ในปัจจุบันโบท็อกถือเป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยม เพราะช่วยลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่าโบท็อกคืออะไร ? มียี่ห้อไหนบ้าง ? แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นแตกต่างกันอย่างไร ? รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้อยู่ได้นานแค่ไหน ? และควรปฏิบัติตัวก่อน-หลังฉีดอย่างไร ? เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุดครับ
โบท็อกซ์ (Botox) คือ สารสกัดจากแบคทีเรีย คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ที่ถูกนำมาพัฒนาให้ใช้ในวงการแพทย์และความงาม โดยชนิดที่นิยมคือ Botulinum toxin type A ซึ่งมีความปลอดภัยและได้รับการรับรองจาก อย.
ซึ่งโบท็อกทำงานโดยการ ลดการทำงานของมัดกล้ามเนื้อชั่วคราว เมื่อฉีดเข้าสู่จุดที่มีปัญหา เช่น หน้าผาก หางตา หรือรอยย่นต่าง ๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ไม่ขยับซ้ำ ๆ จนก่อให้เกิดริ้วรอยใหม่ ส่งผลให้ผิวดูเรียบตึง กระชับขึ้น อีกทั้งยังช่วย ปรับรูปหน้า ลดกราม และทำให้ผิวเต่งตึง ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และไม่แก่ก่อนวัย
โบท็อกซ์สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง ทั้งลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า และแก้ปัญหาสุขภาพบางอย่าง โดยแต่ละจุดใช้ปริมาณ (Unit) ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัญหาและการประเมินของแพทย์ ดังนี้
ฉีดโบท็อกหน้าผาก : ใช้ประมาณ 30 U ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการยกคิ้วหรือแสดงสีหน้า ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนและสดใสขึ้น
ฉีดโบท็อกระหว่างคิ้ว : ใช้ประมาณ 25 U ลดริ้วรอยที่เกิดจากการขมวดคิ้วซ้ำ ๆ ช่วยให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย ไม่ดูดุ
ฉีดโบท็อกหางตา/ตีนกา : ใช้ประมาณ 25 U แก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ทำให้ดวงตาดูอ่อนเยาว์ สดใสมากขึ้น
ฉีดโบท็อกปีกจมูก : ใช้ประมาณ 25 U ช่วยลดการบานของปีกจมูกเวลายิ้มหรือพูด ทำให้รูปจมูกดูเล็กและละมุนขึ้น
ฉีดโบท็อกรัดแกนจมูกให้คมขึ้น : ใช้ประมาณ 10–20 U ช่วยปรับทรงจมูกให้ดูโด่งและคมชัดมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด
ฉีดโบท็อกโหนกแก้ม : ใช้ประมาณ 50–100 U ลดขนาดโหนกแก้มที่เด่นเกินไป ทำให้รูปหน้าดูละมุนและสมส่วนมากขึ้น
ฉีดโบท็อกลิฟกรอบหน้า/ริ้วรอยที่คอ : ใช้ประมาณ 30–50 U ยกกระชับผิวหน้าส่วนล่าง ลดความหย่อนคล้อย และช่วยให้กรอบหน้าชัดขึ้น พร้อมลดริ้วรอยบริเวณลำคอ
ฉีดโบท็อกกราม ปรับหน้าเรียว : ใช้ประมาณ 50–100 U ลดขนาดกล้ามเนื้อกรามที่ใหญ่เกินไป ทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็กและสมส่วน
ฉีดโบท็อกลดเหงื่อใต้วงแขน/ฝ่ามือ/ฝ่าเท้า : ใช้ประมาณ 50–100 U เหมาะสำหรับคนที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ ลดกลิ่นกาย และเพิ่มความมั่นใจในชีวิตประจำวัน
ฉีดโบท็อกลดกล้ามแขน/น่อง : ใช้ประมาณ 200 U ช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อที่ดูใหญ่เกินไป ทำให้แขนหรือน่องเรียวเล็กลง เหมาะสำหรับผู้ที่อยากมีรูปร่างสมส่วน
ฉีดโบท็อกรักษาไมเกรน : ใช้ประมาณ 100 U โบท็อกซ์สามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดไมเกรนได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื้อรัง
ฉีดโบท็อกกระชับรูขุมขน : ใช้ประมาณ 30–50 U ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน ลดความมัน และทำให้แต่งหน้าติดทนนานขึ้น
หมายเหตุ : ปริมาณนี้เป็นค่าเฉลี่ยโดยประมาณ แต่ละคนอาจใช้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัญหาและการประเมินของแพทย์แต่ละบุคคล
ถ้าพูดถึงโบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน จะมีอยู่ด้วยกัน 6 ยี่ห้อหลัก จากหลายประเทศ แต่ละยี่ห้อก็มีคุณสมบัติและจุดเด่นแตกต่างกันไป มาทำความเข้าใจข้อดีของแต่ละตัว เพื่อช่วยให้เลือกใช้ได้เหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่ดีกันครับ
โบท็อกซ์ระดับพรีเมียมจากสหรัฐอเมริกา จุดเด่นคือความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% โอกาสดื้อยาน้อย ให้ผลการรักษาที่แม่นยำ และคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนและอยู่ได้นาน
มีความบริสุทธิ์สูง เนื่องจากไม่มีโปรตีนที่หุ้มโมเลกุล ทำให้ตัวยาไม่กระจุกตัวเกินไป จึงเหมาะกับเคสที่เคยดื้อโบท็อกซ์จากยี่ห้ออื่น อีกทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
จุดเด่นคือการกระจายตัวยากว้าง เหมาะกับการฉีดในบริเวณกว้าง เช่น กราม น่อง หรือรักแร้ ใช้แก้ปัญหากล้ามเนื้อใหญ่และการลดเหงื่อได้ดี ผลลัพธ์ออกมาเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ
โบท็อกซ์ที่ให้ผลลัพธ์ดูอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่กังวลว่าใบหน้าจะตึงหรือแข็งเกินไปหลังฉีด อีกทั้งยังเห็นผลไว เหมาะกับผู้ที่อยากได้ผลลัพธ์เร็วและดูไม่แข็งทื่อ
เป็นโบท็อกซ์เกาหลีที่ได้รับการรับรองจาก U.S. FDA ทำให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย จุดเด่นคือออกฤทธิ์ไว เห็นผลเร็ว และมีราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณภาพ
โบท็อกซ์ยอดนิยมจากเกาหลี จุดเด่นคือการกระจายตัวแคบและแม่นยำ เหมาะกับการแก้ปัญหาเฉพาะจุด ลดโอกาสดื้อยา และออกฤทธิ์ไว ทำให้เห็นผลเร็ว เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์กระชับและตรงจุด
ในปัจจุบัน ความนิยมในการฉีดโบท็อกซ์เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มี โบท็อกซ์ปลอมและโบท็อกซ์หิ้ว ที่ไม่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. เข้ามาในท้องตลาดจำนวนมาก มักถูกโฆษณาด้วยราคาถูกเพื่อดึงดูดใจผู้บริโภค แต่แฝงไปด้วยอันตรายและความเสี่ยงที่คาดไม่ถึง ซึ่งผลเสียที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
ตัวยากระจายผิดตำแหน่ง : ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณอื่นอ่อนแรง เกิดอาการตาตก ปากเบี้ยว หรือสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
เสี่ยงต่อการติดเชื้อ : เพราะตัวยาไม่มีความบริสุทธิ์หรือปนเปื้อน ทำให้เกิดการอักเสบ แพ้ หรือมีปัญหาผิวรุนแรงหลังการฉีด
ดื้อโบท็อกซ์ : หากใช้โบท็อกซ์ปลอมบ่อย ๆ อาจทำให้ร่างกายดื้อยา ส่งผลให้ฉีดแล้วไม่เห็นผล หรือผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และที่สำคัญคือปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาภาวะดื้อโบท็อกซ์ได้
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกฉีดโบท็อกซ์แท้ที่ผ่านการรับรอง และทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้นครับ
โบท็อกได้รับความนิยมมากขึ้นในการฉีดเพื่อลดริ้วรอย ลดกราม และปรับรูปหน้าเรียว แต่เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มั่นใจ โบท็อกที่ใช้ต้องเป็นของแท้เท่านั้น หลายคนอาจสงสัยว่าโบท็อกแท้ดูอย่างไร ขวดไหนแท้ ขวดไหนปลอม ซึ่งสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ง่าย ๆ ดังนี้ครับ
มีฝาพลาสติกใสปิดทับด้านบน : โบท็อกแท้ทุกขวดต้องมีซีลพลาสติกใสปิดทับหัวขวด เพื่อยืนยันว่าไม่เคยถูกเปิดใช้มาก่อน
มีตัวหนังสือภาษาไทย พร้อมเลข อย. : บนกล่องและขวดต้องแสดงเลขทะเบียน อย. อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งมีวันผลิตและวันหมดอายุที่ตรงกันทั้งกล่องและขวด
มีข้อมูลผู้นำเข้าอย่างชัดเจน : ต้องระบุชัดว่าผู้นำเข้าเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาต ไม่ใช่ของหิ้วหรือไม่มีข้อมูลบริษัทที่แน่นอน
หากตรวจสอบแล้วครบตาม Checklist นี้ สามารถมั่นใจได้ว่าเป็นโบท็อกแท้ และปลอดภัยต่อการนำมาใช้ฉีดครับ
การฉีดโบท็อกซ์จะเริ่มออกฤทธิ์หลังฉีดไม่นาน สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ไม่กี่วันหลังฉีด แต่ช่วงเวลาที่ผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดจะแตกต่างกันตามปัญหาที่แก้ไขและตำแหน่งที่ฉีด ดังนี้ครับ
ลดริ้วรอย หน้าผาก ตีนกา ระหว่างคิ้ว : เริ่มเห็นผลใน 3–4 วัน และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 2 สัปดาห์
ลิฟท์กรอบหน้า เหนียง คอ : เริ่มเห็นผลใน 3–4 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 1–2 สัปดาห์
ลดกราม ปรับรูปหน้า : ใช้เวลาประมาณ 14 วัน จึงจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง และเห็นผลเต็มที่ภายใน 2–3 เดือน
ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์สามารถอยู่ได้นานแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีดและการดูแลตัวเองหลังทำ โดยทั่วไปมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ดังนี้
ลดริ้วรอย หน้าผาก ตีนกา หางคิ้ว : อยู่ได้นานประมาณ 3–4 เดือน ก่อนที่กล้ามเนื้อจะเริ่มกลับมาทำงานตามปกติ
ลดกราม ปรับรูปหน้า หน้าเรียว : อยู่ได้นานประมาณ 5–6 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กและชัดเจน
การฉีดโบท็อกซ์อย่างต่อเนื่อง ปีละ 2–3 ครั้ง จะช่วยให้ริ้วรอยและกล้ามเนื้อผ่อนคลายได้นานขึ้น และทำให้ผลลัพธ์ของโบท็อกซ์คงอยู่ได้นานมากกว่าเดิมครับ
เพื่อให้การฉีดโบท็อกซ์ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย การปฏิบัติตัวทั้งก่อนและหลังฉีดถือว่าสำคัญมาก มาดูกันว่าควรทำอย่างไรบ้าง
ข้อปฏิบัติก่อนฉีดโบท็อก
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์ให้เข้าใจ
เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์ดูแล
ฉีดโบท็อกซ์แท้เท่านั้น ต้องผ่านการรับรองจาก อย.
งดยากลุ่มที่ลดการแข็งตัวของเลือด
งดสครับหรือขัดผิวหน้า 2–3 วันก่อนฉีด เพื่อลดโอกาสเกิดรอยช้ำ
ปรึกษาแพทย์ก่อน หากมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาบางชนิด
ควรให้แพทย์เปิดขวดใหม่ และผสมโบท็อกซ์ต่อหน้าคนไข้ทุกครั้ง
ข้อปฏิบัติหลังฉีดโบท็อก
30 นาทีแรก ควรบริหารกล้ามเนื้อตรงจุดที่ฉีด เช่น ขมวดคิ้ว ยักคิ้ว หรือยิ้ม เพื่อช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
ควรทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี เพราะช่วยเสริมประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์
งดนอนราบ นอนคว่ำ หรือนอนก้มหน้า อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อลดการไหลของตัวยาไปตำแหน่งที่ไม่ต้องการ
หลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เช่น อบซาวน่า เข้าห้องอบไอน้ำ ออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
งดอาหารรสจัดหรืออาหารหมักดอง เพื่อลดโอกาสการอักเสบและการบวมหลังฉีด
งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจรบกวนกระบวนการฟื้นฟูและลดประสิทธิภาพของโบท็อกซ์
โบท็อก ถือเป็นหัตถการที่ช่วยจัดการริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ อีกทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เห็นความเปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่วัน และคงอยู่ได้นานหลายเดือน จึงตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการดูดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in