ทุกคนคงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆก็ตาม แต่ในสุดท้ายแล้วเมื่อเราต่อสู้และฝ่าฟัน ปลายทางของความยากลำบากเหล่านั้นอาจจะเป็น 'ความสุขที่แท้จริง'
แม้ไม่สามารถการันตีว่าปลายทางจะเป็นอย่างที่เราต้องการ แต่ความสุขก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาที่ปลายทางที่เดียวเท่านั้น มันอาจจะเกิดขึ้นที่ต้นทางหรือระหว่างทางก็ได้ อยู่ที่นิยามที่เราให้กับมัน
พูดมาซะยืดยาว จริงๆแล้วเรื่องราวในบทนี้จะพูดถึงความลำบากของคนที่ยอมสละหลายๆสิ่งเพื่อสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง และคนๆนั้นอาจจะเป็นใครก็ได้ เป็นคนที่รักใครซักคนอย่างสุดใจ พ่อแม่ของผมพ่อแม่ของพวกคุณ หรือตัวคุณเอง
ผมเลยจะใช้พื้นที่นี้เล่าเรื่องร่าวต่างๆ ที่เป็นอดีตที่ผมไม่เคยเจอ แต่คนที่มาก่อนหน้าผมนั้นประสพสำหรับคนที่อ่าน ก็อยากจะให้คุณระลึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ไม่ใช่ของตัวคุณเองไปด้วยพ่อของผมเป็นเด็กต่างจังหวัด มีชีวิตวนเวียนอยู่แถวริมคลองดำเนินสะดวก เป็นพี่คนโต มีน้องอีกสองคน อากงทำสวนและเป็นคนขับเรือ ส่วนอาม่าเป็นช่างเสื้อ ชีวิตในวัยเด็กก็ค่อนข้างแตกต่างจากเด็กทั่วไป เพราะพอตกเย็นก็จะถูกเรียกไปช่วยทำสวน ไม่ได้มีเวลาเล่นสนุกเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ หลังทำสวนเสร็จก็ต้องใช้แสงของตะเกียงอ่านหนังสือ ชีวิตในยุคหกศูนย์ที่ไฟฟ้านั้นมีให้ใช้ได้แค่เวลากลางวัน ในบ้านไม่มีแม้กระทั่งวิทยุซึ่งกว่าจะมีพ่อก็ขึ้นชั้นประถม ส่วนโทรทัศน์นั้นไม่ต้องพูดถึง ถ้าอยากดูต้องไปมุงเบียดเสียดกับชาวบ้านที่ร้านกาแฟถัดไปอีกสามหลัง เรื่องฐานะเรียกได้ว่าลำบาก เวลาพี่น้องจะได้กินน้ำอัดลมจะต้องใช้วิธีการขีดชอล์คที่ข้างขวดเพื่อแบ่งกัน เคยไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมโรงเรียนจนอาม่าต้องแบกหน้าไปขอผ่อน ถ้าให้พูดกันตรงๆชีวิตของพ่อตอนเด็กได้ถูกนับรวมเป็นฐานของพีระมิดของสัตว์เศรษฐกิจก็ไม่ปาน
ส่วนแม่ของผมเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด ได้ใช้ชิวิตอยู่ใจกลางเมืองหลวงอย่างย่านบางรัก ฟังดูดีใช่ไหมครับ แล้วถ้าแม่ของผมต้องในชีวิตอยู่ในบ้านไม้เล็กๆ เป็นน้องคนสุดท้องที่มีพี่น้อง 7 คน ซึ่งแม่ผมเป็นคนเดียวที่ได้เรียนจนจบส่วนพี่ๆอีกห้าคนไม่มีใครเรียนจบแม้กระทั่ง ป.7 เงินที่ได้เรียนทั้งหมดก็มาจากการทำงานของพี่ๆและยาย โดยที่ตาของผมเป็นคนจีนที่โล้สำเพาเข้าไทยมาเป็นช่างทำรองเท้าและก็ด่วนจากไปทั้งๆที่แม่อายุได้แค่สิบขวบ เหลือแค่ยายที่เป็นคนครัวในภัตตาคารย่านสยาม และพี่ๆที่ต้องออกจากโรงเรียนไปหาเงินมาจุนเจือครอบครัว
โชคดีที่พ่อผมเรียนหนังสือดี ได้ย้ายไปเรียนต่อในโรงเรียนเอกชนมีชื่อในย่านนั้นตอนมัธยมต้น ต่างจากน้องๆที่เรียนโรงเรียนรัฐละแวกบ้าน แต่ก็เท่ากับว่าอากงและอาม่าก็ต้องขยันหาเงินมาส่งมากขึ้น ถ้าสวนไม่ล่มก็จะมีเงินจ่ายค่าเทอมและได้กินข้าวดีๆ แต่ถ้าน้ำท่วมสวนล่มก็ต้องกินข้าวราดน้ำหมูแดงหรือซิอิ้วในบางมื้อ เมื่อจบมัธยมต้นก็ต้องตัดสินใจว่าจะออกมาทำงานหรือเรียนต่อ ต้องขอบคุณความขยันของพ่อที่สอบได้โรงเรียนในกรุงเทพฯ แม้ว่าโรงเรียนนั้นจะแทบไม่มีใครรู้จักในตอนนี้เลยก็ตาม แต่การเรียนในกรุงเทพนั้นไม่ง่าย เพราะต้องมาอาศัยอยู่กับญาติย่านวงเวียนใหญ่แต่โรงเรียนอยู่เอกมัย ลองคิดดูว่าการนั่งรถเมล์ยุคเจ็ดศูนย์ที่แทบจะห้อยทั้งตัวออกมานอกรถประกอบกับต้องวิ่งผ่านเส้นสุขุมวิทที่ขึ้นชื่อด้านความรถติดมหาศาลจะเป็นอย่างไร นอกจากนั้นพ่อยังต้องตื่นมาช่วยทำงานบ้านหุงหาอาหารตอบแทนการได้อยู่อาศัยในบ้านหลังนั้น ทำให้ชีวิตการเรียนค่อนข้างยากลำบากไม่ใช่น้อย ค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงก็แพงกว่าการอยู่ในต่างจังหวัดนัก เงินที่อาม่าส่งมาก็ไม่ได้มีจำนวนเยอะเลย ปิดเทอมก็ต้องกลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อไปทำงานหาเงินเพิ่ม จนบางครั้งต้องหยิบยืมเงินจากอาเจ็กคนกลางที่ออกจากการเรียนมาเสี่ยงโชคเข็นผักอยู่ปากคลองตลาดซึ่งก็ไม่ได้มีเงินมากมายเช่นกัน
ตอนเด็กๆแม่ของผมบางครั้งก็ต้องไปเก็บเศษผักที่เขาตัดตามตลาดมาเป็นอาหารไก่ จับพลัดจับผลูก็ได้ไปช่วยขายของเพื่อแลกข้าวและผักที่เอาไว้เป็นกับข้าวของไก่ที่เลี้ยงไว้ โชคดีที่เป็นน้องคนสุดท้องมีทรัพยากรจากพี่ๆและยายมาเป็นค่าเล่าเรียนหนังสือ เลยได้เรียนจนถึงชั้น ปวช ในระหว่างที่เรียนก็ทำงานเป็นพนักงานขายในห้างไปด้วย และก็ได้เรียนต่อในระดับอนุปริญญาจนจบ และในสุดท้ายก็มีงานที่ดีทำ ตอบแทนการเสียสละและความตั้งใจของคนในครอบครัวจนได้
พ่อตั้งใจไว้มากว่าจะเข้าคณะวิศวะจุฬาฯให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะเรียนบัญชีเพราะเป็นที่ต้องการของท้องตลาด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แม้แต่บัญชีธรรมศาสตร์ที่มั่นใจมากว่าได้ แม้ว่าการเอนทรานซ์ใหม่จะการันตีว่าสอบติดแน่ แต่ว่าเวลาที่ต้องใช้กับเงินที่ทุกคนลำบากหามาให้เรียนทำให้พ่อต้องเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเปิด แม้จะไม่ใช่มหาวิทยาลัยดังแต่ถ้าตั้งใจเรียนก็คงไม่ต่างกันมากนัก โชคดีที่ค่าหน่วยกิตนั้นไม่แพงทำให้พ่อเรียนจบสาขาการบัญชี โดยไม่เจอปัญหาด้านการเงิน เมื่อจบออกมาก็ต้องแยกย้ายจากบ้านที่
วงเวียนใหญ่ ทนแออัดอยู่แฟลตกับเพื่อนหลายคนเป็นระยะเวลาหลายปี โชคดีที่ได้ที่ได้ทำงานกับองค์กรที่ดีและพ่อตั้งใจทำงานมาก จนสุดท้ายก็ได้มีบ้านในกรุงเทพฯเป็นของตัวเอง เมื่ออายุยี่สิบปลายๆ
เมื่อเวลาผ่านไป พ่อและแม่ของผมได้พบเจอ รักกัน และแต่งงาน เมื่อแต่งงานก็ต้องวางแผนครอบครัว การจะเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพนั้นใช้ต้นทุนมหาศาล เมื่อรู้ว่าแม่ท้องผม สิ่งนึงที่ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันก็คือการศึกษาของลูกจะต้องดีที่สุด ลำพังเงินเดือนของทั้งคู่อาจไม่พอ พ่อผมเลยต้องออกไปรับงานพิเศษในวันหยุด ต้องนั่งรถจากกรุงเทพฯไปชลบุรีเพื่อทำงานทุกอาทิตย์ และสุดท้ายผมก็ถือกำเนิดขึ้นมา ยังไม่ทันได้ดีใจที่ได้ลูกชายคนแรก พ่อผมก็วางแผนที่จะเรียนต่อในระดับปริญญาโท เพื่อความก้าวหน้าในหน้าทีการงานอีกขั้น ผมยังจำได้ดีในวันที่แม่อุ้มผมไปงานรับปริญญาของพ่อ ซึ่งถ้าไม่ได้ปริญญาใบนั้น ผมการันตีได้เลยว่าชีวิตของผมคงไม่ได้สุขสบายขนาดนี้
ผมมีหลายอย่าง มีบ้านที่อบอุ่น มีรถยนต์ส่วนตัวที่พ่อและแม่พาไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้เรียนโรงเรียนเอกชนค่าเทอมหลายหมื่นตั้งแต่อนุบาล มีสภาพแวดล้อมที่ดีในการเติบโต เรียกร้องไปกินอาหารดีๆได้แทบทุกอาทิตย์ พ่อผมเคยบอกว่าค่าเทอมตอนเรียนอนุบาลปีเดียวก็เท่ากับค่าเล่าเรียนของพ่อกับแม่ทั้งชีวิตแล้ว และได้เรียนในสถาบันการศึกษาที่ดีมาโดยตลอด
และในตอนนี้ เป็นปีแรกที่ผมต้องเริ่มทำงาน เป็นปีสุดท้ายที่พ่อผมจะทำงาน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในอนาคตจะพบเจออะไร ในวันนึงจะได้เสียสละเหมือนกับที่ทุกคนที่มาก่อนผมทำไว้หรือเปล่า
ผมมีหลายอย่าง แต่สิ่งที่ผมขาดก็คือความลำบาก การต้องใช้ความพยายามฝ่าฟันโดยมีแรงกดดันที่ไม่ใช่แค่ความคาดหวังของตัวเอง แต่เป็นความคาดหวังของคนอื่นๆ คนที่ผมจะต้องเสียสละต่อไป การฝ่าฟันเรื่องการเรียนก็อาจจะเป็นบททดสอบหนึ่ง แต่มันก็เป็นแค่บททดสอบเดียวเท่านั้นเมื่อโตขึ้นผมก็พบว่ามันยังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องทำเพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการ และปลายทางของความยากลำบากนั้นอาจจะเป็น 'ความสุขที่แท้จริง' ของผมก็ได้
แต่สิ่งที่ผมดีใจที่สุดก็คือพ่อแม่ของผมนั้นได้เจอกับ 'ความสุขที่แท้จริง' ของพวกเขาแล้ว ความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อยู่ระหว่างทางที่เขาได้ใช้ไปกับความพยายามและการฝ่าฟัน การที่ได้เสียสละอะไรหลายๆอย่างให้กับผม ซึ่งผมก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงนอกจากตั้งใจทำให้เหมือนกับพวกเขา และส่งต่อสิ่งนี้ไปให้กับคนที่มาทีหลังผม รวมทั้งพวกคุณทุกคนที่อ่าน ขอบคุณครับ.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in