เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
1-800-273-8255weirdafx_
chapter 1 - It tastes like home but it’s not, then what’s home?




  • ตอนที่ผมยังเด็ก

    ผมเคยคิดว่า การรักใครสักคน คือการที่ผมไม่เกลียดเขา

    แต่ผมคิดผิด และผมตระหนักได้ว่า

    การรักใครสักคน คือการที่ผมไม่สามารถเกลียดเขาได้ลง








    07:00 a.m.


    เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเป็นเวลาเดิมซ้ำๆของทุกวัน ผมลืมตาตื่นขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงอันน่าเบื่อของมัน จริงๆแล้วผมเพิ่งจะได้หลับตาไปเมื่อห้านาทีที่แล้วก่อนที่มันจะดังขึ้น - เอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อขึ้นไปหยิบนาฬิกาเรือนสีดำข้างๆตัวขึ้นมากดปิดก่อนที่เสียงของมันจะพาลไปรบกวนคนอื่นๆเข้า



    ผมมองตัวเองในกระจก เรือนร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการทำร้ายตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ลูบมือเย็นๆของตัวเองลงบนผิวกายที่แห้งไม่ผ่านการบำรุงผิวจากครีมหรือโลชั่นใดๆ ผมไม่ได้รู้สึกยินดีหรือหดหู่ของศิลปะจากใบมีดคัตเตอร์ที่ปรากฎให้เห็นอยู่บนกายของผม



    ผมแค่ไม่รู้สึกอะไรแล้วทั้งนั้น



    ผมไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ทำให้ผมไร้ความรู้สึกเช่นนี้ บางทีอาจจะเป็นแม่ที่จากผมไปตั้งแต่ผมยังเด็ก และการที่รู้ว่าเธอแต่งงานใหม่กับชายที่เพียบพร้อมให้เธอได้ทุกอย่าง มากกว่าพ่อของผม ทั้งเงินทอง บ้านรถโต รถยนต์คันหรู และลูกชายที่เติบใหญ่มีหน้ามีตาให้กับตระกูลหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการเข้าศึกษาคณะแพทย์ได้



    ผมเคยสงสัยมาตลอดในช่วงชีวิตวัยเด็กของผม ว่าทำไมกัน ทำไมลูกชายบ้านนั้นถึงได้มีอายุมากกว่าผม ทั้งๆที่แม่เป็นฝ่ายทิ้งผมกับพ่อไปเองแท้ๆ เหมือนกับว่าแม่เองนั้นมีพวกเขาอยู่ด้วยตลอด ความคิดของผมตีกันและสับสนอยู่เสมอมา ภาพที่แม่มีความสุขเมื่ออยู่กับพวกเขา รอยยิ้มนั้นที่แม่คอยยิ้มให้ผมอยู่ตลอดเวลา



    แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป และผมเองก็เติบโตขึ้น

    เมื่อนั้นที่ผมเข้าใจว่าชีวิต มักเล่นตลกกับเราอยู่เสมอ



    และเป็นผมเองที่เป็นบ้าไปอยู่คนเดียว พยายามทำตัวดีเด่นเผื่อว่าแม่เองจะกลับมาสนใจใยดีผมบ้างสักวัน จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมคิดว่าตัวเองเข้าใจทุกอย่างอย่างเที่ยงแท้แล้ว วันนั้นเป็นวันประกาศผลเข้ารับการศึกษาต่อในช่วงอุดมศึกษา รายชื่อของผม เลขประจำตัวของผม ถูกประกาศติดหนึ่งในร้อยเก้าสิบคนผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับเข้าศึกษาต่อคณะแพทย์อันดับหนึ่งของประเทศ



    ผมจำได้ว่าวันนั้นผมปริ้นใบประกาศแผ่นนั้นลงกระดาษเอสี่ รอยยิ้มของผมเกิดขึ้นพร้อมกับนำ้ตา ขอบคุณตัวเองที่พยายามทำมาอย่างดีตลอด ขอบคุณตัวเองที่อดทนเหนื่อยมาตลอด โดยไม่รู้ว่าความสุขครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะได้รู้สึกถึงมัน



    ตอนนั้นผมกระชับกระดาษเอสี่แผ่นนั้นแน่น สิ่งที่ผมคิดอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือแม่ แต่แล้วผมก็คิดได้ว่ามันจะไปมีประโยชน์อะไรมากนัก การที่ผมสอบเข้าคณะดีๆได้ ลูกชายบ้านนั้นเขาเองก็ทำได้เช่นกัน - ผมเปลี่ยนใจก่อนที่จะเดินเข้าไปหาพ่อ ยื่นกระดาษเอสี่แผ่นเดิมที่ผมขยำมันไปแล้วรอบนึงให้พ่อไป



    มันถูกยื่นกลับมาพร้อมกับคำที่พ่อเอื้อนเอ่ยว่า “อืม” ก่อนที่พ่อจะหันกลับไปจดตัวเลขโง่ๆลงบนสมุดเล่มใหญ่ประจำตัวของพ่ออีกครั้ง ไม่มีอ้อมกอดใดๆ หรือรอยยิ้มอะไรเผยออกมาให้เห็นจากพ่อเลยด้วยซ้ำ มันทำให้รู้ว่าบางทีผมเองก็หวังมากไป ผมจำได้ว่าตัวเองหน้าชาไปอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่หยาดน้ำตาเล็กๆจะไหลลงกระทบกับฝ่ามือของผมเองเป็นการเรียกสติ








    “อ่าวแทยง เมื่อคืนไม่ได้กลับบ้านหรอ”

    เสียงของชายหนุ่มเจ้าของชื่อยูตะเอ่ยขึ้น ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง ผมหันไปมองอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดนักศึกษาแพทย์เรียบร้อยแล้ว ยูตะเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนมาจากญี่ปุ่น และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ผมคุยด้วยได้มากที่สุด ณ ที่แห่งนี้แล้ว



    ถึงแม้ว่ายูตะเอง จะเป็นคนที่ปล่อยข่าวเรื่องแผลเป็นของผมไปก็ตามแต่



    “อ่อ.. อืม”

    ผมตอบกลับก่อนที่จะคว้าเสื้อมาใส่บ้าง ทั้งห้องเงียบสงบลงเมื่อผมไม่พูดอะไรต่อ ก่อนที่เสียงปิดประตูจะดังขึ้นอีกครั้ง ผมเดาเอาเองว่ายูตะคงเดินออกไปแล้ว ผมถอนหายใจยาวๆพร้อมกับเอาหัวพิงล็อคเกอร์เหล็กสีเงินอมฟ้าอ่อนๆของตัวเองเอาไว้



    ผมคว้าแว่นสายตาของตัวเองมาใส่ จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมใส่มันคือตอนเกรดสี่ ผมเป็นแค่เด็กธรรมดาที่อยากเรียกร้องความสนใจจากแม่ เล็กๆด้วยการโกหกว่าค่าสายตาของผมมันผิดปรกติ จนกระทั่งตอนนี้ค่าสายตาของผมสูงขึ้นเฉียดพันจนกลายเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้ว



    ผมคว้าวอล์คกี้แมนเครื่องเก่าที่เป็นสิ่งสุดท้ายที่แม่ทิ้งเอาไว้ให้ผมดูต่างหน้าลงกระเป๋าสะพาย ไม่รู้สิ จากทุกอย่างที่หญิงคนนั้นทำร้ายจิตใจของผมเหลือเกิน มันเป็นเหตุผลมากพอที่จะทำให้ผมเกลียดแม่ แต่ไม่เลย ผมกลับรักเธอมากกว่าเดิม ยามที่นึกถึงเสียงของแม่กับรอยยิ้มเหล่านั้น ทำให้ผมเกลียดเธอไม่ลง



    บางที ความทรงจำพวกนั้นต่างหากที่เป็นแม่ของผม

    ไม่ใช่เรือนร่างของผู้หญิงที่สวยสง่าคนนั้น





    “กลับมาแล้ว”

    ผมเอ่ยประโยคสั้นๆทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆใจกลางเมืองกรุง ยกมือขึ้นถอดฮู้ดที่คลุมผมของตัวเองออกพร้อมกับรองเท้าสนีกเกอร์ผ้าใบสีขาวคาดแถบแดงไว้ตรงริมประตู เอื้อมมือไปเปิดไฟข้างประตูห้องน้ำก่อนที่ไฟตรงกลางห้องจะสว่างขึ้น



    ผมยืนมองห้องนอนของตัวเองที่ว่างเปล่า ที่ๆใครหลายคนเรียกมันว่าบ้าน แต่ไม่รู้สิ ผมไม่คิดว่าห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆนี้เป็นบ้านเสียเท่าไร ผมไม่เข้าใจความหมายของคำว่าบ้านดีเท่าไรนัก หากแต่ถ้าความหมายของมันคือที่ซุกหัวนอนผมก็พอจะเข้าใจ



    สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นห้องเช่าเล็กๆแห่งนี้ในใจกลางเมืองกรุง หรือบ้านหลังใหญ่โตที่ต่างจังหวัด ,บ้านเกิดของผม บ้านที่มีพ่อ หรือมีความทรงจำหลายๆอย่างเกิดขึ้นที่นั่น แต่มันก็ไม่ได้อบอุ่น หรือมีความหมายอะไรสำหรับผมเท่านั้น ผมแค่มองว่าพวกมันเป็นเพียงที่ซุกหัวนอนชั่วคราว จนกว่าที่แผนการฆ่าตัวตายของผมจะสำเร็จ



    ใช่ ผมวางแผนฆ่าตัวตายมาได้นานแล้ว - ผมคว้าตั๋วเครื่องบินราคาถูกๆที่มันไม่เกินกำลังที่ผมจะจ่ายขึ้นมาดูอีกครั้ง ตลอดช่วงชีวิตของผมที่เกิดมา ผมมองไม่เห็นอนาคตของชีวิตตัวเองเท่าไรนัก ผมไม่เคยเข้ารับการรักษาทางด้านจิตแพทย์ ผมแค่ไม่อยากรับรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร ไม่อยากเข้ารับการรักษา หรือบางทีผมอาจจะแค่อยากเรียกร้องความสนใจก็แค่นั้น



    ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนอนแข็งๆที่มีขนาดพอดีกับร่างของผม เงยหน้ามองขึ้นบนเพดานห้องของตัวเองก่อนที่จะพบดวงดาวนับสิบดวงที่ถูกแปะเอาไว้อยู่ ผมเห็นมันมานานแล้วตั้งแต่เข้ามาพักที่ห้องแห่งนี้ รวมเวลาก็หลายปีอยู่ตั้งแต่ที่ผมสอบติดเข้ามหาลัย - และผมก็ไม่คิดที่จะเอามันออกเสียเท่าไร อาจจะเป็นเพราะว่าผมขี้เกียจเกินไป



    ห้องเช่าแห่งนี้เล็กมากพอที่จะทำให้ผมสามารถเอื้อมมือไปปิดไฟข้างห้องน้ำจากเตียงนอนของตัวเองได้ ก่อนที่ผมจะพบว่า ผมเองก็ไม่ได้ขี้เกียจถึงขนาดที่จะไม่ดึงดวงดาวพวกนี้ออก แต่มันสวยมากเสียจนผมไม่อยากจะดึงมันลงมาเสียตังหาก



    ครืด ครืด

    ผมหันไปมองโทรศัพท์เครื่องเก่าที่ซื้อมาตั้งนานแล้ว มันแจ้งเตือนข้อความผ่านแอปสีเหลืองพร้อมกับขึ้นชื่อผู้ใช้ ยูตะ ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนที่จะพบว่าในส่วนข้อความนั้นไม่มีอะไรไปมากว่าการจ้ำจี้จ้ำไชให้ผมไปร่วมงานฉลองโง่ๆของคนในคลาส



    คืนนี้เป็นคืนวันจันทร์ที่ใครหลายคนให้คำนิยามว่าเป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดจากทั้งสัปดาห์ แต่สำหรับนักศึกษาแพทย์ปีสี่อย่างพวกผม ผมถือว่ามันเป็นวันที่คล้ายกับคืนวันศุกร์ก็ไม่ปาน มันเป็นวันเดียวที่ทุกคนไม่ต้องขึ้นวอร์ดตามเวร เว้นเสียแต่ว่าบางคนจะถูกเรียกตัวด่วน



    ผมถอนหายใจก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งแล้วเอื้อมมือไปเปิดไฟอีกครั้ง อีกสองสัปดาห์ข้างหน้าหลังช่วงหยุดยาวของเทศกาลก็จะมีสอบแล้ว คงจะให้ผมตัดใจแล้วออกไปเที่ยวเล่นกับพวกนั้นคงไม่ดีเท่าไรนัก ผมยืนขึ้นก่อนที่จะย้ายที่นั่งจากเตียงนอนของตัวเองไปเป็นโต๊ะทำงานเล็กๆที่ติดอยู่กับปลายเตียงนอน



    ผมได้เพียงแต่มองเท็กบุ๊คเล่มหนาจำนวนสี่เล่มตรงหน้า ภายในกระดาษแต่ละแผ่นมีแต่ลายมือของผมเต็มไปหมดจนแทบจะไม่เห็นเนื้อหาจริงๆที่หนังสือตั้งใจจะนำเสนอ ผมมองตัวอักษรเหล่านั้นที่เต็มไปด้วยความรู้เกี่ยวกับด้านการแพทย์ซึ่งผมเคยได้เรียนหรือศึกษาด้วยตัวเองมาก่อนแล้ว



    ผมถูกมองว่าเป็นคนเก่งของคลาส ไม่ว่าจะทำอะไรก็เก่งไปเสียหมด มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เรียนสมัยมัธยมปลายแล้วล่ะ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพราะสิ่งที่ผมพยายามทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากแม่ที่ไม่เคยแม้แต่จะเหลียวแลผมเลยสักนิด บางทีผมอาจจะรู้สึกดีใจขึ้นมานิดๆก็ได้ถ้าแม่พาพี่ชายคนนั้นมาให้ผมรู้จักบ้าง หรือพาผมไปให้คนบ้านนั้นได้รู้จัก



    แต่แค่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของแม่

    ผมยังไม่ได้มีสิทธิ์ตรงนั้นเลย



    ครืด ครืด..

    เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง และเป็นไปตามที่ผมคาดเอาไว้ ยูตะส่งข้อความมาถามผมอีกครั้งเรื่องงานเลี้ยงคืนนี้ ผมลองนึกภาพที่ตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนพวกนั้น ส่ายหัวเบาๆเพื่อเอาความคิดบ้าๆนี่ออกไปจากหัว ผมรู้ว่าตรงไหนคือที่ที่ผมสมควรจะอยู่ และผมก็รู้ว่าที่ตรงนั้นมันไม่ใช่สำหรับผม




    ผมตัดสินใจเดินออกจากห้องพักเล็กๆของตัวเองเพื่อจะตรงดิ่งไปที่มินิมาร์ทตรงปากซอยทางเข้า ฝ่ามือสีซีดๆอันแห้งหยาบของผมจับปีกฮู้ดของเสื้อกันหนาวขึ้นมาคลุมพร้อมกับดันแว่นตาทรงกลมที่ไหลลงมาอยู่ตรงปลายจมูกเล็กๆ ผมคิดไม่ผิดที่เลือกจะใส่กางเกงวอร์มขายาวออกมาในเวลาเช่นนี้ ทุกอย่างมืดมัวมีแต่แสงไฟสลัวๆจากตึกราบ้านช่องข้างๆที่เพียงพอต่อการเป็นแสงไฟนำทางให้ผม



    กริ๊ง

    เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อผมดันประตูกระจกบานผลักเข้าไป ผมไม่ได้สังเกตุเห็นอะไรมากนัก สายตาของผมอยู่แค่ระดับพื้นและปลายเท้าที่ก้าวขาตรงดิ่งไปโซนเครื่องดื่มชูกำลัง สองมือของผมกอบโกยขวดเครื่องดื่มขนาดเล็กราวกับว่าพรุ่งนี้โลกจะแตกหรือน้ำจะท่วมลงบนตะกร้าของร้านที่ผมหยิบติดมือมาด้วย



    “รับอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”

    เสียงเข้มๆของพนักงานร้านเอ่ยขึ้นถาม ผมมองฝ่ามือแกร่งนั้นที่ดูมีชีวิตชีวามากกว่ามือของผมเป็นร้อยเท่าพันเท่า เขากำลังหยิบสิ่งของออกจากตะกร้าของผมพร้อมกับใส่ลงถุงพลาสติกของทางร้าน - ผมส่ายหัวแทนคำตอบให้กับคำถามของเขาก่อนที่จะเหลือบมองตัวเลขดิจิทัลบนแผงบอกราคา



    ผมล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงวอร์มก่อนที่จะวางแบงค์ยับๆลงตรงหน้าอีกฝ่าย ผมขมวดคิ้วเมื่อจังหวะเพลงเคป๊อปที่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง มันไม่น่าอภิรมณ์ใจเท่าไรนักเมื่อผมได้ยินเป็นรอบที่สิบของวันแล้ว ถนนทั้งสายพร้อมใจกันที่จะเปิดเพลงนี้ และเมื่อสัปดาห์หนึ่งผ่านไป เพลงใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่



    แต่สิ่งที่น่าเสียใจไปกว่าการถูกแทนที่

    คือการถูกลืมเสียตังหากล่ะ



    และน่าเศร้าที่กระแสเพลงพวกนั้นมาเร็วและและจากไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นผู้คนปฏิบัติต่อมันราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เคยมีตัวตนอยู่



    ผมตั้งท่าจะเดินออกจากร้านมินิมาร์ทนี้พร้อมกับถุงพลาสติกในมือ แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นไปตามที่ร่างกายผมต้องการ ผมรู้สึกถึงฝ่ามือแกร่งที่ลงน้ำหนักไม่แรงมากแต่ก็ไม่ได้เบาจนผมไม่รู้สึกถึงมันที่ท่อนแขนของผม ผมชะงักและหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นอาการนี้ของผม



    ผมหันกลับไปมองตามแรงนั่นก่อนที่จะเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ผมไม่รู้ว่าที่เขาดูตัวใหญ่นั่นเพราะสรีระร่างกายที่สูงใหญ่ หรือด้านหลังเคาท์เตอร์จะเป็นพื้นสูงกันแน่ - ผมไม่ได้ผละหรือสะบัดแขนออกมาและอีกฝ่ายก็รู้ตัวว่าควรทำเช่นไร เขาเลื่อนเงินทอนที่ผมควรจะได้รับมาตรงหน้า ไร้คำพูดใดๆ



    ผมก้มหัวให้เขาตามมารยาท คว้าเศษเหรียญลงกระเป๋าเสื้อฮู้ดพร้อมกับก้าวขาเดินออกจากมินิมาร์ทโดยเร็วพลัน



    ผมคล้องถุงพลาสติกเข้ากับข้อมือก่อนที่จะสอดมืออันหยาบกร้านของผมลงใต้กระเป๋าเสื้อข้างสะโพกของผม ผมไม่ได้รีบเดิน อากาศเย็นๆเช่นนี้มันทำให้ผมไม่ได้อยากกลับห้องพักเร็วขึ้น สองขาของผมหยุดเดินชะงัก จ้องมองไปตรงสนามเด็กเล่นข้างหน้า



    ผมหย่อนสะโพกลงบนชิงช้า เขย่งปลายเท้าขึ้นและลงเล็กน้อยพอให้ร่างกายของผมได้เอียงเอนไปกับมัน ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจนฮู้ดนั้นหลุดออกมา สองมือจับโซ่เหล็กเอาไว้แน่นก่อนที่จะเอนกายไปด้านหลัง ผมเหมือนคนไร้สติที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหาอะไรอยู่ ผืนฟ้ามืดสนิท ก็แน่ล่ะ ใจกลางเมืองกรุงเช่นนี้ หากเห็นดาวสักดวง คงเป็นบุญมากแล้ว



    ผมตัดใจจากมัน สายลมเย็นๆที่พัดผ่านทำให้ผมตระหนักว่าอากาศเช่นนี้เป็นเพียงแค่ข้ออ้างบ้าๆสำหรับผมที่ไม่อยากจะกลับห้องพัก หากใครเห็นเข้าเขาคงมองว่าผมบ้าที่มานั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางอากาศหนาวๆ แต่ใครละจะสนใจ?



    เสียงกรอบแกรบและเสียงกระทบของขวดแก้วจากการที่ผมล้วงมือหยิบถ้วยโยเกิร์ตในถุงพลาสติกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในบริเวณนี้ ยังดีที่เสียงเหล่านี้ไม่ได้เดียวดาย พวกมันมีเสียงของชิงช้าที่โอนเอนจากการกระทำของลมเป็นเพื่อนอยู่ - ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อสิ่งที่อยู่ในมือของผมไม่ใช่โยเกิร์ตกลิ่นมะพร้าวอ่อนอย่างที่มันควรจะเป็น แต่กลับเป็นแอปเปิ้ลสีเขียวเสียซะงั้น



    ผมคิดว่าตัวเองคงหยิบผิดมาไม่ใช่แค่จากการที่โทนสีของมันจะเป็นสีเขียวคล้ายกันแล้วยังเป็นการที่มันถูกจัดเรียงอยู่ใกล้กันอีกด้วย ผมอ่อนน้ำหนักแขนลงปล่อยให้มันลงสู่หน้าตักของผม มองโยเกิร์ตเจ้ากรรมที่อยู่ในมือ ผมไม่ได้คิดโทษมันที่มีสีและถูกจัดวางใกล้เคียงกับรสโปรดของผม



    ช่างแม่ง



    ผมเงยหน้ามองมินิมาร์ทที่ห่างออกไปจากสนามเด็กเล่นไม่ไกลมากจนสุดสายตา แต่ก็ไม่ได้ใกล้มากพอที่จะทำให้ผมเดินกลับเข้าไปในนั้นแล้วซื้ออันใหม่มาชดใช้สิ่งที่ผมทำผิดพลาดไป



    ผมลุกขึ้นพร้อมกับมองโยเกิร์ตในมืออีกครั้งก่อนที่จะบอกลามันด้วยสายตาหลังจากที่ผมโยนมันทิ้งไปในถังขยะที่ว่างเปล่า ผมหยุดนิ่ง ลังเลว่าควรจะหยิบมันขึ้นมาดีหรือไม่ ผมอาจจะเป็นโรคจิตเล็กๆที่รู้สึกสงสารหากจะทิ้งให้มันต้องอยู่ตัวคนเดียวในถังขยะสูงเท่าเอวของผม ซึ่งนั่นก็นับว่าใหญ่กว่าถ้วยโยเกิร์ตเล็กๆนั้นมากกว่าสิบเท่าตัว



    ผมครุ่นคิด สูดลมหายใจเล็กน้อย

    ก่อนที่ผมจะตัดสินใจทิ้งขวดเครื่องดื่มชูกำลังลงไปด้วย



    ผมดึงฮู้ดขึ้นสวมหัวอีกครั้ง ล้วงมือลงใต้กระเป๋าเสื้อคลุมตัวหนา ก้มหน้าก้มตาเดินตรงกลับห้องพักอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แสงสว่างที่จ้าออกมาเพียงชั่ววินาทีสลับกับเสียงของฟ้าร้องเป็นชั่วขณะ ผมเข้าใจว่าแสงมักจะเดินทางเร็วกว่าเสียงเสมอ และนั่นก็คงเป็นอาการก่อนคนบนฟากฟ้าจะหลั่งน้ำตาลงมา



    ผมวางถุงพลาสติกที่บรรจุเต็มไปด้วยเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อนสนิทของผมลงบนโต๊ะไม้ญี่ปุ่นเล็กๆราคาถูกที่ผมได้มาจากการซื้อขายของเก่าจากคุณปู่ตรงท้ายซอย นั่งลงกับพื้นเย็นๆโดยเอนหลังพิงกับเตียงเอาไว้ ผมทอดสายตามองออกไปตรงหน้าต่าง และมันก็เป็นไปตามที่ผมคาดเอาไว้ เม็ดฝนโหมกระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย



    ผมแอบดีใจเล็กๆทุกครั้งที่ฝนตก

    มันทำให้รู้ว่าอย่างน้อยคนข้างบนนั้นก็เศร้าเหมือนผมเช่นกัน



    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงเรียกเข้า, แวบแรกผมนึกถึงยูตะ แต่ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจหรืออะไรกับผมมากจนจะโทรตามผมให้ไปงานเลี้ยงบ้าบอนั่น ผมเอี้ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์ที่ผมชาร์จไฟเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะออกไปด้านนอก ไม่ทันที่ปลายนิ้วของผมจะกดรับสายที่พิมพ์ชื่อเอาไว้ว่า พ่อ ปลายสายก็ตัดไปเสียก่อน



    ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีขึ้นปรากฎสายที่ไม่ได้รับ ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาเมื่อครู่นี้ ผมตัดสินใจปลดล็อคหน้าจอก่อนที่จะโทรกลับหาพ่อ ไม่นานนักอีกฝ่ายจึงรับสาย ผมเงียบ รอให้พ่อพูด แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นเดียวกับผม มันเลยกลายเป็นการพูดคุยด้วยความเงียบโดยปริยาย



    “จะกลับบ้านไหม” ในที่สุดพ่อก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำถามก่อน

    “...” ผมนิ่ง เงียบ และคิด “กลับครับ”



    บทสนธนาของพวกเราง่ายๆและเป็นเช่นนั้น แต่ผมไม่คิดว่าพ่อต้องการให้ผมกลับไปหาจริงๆหรอก เขาก็แค่อยากได้แรงงานคนไปจัดเตรียมของไหว้บรรพบุรุษในช่วงวันหยุดยาวนี้เท่านั้น และผมเองก็ไม่ได้อยากกลับไปหาพ่อมากเท่าที่หน้าที่ของลูกชายคนเดียวต้องทำ



    ผมคิด พยายามหาข้ออ้างในการกลับไปให้ตัวเอง

    และบทสรุปก็คือ การไหว้บรรพบุรุษ บางทีผมอาจจะต้องกลับไปทักทายพวกท่านบ้าง และคงต้องบอกว่าผมอาจจะไปหาพวกท่านเร็วหน่อย โลกหลังความตายคงน่าเบื่อน่าดูถ้ามีแต่คนแก่ๆกันทั้งนั้น ผมคงเป็นตัวสร้างความสนุกได้ไม่มากก็น้อยในโลกของพวกท่าน






    ผมก้าวขาลงจากรถทัวร์ที่กินเวลาไปเกือบครึ่งค่อนวันเพื่อจะพาผมกลับมาบ้านเกิด อากาศเย็นๆของสายลมที่พัดผ่านทำให้ผมรู้สึกว่าผมเดินอยู่ในห้องแอร์ขนาดใหญ่ไร้หลังคา แสงแดดจ้าๆของพระอาทิตย์นั่นไม่ได้สร้างความอบอุ่นให้แก่ผมเท่าไร ผมกระชับฮู้ด, รู้สึกขอบคุณเจ้าวอล์คกี้แมนตัวนี้ที่ทำให้ผมผ่านช่วงเวลาอันน่าเบื่อบนรถทัวร์มาได้ ทั้งเสียงของเด็กเล็กๆที่เอ่ยถามสิ่งของรอบตัวอยู่ตลอดเวลา



    เหม่อมองสภาพบ้านเกิดที่เปลี่ยนไปไม่มากนัก แต่ก็มากพอให้ผมสังเกตุเห็น ผมเดินข้ามไปอีกฝั่งเพื่อที่จะนั่งแท็กซี่กลับเข้าบ้าน - บอกปลายทางให้คนขับ, เอาหัวพิงกระจก, ทอดสายตามองวิวทิวทัศน์ของบรรยากาศรอบข้างที่เปลี่ยนไปตามระยะเคลื่อนตัวของรถยนต์, โสตประสาทของผมได้ยินแต่เสียงเพลงจากวอล์คกี้แมน จังหวะช้าๆเนิบๆนี้ผ่อนคลายหัวใจของผมที่กำลังบีบรัดได้เป็นอย่างดี



    ไม่นานนักรถก็หยุดลง ตรงหน้าตึกที่ผมคุ้นเคย อาจจะดูแปลกตาไปนิดที่ตัวอักษรเหล่านั้นได้เปลี่ยนสีเข้าเสียแล้ว - ผมรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นเร็วและบีบรัดหนักขึ้นเมื่อปลายเท้าของผมมายืนอยู่ตรงหน้าตึกหกชั้น ผมสูดลมหายใจก่อนที่จะผ่อนคลายออกมาเพื่อให้อาการนี้หายไป



    ผมเดินตรงไปที่ห้องใหญ่ชั้นล่างสุดของตึก ห้องที่พ่อของผมนอน ใช้ชีวิตอยู่ และเรียกมันว่าบ้านหลังที่สอง แต่ผมกลับไม่เห็นร่างผอมๆนั่น ทำให้ผมเดินลากกระเป๋ามาตรงด้านหลังของตึก ก่อนที่จะพบสิ่งก่อสร้างหลังที่ผมคุ้นตา ผมเดินตรงเข้าไปในสิ่งที่พ่อเรียกมันว่าบ้าน และผมก็เรียกมันว่าบ้าน



    “กลับมาแล้วครับ”

    ผมเอ่ยพูดอย่างชินปาก ไม่ได้หวังให้มีเสียงใดมาขานรับหรือตอบกลับ แต่เสียงของพ่อทำให้ผมชะงักและผมไม่สามารถหาประโยคไหนจากเท็กบุ๊คเกี่ยวกับกล้ามเนื้อของผมที่มันไม่ขยับขึ้นมากะทันหัน ผมรู้ว่ามันมีคำอธิบายอยู่ในนั้นอย่างแน่นอนถึงอาการเหล่านี้ แต่ผมนึกไม่ออก ขาของผมมันไม่ขยับ ฝ่ามือชื้นแฉะไปด้วยเหงื่อชุ่ม ผมกัดริมฝีปากของตัวเอง พยายามกลั้นหายใจเผื่อว่าถ้ามีคนเดินผ่านมาแล้วจะมองไม่เห็นผม



    “....”

    “....”

    เป็นร่างของชายแก่วัยห้าสิบปีเศษ ชายรูปร่างผอมแกร็น ผิวสีแทนอ่อนจากการตากแดดทำงานด้านนอกนั่น ผมเห็นว่าพ่อมองมาทางผม แต่ผมไม่กล้าที่จะแม้แต่สบตาเขากลับไป ผมแค่แสร้งทำเป็นเหมือนว่ามอง แต่ภาพโฟกัสของผมมันจดจ่ออยู่ที่ประตูหลังบ้านตังหาก



    พ่อไม่ได้เอ่ยคำทักทายให้กับผม และผมก็ไม่รู้ว่าเขาส่งสายตาแบบไหนมาให้ อาจจะเป็นสมเพช หรือ เบื่อหน่าย “ดูสิ เด็กสมัยนี้ คิดว่าฆ่าตัวตายแล้วอะไรๆจะดีขึ้นรึไง มีแต่สร้างปัญหา”



    ผมเงยหน้าขึ้นมองพ่อที่ยืนพูดคุยคนเดียวกับโทรทัศน์ ร่างของลูกพี่ลูกน้องที่มัวแต่เล่นเกมในคอมพิวเตอร์อย่างไม่สนใจอะไรถัดออกไปตรงริมกำแพงห้องรับแขก - เป็นข่าวของเด็กมัธยมปลายที่ไม่สามารถสอบติดมหาลัยตามที่ตัวเองต้องการได้ ผมรู้สึกเหมือนว่าได้ยินเสียงหัวเราะของตัวเองอยู่ข้างใน เธอตัดสินใจกระโดดตึกลงมาจากชั้นบนสุดของคอนโด ผมมั่นใจว่านั่นต้องเจ็บแน่ๆ



    “เพราะคนที่ฆ่าตัวตาย เขาไม่ได้ขี้ขลาด เขาแค่อยากจะมีความสุข”

    ผมได้แต่คิดเช่นนั้น และไม่ได้เอ่ยตอบพ่อไป,



    ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงกว้างที่นุ่มและอบอุ่นเช่นเคย ผมคว้าหมอนบนหัวเตียงมากอด กลิ่นหอมของมันยังคงอยู่ ซบหน้าลงกับหมอนใบนั้นพร้อมกับสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด หรือบางที สิ่งนี้คือบ้านที่ผมตามหา เตียงนอนที่หนานุ่มและอบอุ่น หาใช่เตียงแข็งๆที่ผมใช้พักพิงที่เมืองหลวงอยู่ทุกค่ำคืน



    ผมพลิกตัวก่อนที่จะวาดวงแขนทิ้งน้ำหนักลงบนอีกฝั่งของเตียง เหม่อมองไปสุดสายตา เป็นเพดานสีขาวที่ว่างเปล่า ไม่มีดวงดาวคอยเรืองแสงที่ผมคุ้นชิน แปลกที่ผมรู้สึกคิดถึงดวงดาวพวกนั้นขึ้นมาเล็กๆ แต่แล้วเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้รีบร้อนที่จะคว้ามันขึ้นมาดู แต่จั่วหัวตรงแจ้งเตือนทำให้ผมต้องปลดล็อคโทรศัพท์ออก



    “ผมยินดี และรอคอยถึงการมาของคุณ ได้โปรดบอกไฟล์ทบินของคุณและช่วงเวลาที่คุณจะมาถึง ผมจะไปคอยรับ และหวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ที่นี้, ชิคาโก พวกเรารอคุณอยู่”


    hope to see you soon!

    J,



    เป็นข้อความสั้นๆของโฮสต์จากแอปสีส้มขาวของคนงบน้อย อันที่จริงผมไม่อยากที่จะต้องไปอยู่หรือพักอาศัยกับใครในช่วงเวลาที่ผมจะเดินทางตามแผนทริปหนึ่งเดือนก่อนชีวิตของผมจะจบลง แต่เป็นเพราะว่าโรงแรมสุดท้ายที่ผมจองไปสำหรับแผนฆ่าตัวตายนั้นแพงมากเสียจนผมไม่คิดว่าเงินที่เหลืออยู่นั้นจะเพียงพอต่อการใช้ชีวิตอย่างอื่น


    สุดท้ายก็เลยต้องมาขอพึ่งพาแอปสีส้มขาวนี้ ทำให้ผมได้เจอโฮสต์ชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ในชิคาโก ผมยินดีที่จะไปนอนบนโซฟาในบ้านหรือห้องพักเล็กๆของเขาแบบฟรีๆ - คว้าตั๋วเครื่องบินใบเดิมขึ้นมาดูอีกครั้ง ผมพร้อมแล้ว, พร้อมที่จะจากความกังวล ความวุ่นวายนี้ไป



    ตั๋วเครื่องบินโซล-ชิคาโก

    ผมหวังว่ามันจะทำให้ช่วงชีวิตสุดท้ายของผมดีขึ้นกว่าที่ผมเป็น


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in