ย้อนสำรวจตัวเองว่าฉันสนใจการเมืองครั้งแรกๆเลยตั้งแต่ตอนไหนนะ ? อ่อ คงเป็นเพราะที่บ้านชอบเปิดดูทีวีดูข่าว ฉันมักจะได้ดูข่าวเสมอทั้งๆที่ฉันอยากดูรายการการ์ตูนที่มันน่าจะบันเทิงตัวฉัน แต่ด้วยทั้งบ้านมีเพียงเครื่องเดียว โอเค เราดูข่าวก็ได้ ข่าวในต่างประเทศฉันเห็นหน้าของลุงแม้วพูดอะไรซักอย่าง หลังรายการสะเก็ดข่าว ช่องมากสี ฉันมักจะเห็นหน้าลุงคนนี้ตลอดเลย ถ้าข่าวต่างประเทศ ข่วงนั้นฉันเห็นหน้าจอร์จ บุช กับข่าวบุกอิรัก ตอนนั้นฉันก็เดียงสาเข้าใจว่าอเมริกันเป็นพระเอก ไปปราบผู้ก่อการร้ายอีกทวีปนึงในฐานะที่โต คือมองอะไรเป็น ขั้ว-ขั้ว พระเอก-ผู้ร้ายชัดเจนมาก มาฉันจึงเข้าใจว่าระเบียบโลก ความบอบช้ำจากโลกของปลาใหญ่กินปลาเล็ก การช่วงชิงอำนาจ มันซับซ้อนกว่านั้นมากกว่าที่จะมามองว่าใครเป็นพระเอก-ผู้ร้าย
การเมือง ควรจะมองให้ขาดกว่าการมองแบบมายาคติใครคือ พระเอก-ตัวร้าย
แต่เมื่อฉันยังเดียงสานัก ฉันจะไปรู้อะไรอะเนอะ ช่วงเวลายามนั้นฉันก็ติดใจวิชาประวัติศาสตร์ สังคม ชอบอ่านชีวประวัติคนดังระดับโลก นักวิทย์ หรือ เซเลบด้านสังคมตามการ์ตูนสีๆหน่อยๆ ฉันอึ้งกับความพยายามของมนุษย์ในกงล้อประวัติศาสตร์มากๆ แต่ละคนแต่ละทวีป ไทม์ไลน์ตั้งแต่สมัยโบราณจนมาถึงปัจจุบัน โลกของเราผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแค่ไหน เกิดเหตุการณ์สำคัญ ปฏิวัติทางความคิด ปฏิวัติวิทย์ การเมืองระดับโลกที่ใครจะอยู่จะไปก็สงคราม ไหนจะน้ำตาของสามัญชนที่พ่ายแพ้ต่อชนชั้นนำ ความรู้พวกนี้ต้องขอบคุณตัวเองที่วันนั้นตัดสินใจเริ่มอ่านหนังสือ 9 บาท คือ ความรู้พวกนี้นี่แหละต่อยอดการสนใจการเมืองของฉันไปด้วย แต่กว่าจะสั่งสมกว่าจะรู้ก็ใช้เวลานานอยู่นะ ก็ยังคงอ่อนด้อยนักในตอนนั้น ฉันก็ได้แต่นั่งฟังพวกผู้ใหญ่ในบ้านพูดคุย มุบมิบถึงการเมืองมาบ้าง
เมื่อชั้นอยู่ประถมปลายมั้ง 19 กันยายน 2549 เกิดรัฐประหารในเมืองไทย เอาตามความทรงจำของเด็กคนนึงไม่รู้ว่าเหตุการณ์พวกนี้มันคืออะไร มันสำคัญยังไงต่อพัฒนาการทางการเมืองของไทย
ฉันก็รู้แต่ว่า โรงเรียนประกาศหยุดกะทันหัน ทีวีก็มีแต่รายการอะไรไม่รู้ ฉายซ้ำๆเดิมๆ ข่าวลุงแม้วอยู่ ตปท ข่าวคณะทหารในไทย
ที่บ้านฉันก็พูดคุยกันให้แซ่ดเลย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จับใจความได้ประมาณว่า มีการพยายามล้างกระดานการเมืองไทยอีกแล้ว ก่อนหน้านั้นมีม็อบเกิดขึ้นเขาบอกว่านายกฯอย่างนั้นอย่างนี้ หลังจาก รปห.2549 ฉันก็มักเห็นชุมนุมของประชาชนเติบโตขึ้นมาก การแยกออกเป็นสองของคนไทยเริ่มชัดขึ้น วาทกรรมหักล้างกันชัดเจน รวมไปถึงวาทกรรมที่เทสาดเสียกันอย่างอันตรายมากๆก็มี ท้ายที่สุดแล้ว ภาพที่ฉันเห็นชัดเจนขึ้นคือ คนธรรมดา สามัญชน อยู่ยากขึ้นอีกแล้ว ตัวใหญ่ชนกัน คนตัวเล็กตัวน้อยอยู่ที่เดิม
พูดตามตรงนะ การศึกษาในโรงเรียนไทยวิชาสังคมแทบไม่มีใครที่ไหนอยากจะแตะเรื่องแบบนี้ ทั้งๆที่มันโคตรจะสำคัญ หรือไม่ก็พยายามบอกเด็กๆว่า การเมืองเรื่องผู้ใหญ่ เด็กจะไปยุ่งทำไม ใครก็ตามที่มาสนใจเรื่องทำนองนี้เข้าก็จะโดนตราหน้าว่า หัวดื้อซะเหลือเกิน
ถ้าหากเรากลับไปหา ปวศ การเมืองไทยอ่านนะ เราจะเห็นว่า การเมืองไทยรัฐประหารบ่อยมากกกก เสถียรภาพของรัฐบาลน้อย การมีส่วนร่วมของประชาชนก็น้อยนิดเสียกระไร จริงๆมีนะ แต่มีแล้วถูกทำให้สลายง่ายมาก
ถ้าถามว่ารสนิยมทางการเมืองเราคืออะไร เราสนใจว่าคนสามัญชนตัวเล็กตัวน้อยพอจะมีความหวังจะเท่ากันกับคนตัวใหญ่บ้างได้ไหม [คำตอบก็รู้อยู่แก่ใจว่า ยากกก] ถ้าเอาตามนิยามคลาสิคของ Lasswell ที่บอกว่า การเมืองคือ เรื่องของใครจะทำอะไร ได้มายังไง การจัดสรรอำนาจ ถ้าเป็นอย่างนั้น ขอได้ไหมขอให้สามัญชน คนธรรมดาตัวเล็กตัวน้อย มีปากมีเสียงกับเขาบ้างเถอะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in