    -              THE HUMANS MATT HAIG  ส่วนเล่มนี้เราชอบนักเขียนคนนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากเรื่องMidnight Library แล้วตัวนักเขียนแนะนำนิยายเล่มนี้ของเขาเองเลย เราเลยแบบสนใจศัพท์ค่อนข้างมีความ Advance ขึ้นมา เพราะตัวเอกของเรื่องเป็นศาสตราจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์

    -              THE NEW YORKER อันนี้เป็นช่องสื่อข่าวที่เราชอบเป็นการส่วนตัว หลังจากทดลองอ่านพวก The Economist, BBC มาก่อน เลยเลือก THE NEW YORKER แทน เรา Subscript เป็นรายเดือน ประมาณเดือนละ 309 บาท รายปี 3,100 เราชอบคอนเทนด์ของเนื้อหาข่าว ชอบสไตล์การเขียนข่าว  ชอบการดีไซน์หน้าตา การจัดเลย์เอาท์ของแอพลิเคชั่นแล้วข่าวเค้ามีหลายหัวข้อมากไม่ว่าจะเป็น Crime, Culture, Art, Global issue,...แล้วถ้าวันไหนขี้เกียจอ่าน บางบทความจะมีเสียงบรรยายไว้ให้ด้วย และเขาก็มีช่องPodcast ของตัวเองหลายประเภท ก็อยู่ในแอพ  

     

    เวลาฝึกทำข้อสอบ ควรจับเวลาจริงเหมือนการทำข้อสอบจริง 60 นาที 3 เรื่อง เรื่องละ 20 นาที ส่วนตัวเราว่าประเภทคำถามพาร์ทที่ยากที่สุดคือพวก T/F/NG  เพราะมันมีความกำกวมหน่อยๆ ในส่วนของ Matchingheading เราเจอในโจทย์FashionIndustry คือค่อนข้างง่ายไม่ซับซ้อนเท่าพวก T F NG แต่ถ้าผิดอันใดอันหนึ่งมันจะเป็น Dominoเวลาเราซ้อมทำในส่วนนี้ เราจะอ่านแต่ละ Paragraph ด้วยความเร็วปกติและตีความกลับไปในรูปแบบที่เราเข้าใจเองและค่อยไปดูว่าที่เราเข้าใจมันตรงกับคำตอบข้อไหน ซึ่งเราว่าวิธีนี้สำหรับเรามันเวิร์คกว่าการมานั่งอ่านคำตอบแล้วดูว่ามันจะไปสอดคล้องกับย่อหน้าไหน

     

    การฝึกในส่วนพาร์ท  Writing

     

                ตรงตัวเลยก็คือการเขียน อยากเขียนได้ก็ต้องฝึกเขียนบ่อยๆเพราะมันเป็นทักษะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันมากเท่าทักษะอื่น การเขียนกับการพูดมันคือOutput ส่วนการฟังและการอ่านมันคือ Input ถ้าอยากใช้ภาษาดีก็ต้องอ่านควบคู่กับการฝึกเขียนเหมือนพวกหลักภาษาไทยเลย เวลานักเขียนอยากฝึกทักษะเขาก็ต้องอ่านเยอะมาก่อนถึงจะใช้ภาษาดีและข้อดีของการเขียนมันเป็นการช่วยเราให้เข้าใจเรื่องแกรมม่ามากขึ้นด้วย คือเราเพิ่งมาอ๋อกับพวกกฏแกรมม่าจริงๆก็ตอนเขียน Essays IELTS นี่แหละ ก่อนหน้าไม่เคยเขียนอะไรยาวๆแบบนี้มาก่อน ไม่เคยใช้ Linking ไม่เคยเขียนในเชิงวิชาการมาก่อนด้วย คือการฝึกแกรมม่าตั้งแต่เด็กยันโตของเราแต่ก่อนคือการอ่านหลักกฎของภาษาอังกฤษเรามีตำราแกรมม่าเยอะมาก แบบฝึกเยอะมากซึ่งมีแต่พวกข้อกาที่เราทำ และมันเป็นวิธีที่ผิดมหันต์มากและมันรั้งเราไม่ให้เข้าใจเรื่องแกรมม่าอย่างถ่องแท้มาโดยตลอด

     

    ส่วนเรื่องที่ตรวจ Essays เราเขียนและส่งตรวจกับที่เรียนตลอด คือก่อนหน้าที่จะเรียนกับที่สถาบันเราเคยเรียนออนไลน์ IELTS มาก่อน ไม่ใช่สอนสด เรียนของที่อื่น และเคยพยายามเขียนเองตรวจเองคือไม่รอดจ้าไม่ได้เรื่องจริงๆ ซึ่งการเขียนมันสำคัญมากกกกกกกกกในการมีคนตรวจย้ำว่าสำคัญและควรเสียตังค์ลงทุน ก็เลยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราเลือกเรียนกับสถาบันเรียนสด มันเวิร์คมากสำหรับเรา ที่เรียนให้ส่งเรียงความได้แบบไม่จำกัดจำนวนตลอดระยะเวลาก่อนสอบและมันฟรีส่วนตัวเราว่าครูตรวจดีระดับปานกลาง  แต่ถ้าช่วงไหนนักเรียนส่งตรวจเยอะๆครูอาจจะไม่ได้ลงดีเทลรายละเอียดกับ Essay แต่ละคนมาก แต่ก็สามารถถามหลังไมค์ได้ตลอดครูและพี่เลี้ยงที่สถาบันที่เราเรียนมีความใส่ใจสูง ไม่ใช่แบบรับเงินไปแล้วจบแต่คือเค้าตาม เค้าวิเคราะห์ตัวนักเรียนเป็นรายบุคคลว่าต้องฝึกต้องปรับด้านไหน ทวงการบ้านตลอดซึ่งเราว่าดี รู้สึกตัดสินใจไม่ผิดที่เรียนที่นี่

     

    นอกเหนือจากการตรวจที่สถาบัน เราเคยใช้บริการครูที่รับตรวจที่ Simon แนะนำมา ตรวจบทความละ 20 ปอนด์ ตอนนั้นเลือกไป 4 บทความ  80 ปอนด์ มีค่าธรรมเนียมโอนผ่าน Paypal อีก 6 ปอนด์เป็นเงินทั้งสิ้น 3727.47 บาท ตีเป็นเงินบาทตกบทความละประมาณ 900 กว่าบาท ตอนนั้นค่าเงิน 1 ปอนด์=43 บาท แต่ตรวจแบบระเอียดยิบ แบบยิบเลย ใช้เวลาตรวจไม่เกิน 3 วัน แล้วเขาตรวจแบบเป็นระบบมากมีตารางบอกว่าทำไมเค้าให้ในคะแนนในส่วนนี้เท่านี้และก็ลงลึกถึงแกรมม่าที่ใช้ผิดในรูปประโยค ไม่เข้าใจตรงไหนสามารถเมลถามได้ตลอด ยอมรับเลยว่าคุ้มค่าทึกบาททุกสตางค์ที่เสียไปใครอยากดูบทความที่เราตรวจกับที่เรียนหรืออีกที่นึงสามารถหลังไมค์มาขอดูได้นะ เอาไปประกอบการตัดสินใจในการหาที่ตรวจ

     

                มาพูดถึงเทคนิคในการอ่านหนังสือของเรา

     

    คือเรามีปัญหากับการโฟกัสบางสิ่งนานๆ คือเราไม่สามารถที่จะมากางหนังสือในห้องเงียบๆแล้วซึบซับข้อมูลทั้งหมดคือมันโคตรไม่เวิร์คแบบมากๆๆๆๆๆๆๆๆ กับสมองเรา นอกจากจะจำอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วสมองไม่สามารถฟังค์ชั่นได้อย่างเป็นระบบ และอีกวิธีที่เราเคยใช้คือการเข้าห้องที่เป็นStream Study ที่จะมีนักเรียนทั่วโลกเข้ามาอ่านหนังสือแล้วเปิดกล้อง ซึ่งเหมือนจะมีเพื่อนอ่านหนังสือแต่เรารู้สึกว่าบางทีหน้าจอของกลุ่มมันทำให้เราเสียโฟกัสจากหนังสือ บางคนลุกบางคนเดินไปเดินมา บางทีก็ชอบมีพวกแอบแฝงเปิดคลิป 18+ โดยรวมสรุปก็ทำให้เราวอกแวกอยู่ดี

     

    จนมาเจอเทคนิค Pomodoro ใน Youtube โดยบังเอิญจากการหาเพลงที่จะเปิดเพิ่มโฟกัสระหว่างอ่านหนังสือ โดยเทคนิคนี้คือแบบที่สุดแล้วจริงๆสำหรับเราคือเวิร์คมาก ที่แบ่งเวลาแบบอ่าน 25 พัก 5 นาที มีทั้งแบบ 4 รอบ 6 รอบแล้วแต่คลิป คือเราเปิดและอ่านหนังสือ ฝึก Writing ฝึกศัพท์ ทุกอย่างคือเปิดคลิป Pomodoro หมดเลย บางทีอ่านได้แบบทั้งวัน เรื่อยๆ โฟกัสไม่เสีย เขียน writing ก็เขียนได้ดีมากกว่าเดิม สมองเราเหมือนทำงานได้มีสิทธิภาพมากขึ้นช่องที่เราอยากแนะนำมากคือ ช่อง Abao ใน YouTube คือดีมากกกกกกกกกกก แบบแนะนำเลยจริงๆ ถ่ายมุมสวย บางคลิปเป็น 4K ทีทั้งแบบเพลงและแบบเสียง เมโลดี้เพลงดี(Lofi) เสียงดีส่วนใหญ่เป็น Soundscape แต่ละคลิปจะมีบอกอยู่แล้วจะมีเสียงไรประกอบบ้าง มีนาฬิกาจับเวลาให้เมื่อหมดรอบหากใครไม่ชอบคลิปก็มีตัวเลือกมีถ่ายทอดออกอากาศสดทุกวันด้วย ซึ่งก็จะมีนักเรียนจากทั่วโลกพิมพ์ตอบแชทกันไปมาส่วนตัวเราไม่เคยตอบแชทคุยในช่องออกอากาศ แต่เราชอบสภาวะที่เหมือนแบบเรายังได้ Connect กับโลกภายนอกโดยที่เรายังไม่หลุดโฟกัสจากสิ่งที่เราทำอยู่


    -              https://youtu.be/grBFMP3HDZA

    -              https://youtu.be/grBFMP3HDZA

     

    แชร์วิธีผ่อนคลายระหว่างอ่านหนังสือ

    เราว่าทุกคนต้องมีช่วงเวลาที่ท้อใจกับการอ่าน IELTS เราก็เป็น 1 ในนั้นเหมือนกัน มันจะเป็นช่วงเนือย ช่วงเหี่ยว แบบไม่ไหวกับการซึบซับข้อมูลแล้วหัวแน่น การผ่อนคลายของเราคือเปลี่ยนโฟกัสจากความคิดไปที่ไปในด้านร่างกายแทนการดูหนัง ฟังเพลงเพื่อความผ่อนคลายสำหรับเรามันไม่เวิร์คเพราะยังไงเราก็ต้องใช้สมองอยู่ดี เราเลือกที่จะทำงานบ้าน ไม่ว่าจะล้างจาน ดูดฝุ่นเราว่าช่วยได้มากกกกกกก บางทีก็ปลูกต้นไม้ พรวนดิน รดน้ำ ลองมานั่งทำกับข้าวเองดู มันเวิร์คมากกับเราเพราะสมองเหมือนหยุดคิด เราโฟกัสกับนิ้ว กับมือ กับการขยับของร่างกายแทน

     สถานที่ที่เราเรียน

    -              English Parks เราเลือกเรียนแบบ 3 เดือน ลักษณะการเรียนที่นี่จะเป็นการเหมาจ่าย มีแบบ 3 เดือนและแบบ 6 เดือน เราเริ่มทำ Mock Test หลังจากเรียนไป 2 เดือนเต็ม ทำทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละไม่เกิน 2 ครั้งจนถึงอาทิตย์ก่อนสอบเลย 

    ข้อดี: ครูมีคุณภาพ หนังสือเรียนดีมากกกกกกกกคิดว่าคงเก็บจนตายไม่มีทางขาย สามารถตรวจ Essays ได้ไม่จำกัด ทำ Mock test ได้ไม่จำกัด สถานที่เรียนโอเค สะอาด มีการตรวจ ATK นักเรียนทุกอาทิตย์ พี่เลี้ยงที่นี่ค่อนข้างใส่ใจกับนร.ทุกคนตามการบ้านบ่อยมาก วิชาที่นอกเหนือจาก IELTS ที่เราชอบมากและมันเวิร์คกับเรามากคือSentence Writing/ Pronunciation/Breaking News/ Academic Speaking/ Discussion/ Presentation/ Grammar/ CU-TEP/Reading Comprehension มีวิดีโอให้เรียนทบทวนผ่านทางเว็บไซต์รร.ซึ่งใช้งานง่าย ออกแบบแพลตฟอร์มได้ดี คุณภาพเสียงและภาพโอเค ถ้าใครไม่มีคอมที่บ้านก็สามารถมาใช้คอมของสถาบันเรียนได้

     

    Facilities มีตู้กดน้ำดื่ม มุมให้นั่งเล่น นั่งกินข้าว วิวก็เป็นวิว BTS

     

    ข้อเสีย: ที่เรียนให้ปั๊มบัตรจอดรถฟรีได้ 5 ชม. ซึ่งบางวันอย่างวันเสาร์-อาทิตย์ มันมีคลาสตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเย็นต้องคอยไปวนรถใหม่สำหรับคนที่เอารถมาเอง ต้องกะเวลาดีๆ เพราะราคาค่าจอดค่อนข้างโหด(เราเรียนสาขาอโศก)

     

    -              Simon (Online) เรียนหลังจากจบคอร์ส English Parks 34 ปอนด์/เดือน ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1500 ตัวคลิปที่ให้เรียนออนไลน์มีไม่เยอะ คลิปแต่ละคลิปจะไม่ยาวเท่าไหร่แต่สิ่งที่เราชอบมากๆคือ Daily lessons ที่เค้าจะมาอัพเดตทุกวัน เราว่าอันนี้อ่ะดีมากกกก คือ Simon นางเป็น Ex-Examiner IELTS มาก่อน นางก็จะเห็นข้อผิดพลาดที่ผู้เข้าสอบชอบทำมาค่อนข้างเยอะนางก็จะรู้จุด และเราสามารถพิมพ์ถามในคอมเม้นได้ด้วย Simon จะเป็นคนตอบเอง รอไม่เกิน 1 วันนางก็มาตอบ แต่เราไม่ค่อยแนะนำสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นหรือใหม่มากๆกับ IELTS คิดว่ามันอาจจะเลเวลสูงไปหน่อย ควรอ่านแบบทำความเข้าใจเองมาก่อน


    ถ้าใครมีคำถาม อยากรู้ไรเพิ่มเติม ทิ้งคอมเมนท์ไว้ได้เลย เดี๋ยวเรามาตอบ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in