เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
25 days left in Taiwanyiling
16: ลุกแล้ว
  • 15.6.2020

    ขอโทษที่หายไปหลายวัน ขอโทษตัวเองเนี่ยแหละ ทำอะไรไม่เคยสำเร็จจริงๆ แต่ก็จะพยายามลุกขึ้นใหม่ให้ได้เร็วๆ นะ วันนี้เราลุกแล้ว ครั้งนี้เหมือนจะสำเร็จจริงๆ ได้ออกไปทำอะไรมากมายเลย

    พอเลขวันที่เริ่มเข้าเลขสองหลัก เวลาดูปฏิทินเริ่มต้องดูบรรทัดที่สาม เราก็เริ่มรู้ตัวว่าเวลามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว เพิ่งตระหนักได้ว่าสองอาทิตย์ผ่านไปโดยไร้ค่าไร้ความหมายมาก ผิดหวังกับตัวเอง และร้อนรนกับเวลาไม่กี่วันที่เหลืออยู่ ก็เลยเริ่มวางแพลนจะออกไปไหนข้างนอก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คิดในแง่ดี ที่ผ่านมาแล้ว การอยู่แบบเปื่อยๆ มันก็คงเป็นประสบการณ์แบบหนึ่งแหละ และอีกสิบกว่าวันหลังจากนี้ก็อยากจะให้มันเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนาน อยากจะทำให้ดี ในอนาคตถ้าย้อนมานึกถึงช่วงเวลานี้ก็ไม่อยากให้มีแต่ความรู้สึกเสียดาย

    วันนี้ตื่นตั้งสี่ตีสี่กว่าๆ เมื่อคืนกลับห้องมาแบบดาวน์ๆ เหมือนเวลาดาวน์จะหนาว เมื่อคืนอยู่ในห้องห้องเดิม แอร์ตัวเดิม แต่หนาวจนต้องไปหยิบเสื้อหนาวขนๆ มาใส่ นอนเปิดการ์ตูนดูให้ใจร่าเริง แต่ก็ไม่เป็นผล กลับทำให้ง่วงกว่าเดิมจนหลับไปแบบไม่ตั้งใจ ไฟไม่ปิด หัวไม่ได้อยู่บนหมอน และเนื้อตัวก็ยังคลุมทับอยู่ด้วยเสื้อกันหนาวขนปุย

    รีบขึ้นย่อหน้าใหม่ก่อนจะภาษานิยายไปเรื่อยๆ เราตื่นตีสี่ด้วยคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ค่อยดี นอนเล่นโทรศัพท์ ดูการ์ตูนไปเรื่อย จนหกโมงก็ลุกไปอาบน้ำ รู้สึกหิว ในตู้เย็นมีเนื้อผัดโคชูจังที่เมื่อวานทำเหลือไว้ ก็เลยเอาออกมาเวฟกิน แล้วทำไว้เข้มข้นมาก ใส่พริกป่นไปสองช้อน แสบท้องแต่เช้า

    กินเสร็จก็เริ่มคิดว่าวันนี้จะออกไปไหนดี คือก็คิดไว้ว่าวันนี้ต้องออกไปข้างนอกนะแต่ว่ายังไม่ได้คิดว่าจะไปไหน จริงๆ เมื่อวานแพลนไว้ว่าจะไปเดินมิวเซียมแต่ถึงทีจริงก็รับบทเป็นผู้ป่วยติดเตียงตามเดิม จะย้ายมาไปวันนี้แทนก็ไม่ได้เพราะมิวเซียมส่วนใหญ่ปิดวันจันทร์ ในเวลาเช้าๆ อิ่มๆ แบบนี้ใช้ความคิดไม่ค่อยจะได้ ขี้เกียจคิด ก็เลยดูการ์ตูนก่อนแล้วกัน ช่วงนี้เป็นติดการ์ตูน กำลังดู ยอดนักปรุงโซมะ อยู่ใน netflix ปกติไม่ได้ชอบดูการ์ตูนนะ แต่ช่วงก่อนหน้านี้อินทำอาหารเลยอยากดูขึ้นมา ตอนนี้อยู่ซีซั่นสามแล้ว ใน netflix มันมีถึงแค่ซีซั่นนี้แหละ เลยจะรีบๆ ดูให้จบ แล้วว่าจะไปยืมมังงะมาอ่านต่อ ใกล้ๆ บ้านเรานี่มีร้านเช่าหนังสือและหนังอยุ่ เล็งมานานแล้วแต่ไม่ได้ยืมสักที เดี๋ยวดูอันนี้เสร็จจะไปเช่ามาแล้วจริงๆ แต่อาจจะลองเช่าเรื่องอื่นมั้ง ไม่รู้ เดี๋ยวลองไปดู

    นอนดูการ์ตูนสักพักก็ตามสูตรเดิม หลับจ้า ตื่นมาอีกทีเกือบสิบเอ็ดโมง ก็เอาผ้าไปซัก แล้วก็คิดๆ ว่าจะไปไหนดี หาทั้งที่เที่ยวที่กิน ต่อจากนี้ตั้งใจว่าจะไม่ทำอาหารกินเองแล้ว และไม่สั่งฟู้ดแพนด้าด้วย จะได้ออกไปข้างนอกบ้าง ถึงขี้เกียจออกยังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ก็นั่งดูกูเกิลแมปส์อยู่เป็นชั่วโมง เป็นคนตัดสินใจอะไรไม่ได้จริงๆ ที่เที่ยว คิดไว้ว่านอกจากมิวเซียมก็มีอยากไปที่อื่นอีก แต่ว่ามันไม่ได้อยู่ในไทเป ต้องนั่งรถไฟออกไปหน่อย ยังไงวันนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ก็เลยหาอะไรทำในไทเปแทน ลองเสิร์ชมิวเซียมดู เผื่อมีอะไรเปิดวันจันทร์ ผลปรากฏว่ามีจริงๆ มีอยู่ที่นึงที่เราเซฟไว้ใน want to go ด้วย ก็คือ Suho Paper Memorial Museum เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ เหมือนจะอยู่ในตึกแถวสี่ชั้น แต่เราคิดว่าพิพิธภัณฑ์กระดาษฟังดูน่าสนใจดี และที่สำคัญคือมีเวิร์กชอปทำกระดาษด้วย ถือว่าน่าสนใจมากๆ ทั้งการได้ทำกระดาษและการได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เพราะเราอยู่แต่ในห้อง แทบไม่ได้คุยกับใครมานานแล้ว เช็กดูในเว็บไซต์ ราคาค่าเข้าชม 100 NT ถ้าจะทำกระดาษด้วยก็ 180 NT การเดินทางจากที่พักเราก็สะดวกสบายมาก เดินออกไปถนนใหญ่แล้วนั่งรถต่อเดียวถึงเลย โอเค ไปอันนี้แหละ ไปมิวเซียมเสร็จแล้วก็จะไปเดินเล่นที่ต้าเต้าเฉิง ตกเย็นไปเดินตลาดกลางคืนที่ไม่เคยไป คิดที่เที่ยวเสร็จต่อไปหาที่กินมื้อเที่ยง มีหลายช้อยส์มากจากร้านต่างๆ ที่เคยปัดหมุดไว้ในกูเกิลแมปส์ และร้านอื่นที่ไม่ได้ปักหมุด แต่พยายามหาเพิ่มให้มีตัวเลือกเยอะๆ ซึ่งเป็นคนตัดสินใจอะไรไม่ได้ ไม่รู้จะหาตัวเลือกให้ตัวเองทำไมนักหนา เลือกไม่ถูกเลย ใช้เวลาไปกับตรงนี้นานมาก เอาร้านไหนดีนะ ร้านนี้จะอิ่มไปไหมนะ ร้านนี้อยากกินแต่ว่าต้องเดินไป ขี้เกียจเดิน ร้านนี้ดีแต่ใกล้ปิดแล้ว นอนดูไปดูมาอยู่เป็นชั่วโมงก็เลือกได้เป็นร้านหม้อไฟที่เดินทางไปสะดวก แค่ขึ้นรถเมล์หน้าบ้าน คือหน้าบ้านเราเป็นป้ายรถเมล์เลย ลงบันไดมาเจอ แล้วก็นั่งไปลงปลายทางก็จะเป็นร้านหม้อไฟเลย คนขี้เกียจก็จะเน้นเดินทางสะดวกเข้าว่า

    กว่าจะตัดสินใจอะไรได้ก็เที่ยงกว่าแล้ว เพิ่งรู้สึกตัวว่าควรรีบ เพราะเวิร์กชอปกระดาษนี่มันมีเป็นรอบๆ นะ และรอบสุดท้ายของวันคือบ่ายสามโมง และกินข้าวเสร็จแล้วยังต้องกลับห้องมาเก็บผ้าที่เอาไปอบอยู่ก่อนถึงจะออกไปเที่ยวได้ ก็ลงไปรอไม่ถึงสิบนาทีรถเมล์ก็มา นั่งไปอีกแค่แปปเดียวก็ถึงป้าย ลงมาเดินหาร้าน นึกว่าลงรถแล้วจะเจอเลย ทำไมไม่เห็นจะมีร้านหม้อไฟอะไรเลยนะ เจอแต่ร้านนึงปิดประตูอยู่ อ่อ ชัดเลย ร้านปิดแน่ๆ เซ็งมากอุตส่าห์เลือกตั้งนาน ก็เลยดูแมปส์หาร้านใกล้ๆ กินเอา เดินข้ามถนนไปแล้วเข้าซอยนิดเดียวมีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ เราสั่งเมนูที่เป็น 招牌 เป็นเส้นบะหมี่ น้ำซุปใส มีไข่ ตับหมู เนื้อไก่เส้น และเกี๊ยวหนึ่งตัว รสชาติจืดๆ ตามสไตล์ไต้หวัน อยู่ไต้หวันไม่เคยคาดหวังเลย สั่งบะหมี่จืดๆ อย่างเดียวไม่ได้ ต้องสั่งเครื่องเคียงมากินด้วยสักอย่าง เราสั่ง 皮蛋豆腐 เต้าหู้อ่อนกับไข่เยี่ยวม้า เป็นเมนูที่เราไม่เคยคิดจะกินเลยเพราะไม่ชอบไข่เยี่ยวม้า แต่ว่าอยากลองอะไรใหม่ๆ เอาฤกษ์เอาชัย ช่วงนี้ก็อินเต้าหู้พอดี และจำได้ว่าเพื่อนเคยบอกว่าเมนูนี้อร่อย ก็เลยสั่งอย่างไม่ลังเล ปรากฏว่าอร่อยจริง มันเย็นๆ แบบเอาไปแช่เย็น มีเต้าหู้ก้อนนึงกับไข่เยี่ยวม้าฟองนึง ราดซอสที่รสชาติเค็มเข้มข้นมาก กินด้วยกันแล้วอร่อยดี ไข่เยี่ยวม้าไม่แย่แบบที่จินตนาการไว้ ชอบไข่แดงมันด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือชอบที่มันเย็นเนี่ยแหละ กินตัดกับก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ได้ดี

    กินเสร็จก็นั่งรถเมล์กลับ ตอนแรกไปยืนรอผิดป้าย เจอรถสายที่เราจะขึ้นแต่เขาไม่จอดป้าย ลองมองที่ป้ายก็พบว่าป้ายนี้มีรถเมล์จอดแค่สายเดียวเอง ลองดูกูเกิลแมปส์ใหม่ก็พบว่าใช่ เรามาผิดป้าย ต้องเดินไปอีกนิดเดียว รอไม่นานก็ได้ขึ้นรถเมล์กลับ

    ขากลับไม่มีรถส่งถึงหน้าบ้านแล้ว เพราะหน้าบ้านเรารถผ่านแค่ฝั่งขาไป รถเมล์ช่วงตรงนี้มันวิ่งวนๆ ไม่ได้วิ่งไป - กลับ แต่ว่าเดินไม่ไกลมากก็ถึงบ้านแล้วแหละ ก่อนถึงบ้านจะผ่านวัตสันก่อน เรามีของที่อยากจะซื้อที่วัตสัน วันก่อนนี้เกือบกดซื้อออนไลน์แล้วแต่คิดว่าไม่อยากเพิ่มขยะเป็นกล่องพัสดุและที่กันกระแทกต่างๆ ทุกวันนี้มีเกลื่อนห้องเลย ยังไม่ได้เอาไปทิ้งสักที ก็เลยกะว่าเดี๋ยวไปซื้อที่หน้าร้านเอง แวะวัตสันไม่เคยมีคำว่าแป๊ปเดียว เหมือนถูกดูดเข้าไปในอีกโลก โลกที่เวลาเป็นสิ่งไร้ค่า เราเดินแวะทุกเชล์ฟ ลองนู่นลองนี่ ชอบการเดินช้อปปิ้งจริงๆ อ๋อ แล้วช่วงนี้อยากสะสมสแตมป์วัตสัน ของพรีเมี่ยมเป็นชินจัง อยากได้ตุ๊กตาชินจัง ก็เลยไม่หักห้ามใจในการจะซื้ออะไร ก็เลยได้แผ่นแปะสิวมา ซึ่งไม่ได้เป็นสิวบ่อย และก็ยังมีเหลืออยู่หนึ่งแผ่นใหญ่ ไม่รู้ปีนี้จะใช้ได้หมดไหม แต่เราก็ซื้ออีกหนึ่งกล่องใหญ่มา มีแผ่นแปะทั้งหมด 36 อัน ราคาดี เพราะลดราคาอยู่ เหลือแค่ 99 บาท (ถือว่าดีใช่ไหม ไม่ค่อยรู้ว่าปกติต้องราคาเท่าไหร่) เหตุผลสำคัญที่ซื้อก็คือมีสติกเกอร์หน้าคุณ 施柏宇 แปะอยู่ คุณคนนี้คือเพื่อนพระเอกในเรื่อง 想見你 ที่เราดูค้างไว้อยู่ เพิ่งดูได้แค่ไม่กี่ตอนเอง จริงๆ ดูเพราะพระเอกหล่อมาก พอดูแล้วก็รู้สึกว่าเนื้อเรื่องเหมือนจะดี แต่ว่าก็ดองไว้นานแล้ว ขี้เกียจดูต่อ แต่ว่าดูๆ ไปเรื่อยๆ เราเริ่มชอบเพื่อนพระเอกมากกว่าพระเอกแล้ว ยิ่งในยูทูบช่วงนี้มีโฆษณาแชมพูที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์บ่อย ตอนโฆษณานี้ขึ้นมาครั้งแรกเราไม่กด skip เลย5555 อยากดูหน้า แล้วจริงๆ ชอบแบบประมาณนึง ก็ชอบแต่ไม่ได้ชอบขนาดนั้น ชื่อเขาเราเพิ่งเสิร์ชเมื่อกี้เอง แต่ก็นั่นแหละ ชอบเขาก็เลยซื้อแผ่นแปะสิวหน้าเขามา

    จ่ายเงินเสร็จ เดินออกจากวัตสัน เป็นเวลาบ่ายสองครึ่ง เวลานี้ไม่น่าจะไปเวิร์กชอปกระดาษทันแล้วแหละ ก็เลยไม่ไปแล้ว นอนดูการ์ตูนอยู่ห้องแล้วกัน เย็นๆ ค่อยออกไปตลาดกลางคืน คิดไว้ว่าไปตลาดกลางคืน เสร็จแล้วไปซื้อเสื้อผ้า แล้วก็ไปกินบัวลอย แล้วไปจบที่ร้านหนังสือ แต่ว่านอนดูการ์ตูนไปเรื่อยๆ จนหกโมงกว่า พอนอนบนเตียงแล้วที่เคยคิดว่าอยากทำอะไรมันสามารถที่จะผัดผ่อนได้ทุกอย่างเลยนะ วันก่อนๆ ก็เลยได้แต่นอนอยู่ห้องไง แต่ว่าวันนี้มีความตั้งใจจริงๆ ว่าจะต้องออกไปข้างนอกให้ได้ พยายามขุดตัวเองขึ้นมาจนได้ และก็ใช้ตัวช่วยสำคัญคือเปิดเพลงปลุกตัวเอง เพลง Octopussy ของ Gym and Swim เนี่ยคือที่สุด เบื่อแค่ไหนเปิดปุ๊ปก็จิตใจเบิกบานได้เลย วันนี้ตอนจะออกไปกินข้าวก็เปิดปลุกตัวเอง เป็นตัวช่วยสำคัญในการใช้ชีวิตไม่ให้เปื่อยได้มากๆ


  • เย็นนี้เราไป Tonghua Night Market หรือเรียกอีกชื่อว่า Lingjiang Night Market เป็นตลาดที่เราเล็งไว้ตั้งแต่ก่อนมาไต้หวันอีก มันไม่ค่อยมีชื่อเสียงดี ไม่ป๊อปเท่าตลาดอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้โนเนมขนาดนั้น อยู่จนจะกลับอยู่แล้วเพิ่งจะมาเนี่ย รู้สึกว่าตลาดนี้ขนาดกำลังดีเลยนะ ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีของหลากหลายทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้า แต่ก็ไม่ได้มีแบรนด์อะไรป๊อปๆ หรอกนะ เราเดินจนสุดตลาดก่อนรอบนึง แวะซื้อเครื่องดื่ม เพราะเห็นร้านแปะป้ายโปรโมต 觀音拿鐵 เป็นชาที่เราชอบมาก และปกติเมนูนี้มันไม่ค่อยมีร้านไหนชูขึ้นมา หมายความได้ว่า 觀音拿鐵 ร้านนี้จะต้องอร่อยแน่ๆ ก็เลยพุ่งตัวไปซื้อ แต่กินแล้วก็ว่างั้นๆ กลิ่นไม่ค่อยมาเท่าไหร่ เราชอบกลิ่นแรงๆ 

    จากนั้นก็เดินกลับไปร้านบะหมี่ที่เราเล็งไว้ ร้านนี้ดูเฉยมากและดูไม่ได้เป็นที่ินิยมเท่าไหร่ แต่ที่เราอยากกินก็เพราะว่าร้านนี้ขาย 擔仔麵 เป็นเมนูที่มีในยอดนักปรุงโซมะที่เพิ่งดูไปพอดี ไม่กินไม่ได้แล้ว เราสั่งแบบแห้งเพราะจำผิดว่าในการ์ตูนกินแบบแห้ง แต่ว่ากินไปสักพักเพิ่งนึกได้ว่าเขากินแบบน้ำนี่หว่า อาหารมาเสิร์ฟ หน้าตาดูไม่มีอะไรมาก มีเส้นบะหมี่ หมูสับดำๆ ผักนิดๆ หน่อยๆ หน้าตาคือไม่รู้ว่าต่างจากไอ่พวก 肉燥面 ยังไง ในการ์ตูน โซมะบอกว่าเส้นบะหมี่มันทำมาจากแป้งของ 胡椒餅 แต่ว่าจานตรงหน้านี้ก็เป็นเส้นบะหมี่ธรรมดามาก เอาเถอะ ร้านนี้มันดูไม่ใช่ร้านดัง เขาคงไม่ใช่สูตรออริจินัลหรือเปล่า หลังจากคลุกเคล้าให้เข้ากันก็คีบใส่ปาก ในความเหมือนมีความต่าง เส้นบะหมี่เขาต่างจากร้านอื่นมาก กัดแล้วมีความเด้ง รสชาติก็กำลังดี คือค่อนไปทางจืดแหละแต่ว่าไม่ได้จืดไปหมด ยังพอมีรสชาติ ถือว่าดีตามมาตรฐานไต้หวัน สั่งหัวใจหมูมากินเคียงก็ถือว่าดี คือจริงๆ กินไม่เป็นหรอกว่าดีไม่ดีเป็นยังไง แต่ว่าไม่มีอะไรต้องติก็ถือว่าดีแล้ว โดยรวมถือว่าประทับใจร้านนี้ และที่ทำให้ประทับใจมากๆ นอกจากอาหารแล้วก็คือร้านนี้เปิดเพลงเอลวิส นึกภาพร้านอาหารข้างทางในตลาดกลางคืน โต๊ะเหล็ก ร้านรถเข็น เปิดเพลงโอลดี้ส์ มี Que Sera Sera ด้วย ชอบมู้ดมากให้ตายเถอะ เอาไปเลยสิบดาว

    ระหว่างกินเราก็เสิร์ชหาร้านเด็ดในตลาดไปด้วย มีร้าน 生煎包 ที่เราเดินผ่านมาแล้ว ชื่อร้าน 上海生煎包 เห็นคนเข้าคิวกันอยู่สามสี่คน เรากินบะหมี่เสร็จไปอีกที่เริ่มมีคนต่อคิวเยอะขึ้น 生煎包 ที่นี่ลูกใหญ่นะ ปกติเคยกินแถวบ้านลูกจะเล็กกว่านี้ ชิมดูแล้วมันไม่เหมือนแถวบ้านอะ แป้งที่นี่จะค่อนข้างเหมือนซาลาเปา แต่ร้านแถวบ้านแป้งคล้ายเกี๊ยวมากกว่า ไม่หนา และรสชาติเราให้ร้านแถวบ้านมากกว่า ร้านแถวบ้านเราก็เป็นร้านดังนะ คนต่อคิวเยอะมาก ชื่อร้าน 許記生煎包 แต่ที่ร้านนี้ชนะคือไส้ ไส้ร้านแถวบ้านเราเป็นหมูผสมกะหล่ำ ที่มองไปเจอแต่กะหล่ำ ในขณะที่ไส้ร้านนี้หมูมาเต็มมาก ผสมกุยช่ายมาหรอมแหรม เหมือนแค่เอาสีเขียวมาตัดเฉยๆ และหมูก็บดผสมมาได้ดี มีทั้งเนื้อ มัน และเอ็นเบาๆ พอให้เคี้ยว คือเท็กซ์เจอร์ดี แต่โดยรวมเราชอบร้านแถวบ้านมากกว่า ไม่ต้องมีน้ำราดยังอร่อย มีน้ำราดยิ่งอร่อย

    เดินๆ ไปเรื่อยๆ ก็เจอคาร์ฟูร์ มีคาร์ฟูร์อยู่ในตลาดกลางคืนด้วยแฮะ เป็นคาร์ฟูร์ขนาดไม่ใหญ่มาก หลบอยู่ในชั้นใต้ดิน เดินลงบนไดไปจะเจอฝั่งนึงเป็นคาร์ฟูร์ อีกฝั่งนึงเป็นเกมเซ็นเตอร์ สะอาดและดูดีมาก หน้าคาร์ฟูร์มีโต๊ะสามตัวให้นั่งได้ เราเข้าไปเดินเล่นในคาร์ฟูร์สักพักก็ออกมานั่งกิน 生煎包 กินเสร็จไปเข้าห้องน้ำในเกมเซ็นเตอร์ ห้องน้ำสะอาดมากกก ห้องนึงเป็นส้วมหลุม ห้องนึงเป็นชักโครกแบบญี่ปุ่น นั่งแล้วอุ่นตูด และมีแผงควบคุมการฉีดน้ำต่างๆ ประทับใจมาก ไม่คิดว่าจะสะอาดขนาดนี้ น่าจะเพิ่งเปิดใหม่รึเปล่า

    ในเน็ตมีร้านเด็ดร้านดังแนะนำมากมาย แต่เราคงกินทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว เลยขอไปตามรอยร้านขนมเป็นร้านสุดท้ายแล้วกัน เป็นขนมบัวลอยร้านดัง เราเคยเห็นคนรีวิวมาผ่านๆ แล้ว คิดว่าต้องเด็ดจริง พอไปถึงร้านก็รู้เลยว่าเด็ดจริง เพราะคนต่อคิวรอกันอยู่หน้าร้านเต็มเลย เห็นแบบนี้เราก็เลยถอยทัพกลับดีกว่า ไว้วันหลังจะมากินนะ

    ใช้เวลาที่ตลาดนี้นานอยู่เหมือนกัน ไปซื้อเสื้อผ้าไม่ทันแล้ว ก็เลยนั่งรถเมล์ไปร้านหนังสือเลยแล้วกัน แถวร้านหนังสือมีร้านชานมไข่มุก Truedan พอดี เป็นร้านที่เห็นคนไต้หวันรีวิวบ่อยแต่เรายังไม่เคยกินเลย ตอนกลางวันเราก็เพิ่งซื้อชานมบราวน์ชูการ์แบบบรรจุขวดที่ Truedan ออกกับ Family Mart พอดี อร่อยมากกก ร้าน Truedan ที่สาขา Xinyi นี้ดูดีมาก มีที่นั่งกิน มีห้องน้ำบริการ ไม่รู้สาขาอื่นเป็นแบบนี้ป่าวนะ ไม่เคยไป แต่ก็ถือได้ว่าเหนือระดับกว่าร้านชานมไข่มุกร้านอื่น (เอ๊ะ แต่ก็ไม่เคยกินร้านอื่นสาขา Xinyi อาจจะเพราะมันอยู่ Xinyi ป่าวมันเลยทำดูดี) เราสั่งนมสดไข่มุกบราวน์ชูการ์ แก้วเล็กราคา 55 บาท ที่นี่ให้เลือกความหวานกับน้ำแข็งได้ด้วย ปกติร้านอื่นส่วนใหญ่แล้วถ้าเมนูนี้จะไม่ให้เลืิอก เราสั่งหวานน้อย ได้ออกมาจืดมาก เหมือนกินนมจืดกับไข่มุก มีบราวน์ชูการ์นิดหน่อยแต่มันไม่เข้ากับนมอะ มันแยกกันอยู่ หรือมันควรจะสั่งหวานปกตินะ

    ซื้อเสร็จเราก็เดินไปร้านหนังสือ ร้านที่มานี้ก็คือ Eslite Xinyi Store นั่นเองง ตอน Eslite สาขา Dunnan ปิดตัวลง เราก็ไปร่ำลาวันสุดท้ายมา ไปเพราะอยู่มา 9 เดือน ไม่เคยไปเลย วันนี้เขาจะปิดแล้วก็เลยไปดูสักหน่อย จริงๆ ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่เสียใจ เพราะก่อนมาไต้หวัน ได้รู้ว่ามีร้านหนังสือที่เปิด 24 ชั่วโมงก็รู้สึกอิจฉามากและอยากมาใช้บริการ แต่ก็ไม่เคยมาเลย แต่บรรยากาศวันสุดท้ายก็ทำเราทึ่งมากเหมือนกัน คนมากันเยอะมาก มากแบบไม่แคร์โซเชียลดิสแทนซิ่ง ยิ่งรู้สึกอิจฉาเข้าไปใหญ่ที่คนบ้านนี้เมืองนี้รักการอ่านมากขนาดนี้ 

    พอ Eslite Xinyi Store จะเปิด 24 ชั่วโมงแทนสาขา Dunnan เราก็เลยอยากจะมาเยี่ยมชม เราไปถึงตอนเกือบจะสี่ทุ่ม ตึกนี้มีอยู่หลายชั้นนะ จำไม่ได้ว่ากี่ชั้น แต่ว่า Eslite ชั้นอื่นนอกจากชั้นสามเขาจะไม่ให้เข้าเพราะเตรียมปิดแล้ว จะเข้าได้แค่ชั้นสามที่เปิด 24 ชั่วโมง เสียดายจัง แต่ว่าแค่ชั้นสามก็ใหญ่และมีของเยอะมากแล้ว ใช้เวลาเดินอยู่นานกว่าจะทั่ว และถึงแม้จะมืดค่ำแล้วแต่คนไม่ได้ัวังเวงเลย มีคนอยู่ปกติเหมือนร้านหนังสือไทยเวลากลางวันเลย เราเดินดูหนังสืออยู่มากมายหลายหมวดเลย น่าสนใจไปหมด มีมังงะที่เราไปหยิบๆ จับๆ แล้วยิ่งอยากรีบเช่ามาอ่านให้ได้ไวไว หมวดหนังสือภาษาก็มีเยอะ หนังสือสอนภาษาญี่ปุ่นนี่กินที่ไปหลายเชล์ฟเลยนะ มีกราฟิกโนเวล เจองานของจิมมี่ เลี่ยวอยู่หลายเล่ม อยากได้มาก ของนักวาดคนอื่นที่เราไม่รู้จักก็มีสวยๆ ทั้งนั้น นิยายก็มีเยอะ เขามีจัดโซนนิยายแปลญี่ปุ่นโดยเฉพาะด้วยอะ เครซี่ญี่ปุ่นกันมากๆ และที่เราอยากได้สุดๆ คือหนังสือรวม Typo ภาษาจีน เราคิดเสมอว่างาน Typo ภาษาจีนนี่มันสนุกมากๆ น่าสนใจมากๆ พอเจอหนังสือนี่ก็เลยอยากได้มาก แต่ราคาก็สี่ร้อย มีแต่อะไรที่อยากได้เต็มไปหมดเลยแต่ไม่มีตัง แล้วเรารู้สึกโปรดักทีฟมากๆๆ ยืนอ่านหนังสืออยู่ พอเจอคำศัพท์อะไรน่าสนใจก็จดเก็บไว้ แล้วก็นึกเสียดายในใจว่าทำไมไม่เป็นแบบนี้ตั้งนานแล้วนะ

    เดินดูหนังสือไปเรื่อยๆ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น คิดว่าคงเป็นแม่โทรมาแหละ จะเป็นใครได้ แต่ไม่ใช่ เป็นเพื่อนเราเอง เราเพิ่งส่งข้อความไปหาวันนี้เพราะเหงาๆ เลยทำเป็นถามนู่นนี่ แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะโทรมา คุยกันอยู่สักพักจนห้าทุ่มกว่าเราก็ออกมาจาก Eslite เพราะต้องกลับรถไฟฟ้า คุยกับเพื่อนมาตลอดทางเลย เพื่อนจะวางสายเราก็บอกไม่เอาๆ เหงา คุยกันก่อน5555 คุยจนเรากลับถึงห้อง ไขกุญแจเข้ามากำลังขึ้นบันไดไปชั้นอพาร์ตเมนต์เรา แบตเราก็หมดพอดี จนขึ้นมาห้อง ชาร์ตแบตได้ ก็โทรคุยกันต่อจนตีสอง เพื่อนขอตัวไปอาบน้ำ จริงๆ มันคงอยากวางนานแล้วรึป่าววะ เพิ่งรู้สึกผิด แต่ก็นานๆ ได้คุยกับคนสักที ดีใจจัง

    วางโทรศัพท์จากเพื่อนสักพัก ไปล้างหน้าล้างตา เราก็มาพิมพ์เนี่ย ยาวมากๆ แต่ว่าดีมากๆ ยิ่งยาวเท่าไหร่ก็เท่ากับวันนี้มีเรื่องราวให้น่าบันทึกมากเท่านั้น อยากให้ทุกวันต่อจากนี้จะได้เขียนยาวขึ้นเรื่อยๆ นะ

    ป.ล. แต่ว่ายาวจนไม่ได้นอนเลย ตอนนี้หกโมงครึ่งแล้วจ้า
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in