เย็นนี้เราไป Tonghua Night Market หรือเรียกอีกชื่อว่า Lingjiang Night Market เป็นตลาดที่เราเล็งไว้ตั้งแต่ก่อนมาไต้หวันอีก มันไม่ค่อยมีชื่อเสียงดี ไม่ป๊อปเท่าตลาดอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้โนเนมขนาดนั้น อยู่จนจะกลับอยู่แล้วเพิ่งจะมาเนี่ย รู้สึกว่าตลาดนี้ขนาดกำลังดีเลยนะ ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีของหลากหลายทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้า แต่ก็ไม่ได้มีแบรนด์อะไรป๊อปๆ หรอกนะ เราเดินจนสุดตลาดก่อนรอบนึง แวะซื้อเครื่องดื่ม เพราะเห็นร้านแปะป้ายโปรโมต 觀音拿鐵 เป็นชาที่เราชอบมาก และปกติเมนูนี้มันไม่ค่อยมีร้านไหนชูขึ้นมา หมายความได้ว่า 觀音拿鐵 ร้านนี้จะต้องอร่อยแน่ๆ ก็เลยพุ่งตัวไปซื้อ แต่กินแล้วก็ว่างั้นๆ กลิ่นไม่ค่อยมาเท่าไหร่ เราชอบกลิ่นแรงๆ
จากนั้นก็เดินกลับไปร้านบะหมี่ที่เราเล็งไว้ ร้านนี้ดูเฉยมากและดูไม่ได้เป็นที่ินิยมเท่าไหร่ แต่ที่เราอยากกินก็เพราะว่าร้านนี้ขาย 擔仔麵 เป็นเมนูที่มีในยอดนักปรุงโซมะที่เพิ่งดูไปพอดี ไม่กินไม่ได้แล้ว เราสั่งแบบแห้งเพราะจำผิดว่าในการ์ตูนกินแบบแห้ง แต่ว่ากินไปสักพักเพิ่งนึกได้ว่าเขากินแบบน้ำนี่หว่า อาหารมาเสิร์ฟ หน้าตาดูไม่มีอะไรมาก มีเส้นบะหมี่ หมูสับดำๆ ผักนิดๆ หน่อยๆ หน้าตาคือไม่รู้ว่าต่างจากไอ่พวก 肉燥面 ยังไง ในการ์ตูน โซมะบอกว่าเส้นบะหมี่มันทำมาจากแป้งของ 胡椒餅 แต่ว่าจานตรงหน้านี้ก็เป็นเส้นบะหมี่ธรรมดามาก เอาเถอะ ร้านนี้มันดูไม่ใช่ร้านดัง เขาคงไม่ใช่สูตรออริจินัลหรือเปล่า หลังจากคลุกเคล้าให้เข้ากันก็คีบใส่ปาก ในความเหมือนมีความต่าง เส้นบะหมี่เขาต่างจากร้านอื่นมาก กัดแล้วมีความเด้ง รสชาติก็กำลังดี คือค่อนไปทางจืดแหละแต่ว่าไม่ได้จืดไปหมด ยังพอมีรสชาติ ถือว่าดีตามมาตรฐานไต้หวัน สั่งหัวใจหมูมากินเคียงก็ถือว่าดี คือจริงๆ กินไม่เป็นหรอกว่าดีไม่ดีเป็นยังไง แต่ว่าไม่มีอะไรต้องติก็ถือว่าดีแล้ว โดยรวมถือว่าประทับใจร้านนี้ และที่ทำให้ประทับใจมากๆ นอกจากอาหารแล้วก็คือร้านนี้เปิดเพลงเอลวิส นึกภาพร้านอาหารข้างทางในตลาดกลางคืน โต๊ะเหล็ก ร้านรถเข็น เปิดเพลงโอลดี้ส์ มี Que Sera Sera ด้วย ชอบมู้ดมากให้ตายเถอะ เอาไปเลยสิบดาว
ระหว่างกินเราก็เสิร์ชหาร้านเด็ดในตลาดไปด้วย มีร้าน 生煎包 ที่เราเดินผ่านมาแล้ว ชื่อร้าน 上海生煎包 เห็นคนเข้าคิวกันอยู่สามสี่คน เรากินบะหมี่เสร็จไปอีกที่เริ่มมีคนต่อคิวเยอะขึ้น 生煎包 ที่นี่ลูกใหญ่นะ ปกติเคยกินแถวบ้านลูกจะเล็กกว่านี้ ชิมดูแล้วมันไม่เหมือนแถวบ้านอะ แป้งที่นี่จะค่อนข้างเหมือนซาลาเปา แต่ร้านแถวบ้านแป้งคล้ายเกี๊ยวมากกว่า ไม่หนา และรสชาติเราให้ร้านแถวบ้านมากกว่า ร้านแถวบ้านเราก็เป็นร้านดังนะ คนต่อคิวเยอะมาก ชื่อร้าน 許記生煎包 แต่ที่ร้านนี้ชนะคือไส้ ไส้ร้านแถวบ้านเราเป็นหมูผสมกะหล่ำ ที่มองไปเจอแต่กะหล่ำ ในขณะที่ไส้ร้านนี้หมูมาเต็มมาก ผสมกุยช่ายมาหรอมแหรม เหมือนแค่เอาสีเขียวมาตัดเฉยๆ และหมูก็บดผสมมาได้ดี มีทั้งเนื้อ มัน และเอ็นเบาๆ พอให้เคี้ยว คือเท็กซ์เจอร์ดี แต่โดยรวมเราชอบร้านแถวบ้านมากกว่า ไม่ต้องมีน้ำราดยังอร่อย มีน้ำราดยิ่งอร่อย
เดินๆ ไปเรื่อยๆ ก็เจอคาร์ฟูร์ มีคาร์ฟูร์อยู่ในตลาดกลางคืนด้วยแฮะ เป็นคาร์ฟูร์ขนาดไม่ใหญ่มาก หลบอยู่ในชั้นใต้ดิน เดินลงบนไดไปจะเจอฝั่งนึงเป็นคาร์ฟูร์ อีกฝั่งนึงเป็นเกมเซ็นเตอร์ สะอาดและดูดีมาก หน้าคาร์ฟูร์มีโต๊ะสามตัวให้นั่งได้ เราเข้าไปเดินเล่นในคาร์ฟูร์สักพักก็ออกมานั่งกิน 生煎包 กินเสร็จไปเข้าห้องน้ำในเกมเซ็นเตอร์ ห้องน้ำสะอาดมากกก ห้องนึงเป็นส้วมหลุม ห้องนึงเป็นชักโครกแบบญี่ปุ่น นั่งแล้วอุ่นตูด และมีแผงควบคุมการฉีดน้ำต่างๆ ประทับใจมาก ไม่คิดว่าจะสะอาดขนาดนี้ น่าจะเพิ่งเปิดใหม่รึเปล่า
ในเน็ตมีร้านเด็ดร้านดังแนะนำมากมาย แต่เราคงกินทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว เลยขอไปตามรอยร้านขนมเป็นร้านสุดท้ายแล้วกัน เป็นขนมบัวลอยร้านดัง เราเคยเห็นคนรีวิวมาผ่านๆ แล้ว คิดว่าต้องเด็ดจริง พอไปถึงร้านก็รู้เลยว่าเด็ดจริง เพราะคนต่อคิวรอกันอยู่หน้าร้านเต็มเลย เห็นแบบนี้เราก็เลยถอยทัพกลับดีกว่า ไว้วันหลังจะมากินนะ
ใช้เวลาที่ตลาดนี้นานอยู่เหมือนกัน ไปซื้อเสื้อผ้าไม่ทันแล้ว ก็เลยนั่งรถเมล์ไปร้านหนังสือเลยแล้วกัน แถวร้านหนังสือมีร้านชานมไข่มุก Truedan พอดี เป็นร้านที่เห็นคนไต้หวันรีวิวบ่อยแต่เรายังไม่เคยกินเลย ตอนกลางวันเราก็เพิ่งซื้อชานมบราวน์ชูการ์แบบบรรจุขวดที่ Truedan ออกกับ Family Mart พอดี อร่อยมากกก ร้าน Truedan ที่สาขา Xinyi นี้ดูดีมาก มีที่นั่งกิน มีห้องน้ำบริการ ไม่รู้สาขาอื่นเป็นแบบนี้ป่าวนะ ไม่เคยไป แต่ก็ถือได้ว่าเหนือระดับกว่าร้านชานมไข่มุกร้านอื่น (เอ๊ะ แต่ก็ไม่เคยกินร้านอื่นสาขา Xinyi อาจจะเพราะมันอยู่ Xinyi ป่าวมันเลยทำดูดี) เราสั่งนมสดไข่มุกบราวน์ชูการ์ แก้วเล็กราคา 55 บาท ที่นี่ให้เลือกความหวานกับน้ำแข็งได้ด้วย ปกติร้านอื่นส่วนใหญ่แล้วถ้าเมนูนี้จะไม่ให้เลืิอก เราสั่งหวานน้อย ได้ออกมาจืดมาก เหมือนกินนมจืดกับไข่มุก มีบราวน์ชูการ์นิดหน่อยแต่มันไม่เข้ากับนมอะ มันแยกกันอยู่ หรือมันควรจะสั่งหวานปกตินะ
ซื้อเสร็จเราก็เดินไปร้านหนังสือ ร้านที่มานี้ก็คือ Eslite Xinyi Store นั่นเองง ตอน Eslite สาขา Dunnan ปิดตัวลง เราก็ไปร่ำลาวันสุดท้ายมา ไปเพราะอยู่มา 9 เดือน ไม่เคยไปเลย วันนี้เขาจะปิดแล้วก็เลยไปดูสักหน่อย จริงๆ ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่เสียใจ เพราะก่อนมาไต้หวัน ได้รู้ว่ามีร้านหนังสือที่เปิด 24 ชั่วโมงก็รู้สึกอิจฉามากและอยากมาใช้บริการ แต่ก็ไม่เคยมาเลย แต่บรรยากาศวันสุดท้ายก็ทำเราทึ่งมากเหมือนกัน คนมากันเยอะมาก มากแบบไม่แคร์โซเชียลดิสแทนซิ่ง ยิ่งรู้สึกอิจฉาเข้าไปใหญ่ที่คนบ้านนี้เมืองนี้รักการอ่านมากขนาดนี้
พอ Eslite Xinyi Store จะเปิด 24 ชั่วโมงแทนสาขา Dunnan เราก็เลยอยากจะมาเยี่ยมชม เราไปถึงตอนเกือบจะสี่ทุ่ม ตึกนี้มีอยู่หลายชั้นนะ จำไม่ได้ว่ากี่ชั้น แต่ว่า Eslite ชั้นอื่นนอกจากชั้นสามเขาจะไม่ให้เข้าเพราะเตรียมปิดแล้ว จะเข้าได้แค่ชั้นสามที่เปิด 24 ชั่วโมง เสียดายจัง แต่ว่าแค่ชั้นสามก็ใหญ่และมีของเยอะมากแล้ว ใช้เวลาเดินอยู่นานกว่าจะทั่ว และถึงแม้จะมืดค่ำแล้วแต่คนไม่ได้ัวังเวงเลย มีคนอยู่ปกติเหมือนร้านหนังสือไทยเวลากลางวันเลย เราเดินดูหนังสืออยู่มากมายหลายหมวดเลย น่าสนใจไปหมด มีมังงะที่เราไปหยิบๆ จับๆ แล้วยิ่งอยากรีบเช่ามาอ่านให้ได้ไวไว หมวดหนังสือภาษาก็มีเยอะ หนังสือสอนภาษาญี่ปุ่นนี่กินที่ไปหลายเชล์ฟเลยนะ มีกราฟิกโนเวล เจองานของจิมมี่ เลี่ยวอยู่หลายเล่ม อยากได้มาก ของนักวาดคนอื่นที่เราไม่รู้จักก็มีสวยๆ ทั้งนั้น นิยายก็มีเยอะ เขามีจัดโซนนิยายแปลญี่ปุ่นโดยเฉพาะด้วยอะ เครซี่ญี่ปุ่นกันมากๆ และที่เราอยากได้สุดๆ คือหนังสือรวม Typo ภาษาจีน เราคิดเสมอว่างาน Typo ภาษาจีนนี่มันสนุกมากๆ น่าสนใจมากๆ พอเจอหนังสือนี่ก็เลยอยากได้มาก แต่ราคาก็สี่ร้อย มีแต่อะไรที่อยากได้เต็มไปหมดเลยแต่ไม่มีตัง แล้วเรารู้สึกโปรดักทีฟมากๆๆ ยืนอ่านหนังสืออยู่ พอเจอคำศัพท์อะไรน่าสนใจก็จดเก็บไว้ แล้วก็นึกเสียดายในใจว่าทำไมไม่เป็นแบบนี้ตั้งนานแล้วนะ
เดินดูหนังสือไปเรื่อยๆ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น คิดว่าคงเป็นแม่โทรมาแหละ จะเป็นใครได้ แต่ไม่ใช่ เป็นเพื่อนเราเอง เราเพิ่งส่งข้อความไปหาวันนี้เพราะเหงาๆ เลยทำเป็นถามนู่นนี่ แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะโทรมา คุยกันอยู่สักพักจนห้าทุ่มกว่าเราก็ออกมาจาก Eslite เพราะต้องกลับรถไฟฟ้า คุยกับเพื่อนมาตลอดทางเลย เพื่อนจะวางสายเราก็บอกไม่เอาๆ เหงา คุยกันก่อน5555 คุยจนเรากลับถึงห้อง ไขกุญแจเข้ามากำลังขึ้นบันไดไปชั้นอพาร์ตเมนต์เรา แบตเราก็หมดพอดี จนขึ้นมาห้อง ชาร์ตแบตได้ ก็โทรคุยกันต่อจนตีสอง เพื่อนขอตัวไปอาบน้ำ จริงๆ มันคงอยากวางนานแล้วรึป่าววะ เพิ่งรู้สึกผิด แต่ก็นานๆ ได้คุยกับคนสักที ดีใจจัง
วางโทรศัพท์จากเพื่อนสักพัก ไปล้างหน้าล้างตา เราก็มาพิมพ์เนี่ย ยาวมากๆ แต่ว่าดีมากๆ ยิ่งยาวเท่าไหร่ก็เท่ากับวันนี้มีเรื่องราวให้น่าบันทึกมากเท่านั้น อยากให้ทุกวันต่อจากนี้จะได้เขียนยาวขึ้นเรื่อยๆ นะ
ป.ล. แต่ว่ายาวจนไม่ได้นอนเลย ตอนนี้หกโมงครึ่งแล้วจ้า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in