ทริปนี้มันเริ่มมาจากที่เย็นวันนึงเพื่อนเราทักมาถามว่า ไปเที่ยวกันมั้ย และกว่าจะรู้ตัวอีกทีเราก็กดจองตั๋ว ก่อนที่จะเข้าช่วงอ่านหนังสือสอบไฟนอลอีก
หลังจากที่คุย ๆ กันแล้วก็สรุปกันได้ว่า เราจะไปเที่ยวตรังกัน และใช่ค่ะ ไปใต้หน้าฝน... ช่างเป็นการไปเที่ยวที่ท้าทายสภาพอากาศกันมาก เราล็อกวันไปเที่ยวกันคือ วันที่ 10 - 13 มิถุนายน เป็นทริปแบบ 4 วัน 2 คืน
ขาไปจองตั๋วรถไฟไปกัน เพื่อนที่เหลือเลือกจองตั๋วแบบนอน โดยที่เรากับเพื่อนอีกคนขอสมมติว่าชื่อกระต่าย เลือกจองตั๋วแบบนั่งแอร์คนละ 661 บาท เหตุผลเพราะมันถูกกว่านั่นแหละค่ะ ส่วนขากลับเราจองตั๋วเครื่องบินกัน โชคดีที่ช่วงนั้นนกแอร์มีโปรออกมาพอดีโดนค่าเสียหายไปอีกคนละ 758 บาท ถึงเราจะเจ็บใจมากที่จองได้ตั๋วราคาแพงกว่าโปรที่เห็นในเว็บมาสองร้อย และเพื่อนก็ซื้อน้ำหนักไว้โหลดกระเป๋าเพิ่มแล้วหารกันอีกคนละ 67 บาท เพื่อที่จะได้ขนของกลับมาได้ โดยที่มีผู้ร่วมทริปไปใต้หน้าฝนนี้ทั้งหมดเจ็ดคน
Day 1
ฝนตกตั้งแต่ยังไม่ทันได้แบกกระเป๋าออกจากบ้านและเราต้องมาขึ้นรถที่มอกว่าจะถึงก็เลยเละนิดนึง โชคดีที่พี่ชายของเพื่อนมาส่งพวกเราที่สถานีรถไฟกัน แล้วก่อนขึ้นรถไฟก็ไปซื้อขนมปังขึ้นไปกินตอนดึก ๆ เพราะรถไฟออกเที่ยวห้าโมงกว่า แต่พอเอาเข้าจริง ๆ พอใกล้จะถึงเวลาแล้วดีเลย์ไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง สุดยอดไปเลย
Day 2
ประมาณ 9 โมงกว่าของวันต่อมาเรามาถึงสถานีตรัง นาทีนั้นคือทุกคนหิวกันมากกก แต่ก่อนอื่นคือเราต้องเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โฮสเทลที่จองกันไว้ก่อน (เช็คอินได้ตอนบ่ายสอง) ก่อนที่จะมาช่วงแพลนกันเราได้ถามทางที่พักแล้วว่าอยู่ไกลจากสถานีรถไฟมากมั้ย ทางที่พักบอกมาว่า ใกล้เดินมาได้เลย อะ ทีนี้พอเราจะไปที่พักกันเลยเปิด GPS แล้วเดินออกมานิดนึงก็รู้สึกว่า เฮ้ย ไม่ใช่ละ เลยโทรไปหาพี่ที่โฮสเทล เค้าก็บอกทางมาละเอียดดีไม่ซับซ้อนมาก แต่ประเด็นคือทางที่บอกมานี่มันเลี้ยวคนละทางกันใน GPS เลยนะคะ...
โดยที่พักที่เราจองไว้ชื่อว่า A Local Something Hostel เป็นตึกอาคาร 1 คูหา ที่มองจากข้างนอกแล้วเหมือนเล็ก แต่ข้างในดูกว้ากว่าที่ตาเห็น เราโชคดีตรงที่ตอนจองมีโปรโมชันหน้าฝนของเดือนมิถุนายน เลยได้ที่พักมาในราคาคนละ 250 บาท และด้วยความที่เรามากัน 7 คนแล้วอยากนอนห้องเดียวกันหมดเพราะจะได้คุยกันได้ เลยได้ห้องนอนแบบ capsule ที่มี 10 เตียงมาและห้องนั้นทั้งห้องก็เป็นของพวกเรา ติดว่าคนอื่นอีก 3 เตียงคงไม่มีคนกล้าเข้ามานอนแจมด้วยแน่ ๆ 555555555555555555555555
เห็นรื้อของกันแบบนี้ แต่ก่อนออกไปข้างนอกก็เก็บโต๊ะคืนให้เรียบร้อยนะคะ
หลังจากนั้นก็ผลัดกันไปทำธุระส่วนตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตากันให้เรียบร้อย แล้วรอเพื่อนอีกหนึ่งคนที่จะตามมาจากหาดใหญ่ (นัดเจอกันที่ที่พักเลย) ระหว่างรอเพื่อนเราเลยไปถามพี่เค้าว่า แถวนี้มีร้านติ่มซำใกล้ ๆ บ้างมั้ย พี่เค้าตอบเราว่า ตอนนี้ร้านปิดหมดแล้วค่ะ ร้านติ่มซำเค้าจะขายกันแค่ถึงช่วง เช้า ๆ เลยคุยกับเพื่อนว่า งั้นค่อยตื่นไปกินตอนเช้าวันพรุ่งนี้แทนละกัน ส่วนตอนนี้เราต้องรีบหาข้าวกินเพราะเดี๋ยวจะขึ้นรถไฟไปสถานีกันตังไม่ทัน เพราะจะมีรถไฟไปแค่วันละเที่ยวเท่านั้น คือไปเที่ยวนึงกลับเที่ยวนึง แถมยังแค่แป๊บเดียวอีก อะ เราเลยหันไปถามพี่เค้าอีกทีว่า พี่คะ แถวนี้มีเซเว่นมั้ยคะ ใช่ค่ะ มื้อแรกของเราที่ตรังคืออาหารเซเว่นนั่นเอง
หลังจากซื้ออาหารเสร็จเราเลยมาซื้อตั๋วกัน โดยตั๋วรถไฟไปกันตังถ้านับแบบไปกลับตกคนละ 10 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ ๆ ชั่วโมง ระหว่างทางก็เม้าท์กันไปเรื่อย คือมีเรื่องให้คุยกันเยอะมาก เลยรู้สึกว่าแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว พอมาถึงกันตังก็มีพิพิธภัณฑ์นึงที่ตั้งใจจะไปถ่ายรูปกัน แต่พิพิธภัณฑ์ปิดวันจันทร์ และใช่ค่ะ วันน่ั้นคือวันจันทร์ แจ็คพอตมาก แล้วทีนี้ก็คิดหนักกันเลยค่ะว่าจะเอาไงกันต่อ ไปไหนดี เพราะที่ที่ตั้งใจจะไปก็ปิด แถมเท่าที่ถาม ๆ คนแถวนั้นดูก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ไป โห้ ตอนนั้นคือเคว้งมาก นั่งรถไฟมาตั้งชั่วโมง แล้วจะให้นั่งกลับเลยเหรอ พอดีตอนนั้นป้าที่เราซื้อไอติมด้วยก็บอกว่า งั้นเป็นไปนั่งรถเล่นแวะถ่ายรูปมั้ย เดี๋ยวให้ลุงพานั่งรถพ่วงข้างไป แล้วก็จ่ายเงินเป็นรายหัวแทน คนละ 25 บาท พอขึ้นรถกันปุ๊บเราเลยปล่อยให้ลุงคนขับรถแกนำเลย ลุงแกเลยพาขับรถวนดูรอบ พาไปตรงพิพิธภัณฑ์ที่ปิดแล้ว ที่เราเข้าไม่ได้นั่นแหละค่ะ 555555555555555555 แล้วก็พาแวะจอดถ่ายรูปอีกสองสามจุด แถมยังเป็นคนถ่ายรูปรวมให้อีกด้วยตอนที่เรากับเพื่อนอยากได้รูปหมู่กัน หลังจากนั้นก็วนกลับมาที่สถานีกันตังเพราะใกล้ถึงเวลาที่รถไฟต้องออกแล้ว และก่อนขึ้นไป มาถึงสถานีรถไปทั้งทีจะไม่มีรูปถ่ายกับรางรถไฟได้ยังไง เลยผลัดกันถ่ายอยู่พักนึงก่อนจะพากันขึ้นไปถ่ายรูปที่ถ่ายขบวนกันต่อ
หลังจากกลับเข้ามาในตัวเมืองแล้วเราเลยมาเดินหาร้านกินข้าวมื้อเที่ยงกัน และก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะวันจันทร์อีกรึเปล่าที่ทำให้หาร้านกินข้าวยาก เพราะเท่าที่ดู ๆ มาในเน็ตร้านเค้าจะเปิดเป็นเวลากันช่วงครึ่งเช้ากับช่วงเย็น ๆ ถึงดึก ช่วงกลางวันเลยจะลำบากกันหน่อย หลังจากที่สุ่ม ๆ เดินกันมาพักนึงก็มาเจอร้านอาหารร้านนึงที่ทีอาหารหลาย ๆ อย่างขายแล้วนั่งโต๊ะกินด้วยกัน
ร้านนี้อาหารอร่อยมาก มีให้เลือกเยอะ ราคาไม่แพง ที่สำคัญคือได้เร็วอีกต่างหาก
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็กลับมานอนเล่นกันที่ห้องพัก แล้วแพลนกันไว้ว่าอีกสักพักรอให้แดดเบากว่านี้ก่อน เราค่อยเดินออกไปถ่ายรูปเล่นแถวสตรีทอาร์ตกัน ต่อจากนี้จะเป็นการรีวิวที่นอน หลังจากที่ถึงเวลาที่เช็คอินได้แล้ว เราก็พากันแบกกระเป๋าขึ้นมาบนห้อง ตอนนี้ช่วงเวลาของการจองที่นอนก็เกิดขึ้น ชอบตรงไหนก็โยนกระเป๋าเข้าไปจองก่อนเลยค่ะ เพราะตัวยังเข้าไปไม่ถึงและด้วยความที่เตียงในห้องมันเยอะกว่าจำนวนคนเลยทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ ส่วนเราของเลือกนอนเตียงล่าง เราไม่ขอปีนอะไรทั้งนั้น
ขออนุญาตใช้รูปจากเพจ A Local Something Hostel
ขออนุญาตใช้รูปจากเพจ A Local Something Hostel
ถึงที่นอนเป็นแบบ capsule แต่ที่นี่เค้าทำเอาไว้ค่อนข้างกว้าง ห้องนอนสะอาดสะอ้านดี มีโคมไฟที่หัวเตียงทุกเตียง มีไม้แขวนเสื้อให้ ที่ขาดไม่ได้เลยคือมีปลั๊กไฟ อีกเหตุผลนึงที่เรากลับมานอนเล่นที่ห้องนอกจากแดดร้อนก็คือกลับมาชาร์จแบตนั่นเอง และที่สำคัญที่สุดเลยคือ ที่นอนนอนสบายมาก หมอนฟู ผ้าห่มนี่ประประใจสุดคือหนามาก ถ้าเทียบกับเวลาไปนอนโรงแรมที่อื่น แต่ที่ดีกว่าคือผ้าห่มเค้ามันไม่ได้หลุดแยกออกจากกัน เข้าใจป่ะอย่างบางที่เค้าจะเอาผ้าสีขาวคลุมผ้าหนา ๆ ข้างในอีกทีแล้วมันจะชอบหลุดแยกออกจากกัน แต่อันนี้เหมือนเค้าผูกเชือกเอาไว้แน่นแล้ว หลังจากที่ทุกคนได้นอนเล่นกันแล้วพอใกล้ ๆ ถึงเวลาที่อกไปเดินเล่นกันก็เริ่มที่จะไม่อยากออกไปกันละ แบบพอได้นั่งแล้วก็ไม่อยากลุก แถมข้างในห้องยังเย็นกว่าข้างนอกอีก แต่สุดท้ายทุกคนก็ตัดสินใจออกมาเดินถ่ายรูปกันข้างนอก
หลังจากที่เดินถ่ายรูปกันไปได้สักพักนึงฝนก็เริ่มลงเม็ด เราเลยพากันเดินกลับที่พัก แต่ระหว่างที่มันยังไม่ถึงที่พักฝนก็เริ่มลงเม็ดหหนักขึ้น จนต้องเดินไปเอากระเป๋าปิดกล้องไป กว่าจะเดินมาถึงที่พักก็จะเละนิดหน่อย เลยคุยกันว่าฝนตกแบบนี้คงออกไปกินข้าวเย็นกันไกลไม่ได้ เราเลยเสนอไปว่าชั้นดาดฟ้าของโฮสเทลเค้ามีร้านอาหารนะเปิดช่วง 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน เลยตกลงกันว่างั้นวันนี้กินที่นี่แหละ ร้านข้างบนมีีชื่อร้านว่า Hidden Something A rooftop bar & bistro คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แขกที่มาพักก็สามารถขึ้นมากินได้แบบร้านอาหารทั่วไป เท่าที่สังเกตจากการเดินเล่นในเมือง ในตรังมีร้าน craft beer ค่อนข้างเยอะหาง่ายกว่าเซเว่นในเมืองอีกอะคิดดู เมนูอาหารที่ร้านมีให้เลือกหลายอย่าง แต่เมนูเครื่องดื่มก็ไม่แพ้กัน คิดดูซิว่าจะมีร้านไหนที่เมนูอาหารเท่า ๆ กันกับเครื่องดื่ม
ขออนุญาตใช้รูปของ @smashrun
ขออนุญาตใช้รูปของ @smashrun
อันนี้ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นยำสามกรอบ
ต้มแซ่บซี่โครงหมูพริกเขียว อันนี้อร่อยแต่สำหรับคนกินเผ็ดไม่ค่อยได้เราว่าเผ็ดและน้ำซุปแห้งมาก อันนี้กะสั่งมาซดน้ำกันเลยเซ็งนิดนึง
ซี่โครงหมูทอดกระเทียม
โดยมื้อนี้เราโดนค่าเสียหายกันไปคนละ 183 บาท หลังจากได้เสียเงินกันแล้วก็ลงมานอนเล่นที่ห้องกันบางส่วนแยกไปอาบน้ำ บางส่วนแยกไปเซเว่นรอบดึก โดยพรุ่งนี้เช้าเรามีแผนจะไปกินติ่มซำกันตามที่ตั้งใจกันเอาไว้
Day 3
และวันนี้เราก็ตื่นมาทันไปกินติ่มซำกัน หลังจากที่หาชื่อร้านกันไว้คร่าว ๆ แล้วเราก็ลงไปถามพี่ข้างล่างกันว่าร้านนี้เดินไปไกลมั้ย แล้วเราก็เดินไปกินมื้อเช้ากันด้วย GPS เหมือนเดิมค่ะ ร้านที่เรามากินวันนี้ชื่อร้าน เลตรัง 2 คือนอกจากจะขายติ่มซำแล้วร้านยังมีเมนูอาหารเช้าอย่างอื่นให้สั่งได้ด้วย
ติ่มซำจะมีตั้งแต่ราคาแข่งละ 20 - 30 บาทโดยถ้าเราจะสั่งเราก็เดินออกมาเลือกตรงโซนติ่มซำได้เลย เค้าจะเอาไปนิ่งตรงนั้นให้ เราแค่บอกเลขโต๊ะไปเค้าก็จะยกมาเสิร์ฟ สำหรับติ่มซำนี่ได้กินจนสมใจอยากเลยค่ะ หยิบกันมัน ตอนหยิบนี่ก็ต่างคนต่างหยิบ พอเค้ายกมาเสิร์ฟที่โต๊ะก็ตกใจเพราะเยอะมาก รวม ๆ แล้วก็เกือบ 40 แข่ง ประทับใจที่สุดคือฮะเก๋า ด้วยความที่เป็นคนชอบกินแป้งอยู่แล้ว ดถมอันนี้แป้งบางนุ่มมาก ออกเหนียว ๆ นิดนึง แถมใส่ข้างในนี่กัดไปเจอกุ้งเต็ม ๆ โหยยย ไม่รู้จะพูดยังไง แต่อร่อยจริง ๆ ชอบที่ร้านเค้ามีน้ำชาร้อน ๆ ให้ เอาไว้กินล้างปากแก้เลี่ยนกัน แถมยังเติมได้เรื่อย ๆ อีกและค่าเสียหายของมื้อนี้เราก็โดนไปอีกกันคนละ 148 บาท หลังจากกินอิ่มกันแล้วก็พากันเดินกลับที่พักแต่เพื่อนบอกว่าแถวนี้ยังมีสตรีทอาร์ตอีกที่จะเดินย่อยแวะถ่ายรูปกันก่อนมั้ย ทุกคนก็เลยไปกัน
หลังจากนั้นเราก็มาเช็คเอ้าท์ที่โฮสเทลแล้วขอเบอร์กับทางที่พักโทรเรียกลุงที่ขับรถกบมารับอีกคนละ 60 บาท เพราะก่อนจะไปเที่ยวกันต่อเราต้องเอากระเป๋าไปเก็บที่ใหม่กันก่อนและที่พักอีกที่ค่อนข้างอยู่ห่างจากที่เดิมเยอะมาก ไม่ได้ใจกลางเมืองเหมือนเดิม ที่พักคืนที่สองของเราคือ The Three Sleep | Space ที่นี่ค่อนข้างมีบริเวณมากกว่าที่ที่เราพักกันคืนแรก ตกแต่งโทนขาวดำกับปูนเปลือยขัดมัน โดยค่าที่พักที่นี่คนละ 300 บาท มีน้ำส้ม นม คอร์นเฟลกส์ แล้วก็พวกชากาแฟโอวัลตินตรงโซนครัวส่วนกลางให้ออกมากินกันได้เผื่อดึก ๆ มีคนหิวล็อบบี้
ขออนุญาตใช้รูปจากเพจ The Three Sleep | Space
และก็เหมือนเดิมเลยคือเราจะเช็คอินได้บ่าย 2 เราเลยเอากระเป๋าฝากไว้ที่ล็อบบี้แล้วก็นั่งรถกบ ที่บอกให้ลุงเค้าจอดรออยู่มาส่งที่บขส. เพื่อที่จะขึ้นรถตู้ไปที่ปากเมงและค่ารถตู้ไปกลับอีกคนละ 100 บาท นั่งรถตู้ไปประมาณ 1 ชั่วโมง พอมาถึงปุ๊บก็พุ่งลงไปร้านข้าวแถวนั่นกันเลย แถมยังไม่ได้ถ่ายเอารูเอาไว้อีกเพราะร้านค่อนข้างมืดแถมยังรีบกิน เพื่อที่จะได้ไปถ่ายรูปที่ทะเลกันไว ๆ และสำหรับมื้อเที่ยงของวันนี้หารค่าอาหารกันออกมาเหลือคนละ 113 บาท พอเดินออกจากร้านมาแค่ข้ามถนนก็ถึงหาดพอดีเลย
หลังจากถ่ายรูปเล่นกันอยู่พักใหญ่ ๆ เราก็ตกลงกันว่าจะเดินตามหาดกลับไปที่คิวขึ้นรถตู้เข้าเมือง ฟังดูเหมือนจะชิล แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วคือไกลมาก 5555555555555555555 ด้วยความที่ตอนมานั่งรถตู้มาลง แต่ขากลับเราต้องเดิน สภาพตอนนั้นคือเพลียมาก แถมง่วงอีกต่างหากอยากจะเดินไปขึ้นรถเร็ว ๆ ใช้เวลาเดินมาประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะเดิน ๆ หยุด ๆ ถ่ายรูปกันไปตลอดทาง และพอขึ้นรถตู้ปุ๊บก็สลบกันยาวจนถึงตัวเมืองตรังเลย
แต่ก็นั่นแหละค่ะ เมื่อกี้ง่วงมากเพลียมาก แต่พอมาถึงที่พักแล้วดันไม่ง่วงซะงั้น เรากับเพื่อนบางส่วนเลยมานั่งกิน นั่งเล่นบอร์ดเกมตรง co-working space ที่เป็นของทางที่พักเหมือนกัน แต่ก็มีบางส่วนแยกไปนอน ก็เลยนัดกันว่าเดี๋ยวช่วงเย็น ๆ ค่อยเดินออกไปหาอะไรกินที่ตลาดชินตาละกัน พูดถึงตลาดชินตาก็จะเหมือน night market ที่มีของกินเยอะ ๆ เหมือนกับที่หลาย ๆ จังหวัดมีเอาไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวนั่นแหละ แต่ของที่นี่จะหนักไปทางของกินซะส่วนใหญ่ แล้วบังเอิญตอนที่เราออกไปกัน ฝนดันตกปรอย ๆ ร้านขายอาหารเลยเปิดไม่ค่อยเยอะ นี่เป็นเรื่องที่เศร้ามาก เป็นการเดินหาของกินที่ต้องกางร่มไปด้วย คนก็จะเดินสวนกัน ร่มจะทิ่มตากันอยู่แล้ว
และด้วยความที่มีฝนตอนมาเดินตลาดเลยไม่ได้ถ่ายรูป เพราะมัวแต่เอากระเป๋าบังกล้องอยู่ แต่อาหารมีให้เลือกเยอะนะ ขอรีวิว BBQ ร้านนึงอร่อยมากกกก หมูนี่คือนุ่มมาก แบบแกเราประทับใจมากเว้ย นี่คือส่วนที่ดีที่สุดของวันนี้เลยเอา ไม่ได้อะ เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ หลังจากกินมื้อเย็นกันแบบชุดใหญ่ไปแล้วก็พากันเดินกลับที่พัก แต่ขากลับมีความรู้สึกว่าระยะทางมันใกล้กว่าขามาเยอะมากเลย
กลับมาถึงที่พักพี่ที่ล็อบบี้เค้าก็ขนกระเป๋าเอาเข้าไปไว้ในห้องให้เราเรียบร้อยหมดแล้ว ก็เลยเข้าไปเลือกกันว่าใครจะนอนตรงไหนอะไรยังไง และด้วยความที่ห้องนี้เป็นห้องแบบ 8 เตียงและเค้าจัดเตียงเป็นเตียงสองชั้นต่อกันแบบมุมฉากด้านละ 4 เตียงหันหลังชนกันและมีที่กั้นบังเอาไว้ ทำให้มันเหมือนโดนแบ่งโซน สรุปก็คือมันขัดขวางการคุย การเล่นกันกันรอบดึกของเรานั่นเอง
ขออนุญาตใช้รูปจากเพจ The Three Sleep | Space
และวิธีการแก้ปัญหาก็ง่ายนิดเดียวค่ะ คือเราเลือกนอนกันแค่ฝั่งเดียว (อีกฝั่งนึงที่หันหลังชนกับในรูป) และลากฟูกจากที่ฝั่งนึงมาวางตรงพื้นที่วางที่เหลือเพื่อที่จะได้เล่นกันได้ 555555555555555555 หลังจากที่จัดการที่นอนกันเรียบร้อยบางส่วนก็นอนเล่น บางส่วนก็ทยอยกันไปอาบน้ำ ห้องน้ำของที่นี่มีห้องเยอะกว่าคืนแรกที่เราไปพักทำให้แยกกันไปอาบน้ำได้ทีละเยอะขึ้น และที่สะคัญคือประทับใจกระจกตรงอ่างล้างหน้ามาก คือตรงกระจกจะมีหลอดไฟอยู่รอบ ๆ เป็นกระจกที่ส่องแล้วจะรู้สึกดูดีกว่าตัวจริงอยู่หลายเท่า
ขออนุญาตใช้รูปจากเพจ The Three Sleep | Space
และกิจกรรมยามดึกของเราก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากการนั่งเล่นชาเย็นกัน ใช่ค่ะ ที่เราลงทุนลากฟูกจากอีกฝั่งนึกของห้องแล้วมานอนรวมกันเพื่อที่จะได้เล่นชาเย็นกันได้นั่นเอง...
และด้วยความที่เล่นกันเม้าท์กันอยู่หลายคนและวิดีโอคอลกับเพื่อนที่ไม่ได้มาด้วยไปพร้อม ๆ กัน จนเพื่อนคนนั้นทักว่า พวกแกนั่งเล่นกันในห้องดูสนุกกว่าออกไปเที่ยวข้างนอกมาอีก 5555555555555 หลังจากที่คุยกันจนดึกดื่นค่อนคืนก็แยกย้ายกันนอน เพราะพรุ่งนี้เราต้องรีบตื่นไปเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักและโทรเรียกลุงเจ้าของรถกบเจ้าเดิมมารับไปส่งที่สนามบินตรัง
พอจัดการอะไรกันเรียบร้อยแล้ว ลุงรถกบก็มารับเราไปส่งที่สนามบินโดยเป็นค่ารถกันคนละ 50 บาท ระยะทางจากที่พักไปสนามบินไกลกว่าที่คิดไว้พอสมควร เพราะเรานั่งรถออกนอกเมืองกันมาเรื่อย ๆ เลย
พอถึงสนามบินหลังจากโหลดกระเป๋าอะไรกันเรียบร้อยแล้วเพื่อนเราก็นึกขึ้นได้ว่า ยังไม่ได้ซื้อโปสการ์ดเลย คือทุกทีเวลาเพื่อนไปเที่ยวที่ไหนก็จะซื้อโปสการ์ดแล้วเขียนส่งกลับมาหาตัวเองที่บ้านตลอด และด้วยความที่แถวนั้นไม่มีโปสการ์ดขาย เราเลยนึกขึ้นได้ว่า ที่ A Local (ที่พักคืนแรก) มีโปสการ์ดขายนะ ลองทักไปถามในเพจให้พี่เค้าเขียนส่งมาให้ดูมั้ย คืองี้ค่ะ ช่วงที่เราติดต่อจองห้องพักเนี่ย เราก็ถามนู้นถามนี่แอดมิดเพจเค้าไปเยอะ พี่เค้าก็ตอบตลอด พูดจาดี แถมตอบเร็วอีกต่างหาก คราวนี้เราก็เลยลองถามดูปรากฏว่า พี่เค้าตอบมาว่า ได้เลย ให้เราโอนค่าโปสการ์ดค่าส่งไปแล้วบอกชื่อที่อยู่พี่เค้าไปได้เลย
พอใกล้ขึ้นเครื่องผู้โดยสารคนอื่นเริ่มทยอยเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนเราก็สงสัยว่า มีคนอื่นเค้ามาเที่ยวพร้อม ๆ พวกเราด้วยเหรอวะ อะ ถ้าถามว่าทำไมสังสัยแบบนี้ ก็เพราะช่วงที่เราเที่ยวกันเนี่ย แทบไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย คือเงียบมากกกกก เงียบจนหาดที่เราไปกันวันก่อนแทบจะเป็นหาดส่วนตัว เงียบขนาดที่ถ่ายรูปบนร้านอาหารบนดาดฟ้าแล้วตึกอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ คือปิดไฟกันไปหมดแล้วทั้ง ๆ ที่พึ่งจะหัวค่ำ ตอนนั้นคืองงมากว่าคนเค้าไปไหนกันหมด
ขออนุญาตแปะวิดีโอไว้ให้ดูกันนนน
สุดท้ายนี้ขอสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดทริป 4 วัน 2 คืนนี้ แบบรวบเป็นวัน ๆ โดยที่เราตั้งงบเอาไว้ก่อนมาแล้วว่าไม่เกิน 3500 บาท แล้วขอบคุณมากที่ไม่เกิน ถึงจะเกือบก็ตาม...
ค่าตั๋วรถไฟ - 661 บาท
ค่าตั๋วเครื่องบิน - 758 บาท
ค่าหารที่โหลดกระเป๋า - 67 บาท
ค่าที่พัก 2 คืน - 550 บาท
รวมแล้วคือ 2036 บาท
ค่ากินในแต่ละวัน
Day 1 - 129 บาท
Day 2 - 350 บาท
Day 3 - 571 บาท
Day 4 - 372 บาท
รวมแล้วคือ 1422 บาท
Total : 3458 บาท
Status : ไม่เกินงบที่ตั้งไว้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in