ฉันมักจะถามหาไทม์แมชชีนมาตลอด แต่พอถามตัวเองดีๆ อีกครั้งว่า ถ้าไทม์แมชชีนมีอยู่จริง ฉันจะนั่งมันกลับไปแก้ไขอดีตอย่างที่เคยคิดมั้ย
สุดท้ายฉันก็ตอบตัวเองทุกครั้งว่า ‘ไม่’
ไม่ว่าทางเลือกไหนก็มีสิ่งที่ต้องแลก มีสิ่งที่ต้องเสียไปเพื่อที่จะได้สิ่งที่ต้องการกลับมาทั้งนั้น อาจจะเยอะ อาจจะน้อย อาจจะคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่าต่างกัน แต่ฉันก็ได้ชั่งน้ำหนักแล้วว่า ถ้าหากฉันไม่ได้เลือกมาเรียนที่ญี่ปุ่น ความรู้สึกเสียดายจะต้องมากมายกว่าความอยากกลับบ้านและความอยากกลับไปเจอเพื่อนที่เมืองไทยอย่างที่ฉันเคยรู้สึกแน่ๆ
ฉันยังตอบไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วทางเลือกนี้มันคุ้มค่าหรือไม่
แต่ฉันคิดว่าฉันเลือกไม่ผิด
เพราะไม่ว่าจะถามตัวเองเรื่องไทม์แมชชีนอีกสักกี่รอบ ฉันก็ตอบว่า ‘ไม่’ เหมือนเดิม
พอได้เขียนเล่าเรื่องราวของตัวเองลงในหนังสือ ทุกอย่างก็มักจะออกมาเป็นคำพูดที่ดูสวยงาม ทั้งที่ความจริง ณ ตอนที่เรื่องราวแต่ละอย่างเกิดขึ้นมันไม่ได้ดูดีขนาดนั้น แต่พอเดินออกมาแล้วมองย้อนกลับไปมันก็กลายเป็นเรื่องราวที่ดีได้ โดยไม่ต้องแต่งแต้มอะไรเกินจริงเลย
เมื่อสิ่งที่ผ่านมาทำให้ฉันเติบโตขึ้น มันก็กลายเป็นเรื่องที่สวยงามเท่านั้นเอง
ระหว่างที่เรียนอยู่ ฉันมีเรื่องให้บ่นมากมายไปหมด เรื่องที่บ่นมากที่สุดคืออยากกลับบ้าน บ่นได้ทุกอาทิตย์ บ่นได้ทุกวัน รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างเมื่ออยู่ที่ญี่ปุ่น ถึงแม้จะสนุกกับการเรียนแค่ไหน แต่การวาดรูปก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ยังไงฉันก็เป็นนักเรียนต่างชาติที่ยังไม่สามารถคุยกับคนอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ยังมีกำแพงระหว่างฉันกับสิ่งรอบตัวอยู่หลายชั้น ฉันเห็นความอิจฉาของตัวเองค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นตลอดสี่ปีจนแทบจะล้นออกมา เมื่อเห็นเพื่อนชาวญี่ปุ่นมีกลุ่มเพื่อนที่พูดภาษาเดียวกัน มีวัฒนธรรมเดียวกัน สามารถคุยกันถึงสิ่งที่ตัวเองคิดได้โดยไม่ติดขัด แถมการเขียนงานก็ลื่นไหลไม่ต้องพยายามเค้นศัพท์ในคลังสมองที่มีอยู่น้อยนิดเหมือนอย่างฉัน
พอกลับเมืองไทยยิ่งแล้วใหญ่ แค่เห็นคนวัยเดียวกันกับฉันใส่ชุดนักศึกษา นั่งคุยกันตามร้านกาแฟ ร้านฟาสต์ฟู้ด หรือที่ไหนก็ตาม ก็จะเกิดความอิจฉาขึ้นมาว่าฉันไม่มีตัวตนในสังคมนี้อย่างเขา ส่วนญี่ปุ่นที่ฉันอยู่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าที่นั่นเป็นสังคมของฉันจริงๆ
เหมือนกลายเป็นคนไร้ที่อยู่และตัวคนเดียว มีเพียงเพื่อนอีกสองสามคนซึ่งยืนอยู่ในจุดเดียวกันที่พอจะเข้าใจและอยู่เคียงข้าง แม้จะเป็นสังคมที่อบอุ่น แต่ก็เงียบเหงา
อาจจะแย้งได้ว่าฉันไม่วิ่งเข้าหาสังคมใหม่ๆ เอง แต่จากที่เจอมากับตัวเอง ฉันว่ามันไม่ได้ง่ายสักเท่าไหร่
ฉันจึงเป็นเพื่อนกับความอิจฉา แล้วฉันก็รู้จักมันดีเสียยิ่งกว่าดี ฉันรู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของฉัน จึงไม่ได้ฟูมฟายอะไรมากไปกว่าการบ่นกับตัวเอง อาจจะเป็นเพราะความกดดันจากการตัดสินใจของตัวเองเมื่อหลายปีก่อนที่ทำให้ฉันรู้ดีว่าตัวเองจะถอยหลังไม่ได้ และฉันคงไม่อนุญาตให้ตัวเองทำแบบนั้น ฉันไม่อยากทำให้คนอื่นผิดหวัง
และที่สำคัญคือ ฉันไม่อยากหักหลังความตั้งใจของตัวเอง
ถึงแม้ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหน ไกลได้อย่างที่คาดหวังไว้หรือไม่ แต่มันก็คงดีกว่าหยุดเดินแล้วกระโดดออกนอกเส้น-ทางเป็นแน่ เพราะการเป็นคนยอมแพ้กลางทางคงตามตอกย้ำฉันไปเรื่อยๆ ไม่ต่างกัน
ถ้าการเดินต่อกับหยุดเดิน มันจะทำให้ทุกข์และลำบากเท่ากันอยู่ดี ถ้าเช่นนั้น ฉันจะหยุดเดินไปทำไม
ฉันมีหลายอย่างที่อยากจะเล่า ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมาเป็นตัวอักษรในหนังสือเล่มนี้แล้ว
อันที่จริงฉันคิดว่าหนังสือหนึ่งเล่มควรจะมีบทสรุปที่ดีในตัวของมันเอง แต่ฉันก็ทำได้แค่กลั่นกรองความคิดของตัวเองแล้วบันทึกมันลงบนหน้ากระดาษอย่างเรียบง่าย ซึ่งสิ่งที่คุณกำลังจะอ่านต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวันสามัญที่ฉันประสบและคิดได้ในช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมา
แต่เรื่องเหล่านี้แหละ ที่เป็นเหตุผลของคำตอบที่ว่าทำไมฉันจึงไม่อยากได้ไทม์แมชชีนอีกต่อไปแล้ว
ไปรับชมพร้อมๆ กันนะคะ
หมอก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in