เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ยามปทุมมาแห่งอวิ๋นเมิ่งมัวหมอง Mpregnithion58_onuma
เมื่อปทุมมาแห่งอวิ๋นเมิ่งมัวหมอง (วั่งเซี่ยน) Mpreg 1-3
  • ณ เนินป่าช้าแห่งอี๋หลิง สถานที่ที่ทุกหัวระแหงเต็มไปด้วยลักษณะอัปมงคล ไอมารคละคลุ้ง เต็มไปด้วยกระโหลกภูติผี คนเป็นที่ถูกขับเข้ามาในนี้ย่อมตายอย่างเอนจอนาถ วิญญาณมิอาจได้ผุดได้เกิด

    กระนั้น...ในดินแดนที่มีแต่คนตายเช่นนี้...กำลังมีชีวิตหนึ่งก่อเกิด...

    ใบหน้าหล่อเหลางามสง่าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เรือนผมดำขลับทิ้งตัวยาวสยายไปเตียงนุ่ม นอกจากผีดิบหญิงที่เขาฝืนบงการให้เฝ้ามองการคลอดของเขา ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายเขาสักคน

    ทั้งเจ็บ...หวาดกลัว...และเหงาจับใจ

    ความเจ็บปวดแล่นริ้วราวกับถูกฉีกร่างทำให้ เว่ยอู่เซี่ยน หรือปรมาจารย์อี๋หลิงส่งเสียงร้องออกมาสุดเสียงอย่างไม่อาจควบคุมได้ ยามที่ทารกในครรภ์ยอมผ่อนปรนให้เขาได้หายใจหายคอ เขาได้แต่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ความรู้สึกที่ไม่อยากให้กำเนิดผู้ที่เขาอุ้มท้องมาเกือบเก้าเดือนเกาะกินหัวใจ หัวใจเจ็บหนึบปวดร้าว น้ำตาที่เคยเอ่อคลอไหลรินอาบแก้ม

    เด็กคนนี้หาใช่ลูกของคนที่เขารัก...หากแต่เกิดมาเพราะความอ่อนแอ ความแค้น และความอัปยศอดสูที่มาพร้อมกับความตายของคนที่เขารักและความล่มสลายของตระกูลเซียนหลายตระกูล

    เรื่องราวในอดีตไหลบ่า ตอนที่เขาถูกคนสกุลเวินจับได้ เขาถูกทรมานแสนสาหัส กระบี่เสียบทะลุร่าง กระนั้น "มัน" ก็มิได้สาแก่ใจ สิ่งที่มันจงใจหยิบยื่นให้เขาต่อจากนั้นทำให้เขาอัปยศอดสูจนถึงขนาดอยากเรียกร้องขอความตาย...

     สัมผัสที่น่ารังเกียจน่าขยะแขยงคล้ายดั่งอสรพิษร้าย ดิ้นรนขัดขืนสุดแรงแต่ก็เปล่าประโยชน์สำหรับผู้สูญเสียปราณทองเช่นเขา ความเจ็บปวดแสนสาหัส เสียงครางต่ำอย่างอุบาทว์ลามกข้างหู กลิ่นคาวเลือดและคราบไคลโสมมลอยอวล ความรู้สึกสิ้นหวังรวดร้าวที่ไม่ว่าจะร้องตะโกนดังเท่าใดก็ไม่มีผู้ใดได้ยิน 

    ขณะที่การกระทำนั้นวนเวียนจนเขาไม่รู้วันรู้คืน สิ่งที่ยังค้ำจุนเขาไม่ให้เสียสติไปเสียก่อน กลับเป็นเสียงฉินในถ้ำเสวียนอู่ กับเสียงทุ้มนุ่มที่พยายามร้องเพลงไม่ให้เขาหลับ

    หลานวั่งจี...หลานจ้าน...

    กระทั่งเชื้อพันธุ์โสโครกถูกทิ้งในร่างกายของเขา เขาก็ถูกพวกนั้นลากไปยังเนินป่าช้า แล้วผลักเขาลงไป

    ด้วยความแค้นที่อัดแน่นสุมอก ประกอบกับไอมารที่เขาได้รับ เขาได้กลายเป็นปรมาจารย์อี๋หลิง ล้างแค้นสกุลเวินได้สำเร็จ ร่วมมือกับเจียงเฉิงฟื้นฟูสกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่งขึ้นมาใหม่

    ทว่า ก็มีชีวิตน้อยๆชีวิตหนึ่งอุบัติในกายเขา กว่าเขาจะรู้ตัวก็มิอาจหักใจทำร้ายได้ ได้แต่หายตัวไปจากผู้คนรอบข้าง กลับมายังอี๋หลิง ที่ที่เขาควรอยู่

    "อั่ก..." ความเจ็บแล่นปราดขึ้นมาอีกครั้ง บีบบังคับให้เขาต้องเบ่งคลอด บัดนี้กลิ่นเลือดที่ออกมาจากตัวเขาเรียกผีดิบใต้อาณัติให้มาอยู่ใกล้ ผีดิบหญิงเดินงกเงิ่นประคองหัวทารกที่โผล่พ้นตัวเขาออกมาแล้ว เพียงแค่เบ่งอีกครั้ง เด็กจะคลอดออกมาในที่สุด

    หลานจ้าน ข้าไม่อยากทำ ไม่อยากคลอดเด็กคนนี้เลย อยากให้เขาตายไปพร้อมกับข้าเสียด้วยซ้ำ ข้า...ข้า...

    ถ้าเจ้าเป็นข้า...เจ้าจะทำอย่างไร?

    //เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์...//

    คล้ายได้ยินเสียงของเขาข้างหู รู้สึกถึงไออุ่นเหมือนกับเขามานั่งข้างๆ กุมมือเว่ยอิงเอาไว้อย่างให้กำลังใจ

    //คลอดเขาออกมาเถอะ//

    อาจจะเป็นเพียงจินตนาการของเว่ยอู๋เซี่ยน แต่เมื่อหลานจ้านอยากให้เด็กคนนี้เกิดมา เขาก็จะทำ

    อึก...

    ครานี้เว่ยอิงไม่ส่งเสียงร้องอย่างเปล่าประโยชน์อีกต่อไป กลับจรดจ่อกับการเบ่งคลอดครั้งสุดท้าย ที่ราวกับจะพรากเอากำลังกายกำลังใจของไปเสียสิ้น

    เสียงเด็กทารกดังลั่นในดินแดนคนตาย ช่างน่าปรหลาดนัก กระนั้นเว่ยอิงก็มิอาจหมดสติได้เขาผงกศีรษะขึ้นมาดู ก่อนสั่งให้ผีดิบหญิงนั้นตัดสายสะดือและนำผ้าสีดำหุ้มห่อทารกนั้นเอาไว้ ทารกน้อยกรีดเสียงลั่น มือเท้าป่ายปะ เห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแรงเพียงใด

    ยิ่งห่อผ้านั้นเข้าใกล้ ความรู้สึกเกลียดชังและขยะแขยงเมื่อนึกถึงว่าเด็กคนนี้เกิดมาได้อย่างไร ก็ทำเอาเขาคลื่นเหียน อาเจียนออกมาคำหนึ่ง จนเกิดลังเลว่าเขาจะทนมองหน้าเด็กคนนี้ได้หรือไม่?

    ทว่า เมื่อเขารับห่อผ้านั้นเอาไว้ในอ้อมแขน เนื้อตัวนุ่มอุ่นของเด็กคนนี้ทำเขาชะงักงัน มือเท้าเล็กจิ๋ว แก้มกลมยุ้ยเปรอะเลือดจนเขาอดไม่ได้ที่จะเอาแขนเสื้อ ทว่าขณะที่กำลังดึงแขนเสื้อ ปากเล็กๆร่อนร้องหาน้ำนมมื้อแรกของชีวิต เว่ยอิงเห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเลิกเสื้อข้างหนึ่ง ให้ร่างเล็กดูดอย่างเก้กัง เขาร้องโอ๊ยออกมาครั้งหนึ่ง ดูดแรงจนเขารู้สึกเจ็บ แต่พอน้ำนมเริ่มไหลลงคอ มือเล็กก็วางแปะที่อกเขา ความอบอุ่นที่เขาได้รับก่อเกิดสายใยระหว่างกันและกันขึ้นมาอย่างประหลาด

    "...เยวี่ยน" ชายหนุ่มเอ่ยแผ่ว รอยยิ้มปรานีผุดขึ้นมา "เยวี่ยนที่แปลว่า เต็มใจ ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่ข้าก็เต็มใจให้เจ้าเกิดนะ อาเยวี่ยน"

    -TBC-

    ชื่อจริงของซือจุยคือ หลานเยวี่ยน หรือ เวินเยวี่ยน ซึ่งคำว่าเยวี่ยน 愿 ตัวนี้แปลว่า เต็มใจ
  • -2-

    เวินฉิงกับเวินหนิง สองพี่น้องตระกูลเวินที่เคยให้ความช่วยเหลือเขากับเจียงเฉิง และบัดนี้เขาก็ตอบแทนพวกนางโดยให้ที่หลบซ่อนจากการตามล่าของสามตระกูลโดยให้มาอยู่ด้วยกันที่ล่วนจั่งกั่งแห่งอี๋หลิงแห่งนี้ เวินฉิงดูตกใจไม่น้อยที่เมื่อพวกนางมาเยี่ยมเว่ยอู่เซี่ยนจะเห็นเขาอุ้มเด็กทารกไว้ในอ้อมแขนด้วย

    เว่ยอู่เซี่ยนปิดบังเรื่องการตั้งครรภ์นี้กับเวินฉิงมาโดยตลอด อีกอย่างเขากับนางอยู่คนละฟากฝั่งของอี๋หลิงโดยอ้างว่าเขาจะเก็บตัวประดิษฐ์ยุทโธปกรณ์ที่เป็นประโยชน์ในการนำผีดิบมาใช้ประโยชน์ ส่วนเวินฉิงนั้นต้องคอยดูแลเวินหนิงที่กลายเป็นผีดิบไปแล้วเพราะเว่ยอู๋เซี่ยน จากคำขอร้องของผู้เป็นพี่สาวเอง

    "นี่มัน อะไรกัน?" เวินฉิงเบิกตาน้อยๆ นางเคยช่วยชีิวิตเว่ยอู๋เซี่ยนและเจียงเฉิงมาก่อน จึงรู้จักร่างกายของเว่ยอู๋เซี่ยนเป็นอย่างดีว่าพิเศษไม่เหมือนใคร สามารถทำให้ผู้อื่นตั้งครรภ์ได้ และสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะอุ้มท้องและคลอดออกมาจริงๆ

    "เขาชื่อ อาเยวี่ยน"เว่ยอู๋เซี่ยน เอ่ยเรียบๆ "เขาแซ่เวิน...เป็นหลานของพวกเจ้า"

    "แซ่เวิน?" คล้ายสมองถูกก้อนหินหนักอึ้งทุบหัว ในสมองเวินฉิงมึนงงไปหมด สกุลเจียงและสกุลเวินดั่งน้ำและน้ำมันไม่มีวันบรรจบ แล้วอีกฝ่ายจะไปพิศวาสผู้แซ่เวินจนให้กำเนิดสายเลือดสกุลเวินได้อย่างไร นอกเสียจากว่า...

    ฉับพลันในหัวของนางก็คิดเรื่องที่ไม่สมควรคิดออกมา นางจ้องเว่ยอู๋เซี่ยนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วเอ่ย "เจ้าตอบ สกุลเวินทำเรื่องเลวทรามกับเจ้าใช่หรือไม่?"

    เว่ยอู๋เซี่ยนหลุบตาลงต่ำ คล้ายหวนรำลึกถึงเรื่องที่ผ่านมา ดวงตาฉายแววสลดไหวหว่ั่นเพียงชั่วครู่ก็เอ่ย 

    "...ใช่"

    "เวินเฉาใช่หรือไม่!?" นางตบโต๊ะดังสนั่น อาเยวี่ยนที่เพิ่งหลับถึงขนาดตกใจจนร้องจ้า ชายหนุ่มเพียงหลับตา ยกมือขึ้นลูบอกอาเยวี่ยนเบาๆ สีหน้าแววตาปรานี 

    "เป็นมันแล้วอย่างไร ไม่เป็นมันแล้วอย่างไร...อย่างไรเสียมันก็ตายด้วยน้ำมือของข้าไปแล้ว"

    "เว่ยอู๋เซี่ยน ไฉนเจ้าจึงไม่บอกข้า ขอเพียงเจ้าบอกข้าจะ..." 

    เวินฉิงมีสีหน้าลำบากใจ ผู้มีพระคุณกับนางและน้องชายต้องเผชิญเรื่องอัปยศอดสูเพียงลำพังถึงเก้าเดือนโดยที่นางไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย ยังคงส่งความช่วยเหลือเจือจานนางและคนสกุลเวินที่เหลือรอดโดยไม่คิดจะสืบสาวราวเรื่องใดๆด้วยซ้ำ

    "ขืนบอกเจ้า เจ้าคงให้ข้าทำลายเด็กคนนี้แน่ เพราะคิดว่าข้าคงเกลียดอาเยวี่ยนมาก จะให้ข้าทนทำใจมองอาเยวี่ยนได้อย่างไร ใช่ไหม?" เว่ยอู๋เซี่ยนว่า "ข้าสารภาพ ข้าเองก็เคยคิด น่าจะคิดเหมือนคนที่ต้องเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันกับข้าทุกคน ว่าข้าจะทนทำใจมองเขาได้ไหม มองแล้วจะยิ่งตอกย้ำเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือเปล่า ข้าเฝ้าครุ่นคิดเรื่องนี้ทุกวันตั้งแต่รู้ตัวว่าข้าท้องอาเยวี่ยน...อาฉิง ข้าเคยมองไปที่แปลงหัวผักกาดที่ปลูกไว้ คิดอยากฝังเขาไว้ในนั้น ข้าจะได้ไม่ต้องเห็นเงาร่างของคนที่ข้าเกลียดอีกด้วยซ้ำ"

    "เว่ยอู๋เซี่ยน"

    "แต่ข้าทำไม่ได้ ตั้งแต่เขาเกิด ชีวิตที่เหมือนไม่มีใครของข้าก็ได้รับการเติมเต็ม ข้าที่กลายเป็นมารโดยสมบูรณ์ ไม่อาจกลับอวิ๋นเมิ่งเพราะคิดว่าจะทำให้เจียงเฉิงและคนอื่นๆเดือดร้อนทั้งๆที่ข้าสาบานไว้ว่าจะอยู่เคียงข้างเขา ข้าผิดคำสาบานต่อท่านลุงเจียงและอวี๋ฟูเหริน ต้องอยู่โดดเดี่ยวลำพัง ฟ้าไม่ตอบ ดินไม่ขาน มีเพียงอาเยวี่ยนที่ร้องหาข้า ไม่มีข้า เขาก็อยู่ไม่ได้"

    "เว่ยอู่เซี่ยน เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ เจ้าจะทำร้ายตนเองไปเพื่ออะไร?" เวินฉิงยังคงไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายเหมือนเดิม และไม่มีวันจะเข้าใจด้วย

    "ทำร้ายตนเอง? ไม่หรอก ข้าเต็มใจ มิเช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อเขาว่า เยวี่ยน (เต็มใจ) หรือ?"

    "คำว่า เยวี่ยน แปลว่าเต็มใจ นั่นเพราะมีความหมายแฝง เต็มใจ...มาจากความสมัครใจ ความปรารถนา ความรัก...แล้วเจ้ามีสิ่งนั้นหรือเปล่าตอนที่ทำให้อาเยวี่ยนเกิดมา?" เวินฉิง เอ่ย 

    เว่ยอู๋เซี่ยนได้แต่นิ่งเงียบ เขามักไม่ค่อยอมทุกข์ซึมเซาง่ายๆ มักมีรอยยิ้มที่สดใสอยู่เสมอ แต่บัดนี้เขานิ่งเงียบคล้ายพยายามกลืนก้อนเลือดที่จุกอยู่ที่คอ ไม่ให้มันกระอักออกมา เขามองหน้าอาเยวี่ยนที่เริ่มลืมตาได้แล้ว ตาของอาเยวี่ยนสีเทาอ่อน เหมือนเขา รวมไปถึงองคาพยพส่วนอื่นก็ถอดแบบจากเขา ไม่ได้อะไรไปจากสุนัขแซ่เวินไปเลยแม้แต่ส่วนเสี้ยว ทั้งยังขยันมองตาม ส่งเสียงอ้อแอ้และรอยยิ้มให้กับเขาได้ทั้งวัน

    แค่นั้นก็พอ เพียงพอที่จะให้เขารักอาเยวี่ยนปานแก้วตาดวงใจ

    "เมื่อก่อนไม่ บัดนี้ใช่" เว่ยอู๋เซี่ยนส่งรอยยิ้มสดใสเกลื่อนหน้า ไร้การกลบเกลื่อนเสแสร้ง เวินฉิงได้แต่ถอนใจหนักหน่วง เรื่องล่วงเลยมาจนบัดนี้ จะให้นางเอ่ยอะไรอีก มีแต่ตอกย้ำซ้ำแผลใจกันเสียเปล่าๆ 

    "แล้วอย่างไร เจ้าแนะนำตัวเขาเสียขนาดนี้ จะให้ข้าทำอะไร?"

    "เจ้ากับเวินหนิงเพียงรับเขาเข้าสกุลเวินก็พอ ให้เขาได้ใช้แซ่เวิน จะให้เป็นหลานของพวกเจ้าหรือลูกพี่ลูกน้องก็แล้วแต่ใจเจ้า เวลาแนะนำเขากับใครๆข้าก็จะแนะนำตามนั้น"

    "ทำไมไม่ให้ใช้แซ่เว่ย?"

    "อี๋หลิงเหล่าจู ชื่อเสียงฉาวโฉ่ ถ้ามีคนรู้ว่าอาเยวี่ยนเป็นลูกข้าย่อมเดือดร้อน" เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ย "ให้เขามีท่านอากับท่านป้าที่น่ารักเช่นเจ้ากับเวินหนิงดีกว่าเป็นไหนๆ

    "แล้วจะให้อาเยวี่ยนมาอยู่กับข้าหรือ?" เวินฉิงเลิกค้ิวถามพลางจ้องมองทารกน้อยในห่อผ้า น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้สิ เด็กบ้านี่ถึงรักขนาดนี้

    "สภาพของเวินหนิงยังไม่มั่นคง ด้วยเพราะสิ้นชีพอย่างทรมานจึงยังคงความดุร้าย ไว้ข้าจะรักษาเขา ให้เขาดีขึ้นกว่านี้ มีสติสัมปชัญญะกว่านี้ แล้วข้าจะให้อาเยวี่ยนไปอยู่กับเจ้า"

    "เข้าใจแล้ว" เวินฉิงพยักหน้าพลางลูบศีรษะทุยของอาเยวี่ยนเบาๆแล้วแค่นยิ้ม การรักษาอาการเวินหนิงไม่ได้ทำกันง่ายๆ ใช้เวลาเป็นเดิือนไปจนถึงปี 

    ปากบอกว่าจะยกให้ คงเพียงข้ออ้างมากกว่า...

    ..........

    นับตั้งแต่อาเยวี่ยนเกิด เว่ยอู๋เซี่ยนหรือปรมาจารย์อี๋หลิงก็ดูแลอาเยวี่ยนด้วยตนเองมาโดยตลอด แม้จะเก้กังไร้ประสบการณ์ จะเหลียวมองหาผู้ที่จะให้คำปรึกษาก็มีเพียงผีดิบที่ดูจะช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก เวินฉิงก็นานๆมาที สิ่งที่เขาต้องทำในฐานะอี๋หลิงเหล่าจู่นั้นก็มีมาก แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยละเลยอาหารสามมื้อและความเป็นอยู่ของเด็กน้อยแม้สักครั้ง เขาจริงจังกับการเขียนตำราเพื่อถ่ายทอดความรู้และศาสตร์มืดที่เขาคิดค้นขึ้นมา แต่เมื่ออาเยวี่ยนที่เขาวางไว้ในตะกร้าที่ตั้งอยู่ข้างๆกันเกิดร้องโยเย เขาก็พร้อมที่จะโยนงานทั้งหมดไปให้ไกลแล้วมาดูแลร่างกระจ้อยในอ้อมแขนทันที

    อาเยวี่ยนน้อยตัวอวบขาวกว่าตอนแรกเกิดและร้องเรียกผู้ให้กำเนิดเสียงดังจนเว่ยอู๋เซี่ยนแทบเขียนตำราไม่รู้เรื่อง คราแรกเขาพยายามโยกตัวไปมาแล้วลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยน แต่เสียงร้องไห้บาดหูนั้นยังคงสั่นสะเทือนประสาทที่นอนไม่พอของเขาอย่างต่อเนื่อง จะให้เขาเป่าขลุ่ยเฉินฉิงให้หลับก็ไม่ได้ อุ้มเด็กไว้แขนหนึ่ง จะไปเป่าถนัดได้อย่างไร

    ชายหนุ่มจนปัญญา เขาจึงนั่งลงแล้วพิจารณาใบหน้าของอาเยวี่ยนชัดๆ เว่ยอู๋เซี่ยนหน้าเผือดสีเมื่อเห็นว่าหน้าผากทุยของทารกน้อยเป็นสีดำคล้ำ

    นี่คืออาการของคนโดนพิษผีดิบ!

    เขามองไปรอบๆ ก็จำได้ว่าเขาสั่งให้ผีดิบหญิงตนหนึ่งถือตะกร้าที่มีอาเยวี่ยนมาวางไว้ข้างเขาขณะที่เขียนตำรา นัยว่าน้ำลายผีดิบคงหยดโดนที่ตะกร้าโดยไม่ตั้งใจ ทำให้พิษร้ายจากผีดิบเข้าร่างอาเยวี่ยน จึงทำให้เป็นเช่นนี้

    "ต้องรีบรักษา" เขาเอ่ยกับตัวเอง พยายามสงบสติอารมณ์ระงับอาการตื่นตกใจขณะเดินเข้าไปในครัว โชคดีที่ก่อนจะคลอด เขาเข้าไปในเมืองซื้อข้าวเหนียวมากักตุนไว้ เขารีบใส่ข้าวเหนียวกำมือหนึ่งลงหม้อ ตามด้วยน้ำ เคี่ยวจนสุกนิ่มแล้วรินเอาแต่น้ำ รอจนเย็น แล้วจึงใช้ช้อนไม้ตักป้อนอาเยวี่ยนทีละคำ

    เวินฉิง พี่สาวของเวินหนิงเคยเตือนเอาไว้ เด็กทารกไม่ควรดื่มน้ำ เพราะอาจทำให้เด็กเสียชีวิต แต่สำหรับในตอนนี้เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว ในใจจรดจ่อที่จะรักษาชีวิตของเด็กน้อยเอาไว้อย่างสุดความสามารถ  เขาให้กำเนิดออกมาแล้ว อย่างไรเสียก็จะไม่มีวันให้เป็นอะไรไปเด็ดขาด เขาป้อนน้ำข้าวเหนียวให้อาเยวี่ยนไปได้ครึ่งชาม อาการก็ทุเลาลง ทำเอาเว่ยอู๋เซียนหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง เขามองอาเยวี่ยนที่หลับสนิทอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจบางอย่าง

    @@@@@@@@

    เว่ยอู๋เซี่ยนแลเห็นว่าการที่ให้เด็กทารกอยู่ในล่วนจั่งกั่งซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยธาตุหยิน ไอมาร และกลิ่นอายอัปมงคลนั้นไม่ค่อยเหมาะสมนัก พออาเยวี่ยนอายุได้สามเดือนคอแข็งพออุ้มพาไปไหนมาไหนได้แล้ว เว่ยอู๋เซี่ยนจึงปลอมตัวเป็นชาวบ้าน พาอาเยวี่ยนลงเขา ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆในแถบอี๋หลิง ท่าทีของอาเยวี่ยนดูร่าเริงแจ่มใสนัก โปรยยิ้มหวานให้ใครต่อใครจนพากันหลงรัก อีกทั้งเห็นเว่ยอู๋เซี่ยนเป็นพ่อลูกอ่อนก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขามากมาย กลับเข้าโรงเตี๊ยมแต่ละครั้งมักได้ขนมของกินของเล่นมาเป็นตะกร้า

    วันแรกของการเที่ยวเล่นหมดลงอย่างรวดเร็ว แต่หน้าที่ดูแลอาเยวี่ยนยังไม่หมด ครานี้อาเยวี่ยนส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น ไม่ว่าเขาจะปลุกปลอบเช่นไรก็ไม่หยุดร้อง อีกทั้งตรวจดูผ้าอ้อมก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทั้งๆที่อยู่ที่ล่วนจั่งกั่ง อาเยวี่ยนไม่งอแงเพียงนี้

    หรือสิ่งนี้คือที่ใครๆเรียกว่า ร้องอ้อนสามเดือน ในเด็กทารก

    "อาเยวี่ยน เจ้าหยุดร้องเถอะนะ ข้าจะขาดใจตามเจ้าแล้ว" เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ยอย่างหมดแรง เขาเคยมั่นใจว่าตนเองมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ แต่นับตั้งแต่สูญเสียปราณทอง ให้กำเนิดอาเยวี่ยน เรี่ยวแรงนั้นก็หดหายไปมาก แค่มีแรงเป่าเฉินฉิงเรียกผีดิบสั่งการได้นับว่าเขาเป็นยอดคนแล้ว

    ทว่าอาเยวี่ยนที่เพิ่งสามเดือนจะไปเข้าใจความทุกข์ใจของมารดากี่มากน้อย ยิ่งนานยิ่งร้อง จนชั่วยามครึ่งแล้วก็ไม่มีทีท่าจะหยุด เว่ยอู๋เซี่ยนทรุดลงกับเตียง ศีรษะพิงเสาอย่างหมดแรง เขาไม่ไหวแล้วจริงๆ...

    ทว่าในขณะที่กำลังจะหมดแรง หูของเว่ยอู๋เซี่ยนพลันได้ยินเสียงกู่ฉินแว่วหวานดังมาจากห้องข้างๆ ท่วงทำนองนั้นนุ่มนวล อ่อนโยน แม้กระทั่งอาเยวี่ยนที่ตั้งหน้าตั้งตาร้องก็ค่อยๆหยุดลง และหลับไปคล้ายหมดแรง

    เว่ยอู๋เซี่ยนถอนใจ ไม่รู้ว่าเขาเป็นนักดนตรีคณะไหน ควรจะไปขอบคุณ!

    เขาอุ้มอาเยวี่ยนไว้แนบอก เดินไปยังห้องข้างๆแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส "ขอบคุณท่านมาก"

    ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่กู่ฉินที่เคยหยุดเล่นกลับบรรเลงอีกครั้ง เว่ยอู๋เซี่ยนเห็นว่าอีกฝ่ายคงฝึกซ้อมฝีมือ จึงไม่รบกวนอีก...

    ห้องข้างๆปิดประตูไปแล้ว บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบสงบ คนในห้องนั่งนิ่งตัวตรง บนตักมีกู่ฉินทำจากไม้มะเกลือ หน้าตัดแคบกว่ากู่ฉินทั่วไป 

    เป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวของ วั่งจี กู่ฉิน ที่เจ้าของบัดนี้ได้ฉายาจากเหตุยุทธการณ์ยิงตะวันเมื่อปีก่อนว่า 

    "หานกวงจวิน หลานวั่งจี"
  • -3.5-

    เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เว่ยอู๋เซี่ยนได้นอนหลับเต็มตา อาเยวี่ยนเองก็หลับสนิท ไม่ร้องโยเยอีกจนกระทั่งถึงยามซื่อ ชายหนุ่มบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ ขณะเดียวกันแมลงในท้องก็ส่งเสียงคร่ำครวญร้องขออาหารเช้า เมื่อก่อนยังอยู่โดยไม่กินอาหารได้เป็นวันๆ แต่หลังจากเสียปราณทองกลายเป็นคนธรรมดาที่มีไอมารคุ้มกาย ความอยากอาหารที่หายไปนานก็กลับมาอีกครั้ง 

    เว่ยอู๋เซี่ยนมองไปข้างตัว อาเยวี่ยนยังนอนหลับปุ่ยไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เขาจึงผละไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาเพื่อสั่งอาหารเช้ามากินในห้อง เขาไม่อยากคลาดสายตาไปจากอาเยวี่ยนอีกด้วยเหตุผลจากเหตุการณ์ที่เด็กน้อยโดนพิษผีดิบเมื่อหลายเดือนก่อน 

    เขาสั่งอาหารหลายอย่างทั้งโจ๊กเนื้อ หมั่นโถว เซาปิ่งไส้เนื้อ อิ๋วจาก้วย พริกป่นกับน้ำมันพริกอีกอย่างละถ้วย ตามนิสัยคนอวิ๋นเมิ่งอย่างเขาเผ็ดไม่กลัว กลัวไม่เผ็ดและไม่นับว่าอาหารรสชาติจืดชืดเป็นอาหาร ตบท้ายด้วยน้ำเต้าหู้ชามใหญ่อีกหนึ่งชาม เสี่ยวเอ้อร์รับคำแล้วลงไปสั่งอาหารในครัว ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานนักอาหารที่สั่งก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ แต่ละจานควันกรุ่นส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ 

    ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะหยิบตะเกียบจัดการกับอาหารตรงหน้า ข้างๆตัวกลับมีเสียงอ้อแอ้ดังขึ้นมา เมื่อหันไปมอง ดวงตากลมโตสดใสดังแก้วหลิวหลีก็สบเข้ากับเขาพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา กอดหอมเป็นการใหญ่ "ว่าอย่างไร อาเยวี่ยน ตื่นแล้วหรือ หิวหรือไม่? เมื่อวานไม่กวนข้าเลย เป็นเด็กดียิ่ง"

    อาเยวี่ยนน้อยส่งเสียงอืออา ซุกหน้าลงกับอกของเขา ทั้งยังทำปากจุ๊บจั๊บเป็นสัญญาณที่รู้กันดีว่าเจ้าตัวเล็กหิวแล้ว

    เว่ยอู๋เซี่ยนหัวเราะ รู้สึกดีที่อาเยวี่ยนเจริญอาหาร ที่จริงตอนแรกเกิดของอาเยวี่ยน เขาตัวเล็กกว่าเด็กทั่วไปอยู่มาก แต่เวินฉิงมาตรวจแล้วก็บอกว่าแข็งแรงดี เพียงแต่ให้เขาขยันให้นมบ่อยสักหน่อยก็จะอ้วนท้วนโตตามเด็กคนอื่นๆเอง 

    ชายหนุ่มขยับชายเสื้อให้หลวม เปิดร่างกายท่อนบนครึ่งหนึ่ง ปล่อยให้ร่างเล็กดื่มนมจากอกตามใจชอบ การให้นมนั้นกินเวลานานเพราะเวินฉิงบอกว่าเขาควรให้อาเยวี่ยนดื่มนมให้หมดแต่ละหน้าอกไป เพื่อให้ได้กินทั้งหัวน้ำนมและท้ายน้ำนม...เขาไม่ค่อยจะเข้าใจสองคำนี้เท่าใดนัก แต่เวินฉิงบอกว่าจำแค่ว่าถ้าทำแบบนั้นอาเยวี่ยนจะไม่ท้องอืดและแหวะนมเขาก็เลยทำตาม ระหว่างนั้นเขาเริ่มทนหิวไม่ไหวจึงใช้มือที่ว่างหยิบหมั่นโถวและดื่มน้ำเต้าหู้มากินรองท้องไปก่อน

    มีเสียงอ้อแอ้ดังมาทั้งที่ยังดูดนมเขาอยู่ มือเล็กๆข้างหนึ่งขยำสาบเสื้อเขาไปมา ชายหนุ่มจึงวางชามน้ำเต้าหู้ที่ดื่มค้างไว้ หันไปเช็ดมือกับแขนเสื้อจนสะอาดแล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วแม่มือจับมือของอาเยวี่ยนไว้และลูบไปมาเบาๆ "หิวก็หิว แต่ก็ยังกินไปด้วยคุยไปด้วยไม่หยุด เจ้านี่เหมือนอาเหนียงจริงๆเลยนะ"

    อาเหนียง...นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแทนตัวเองกับอาเยวี่ยนเช่นนั้น ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นปนคันยุบยิบในหัวใจไม่น้อย แต่ก็คงได้แต่ตอนที่ยังอยู่ด้วยกันสองต่อสองและเขาไม่รู้ความเท่านั้น ถ้าเขาเติบใหญ่ คำแทนตัวเขาที่อาเยวี่ยนจะใช้เรียกเว่ยอู๋เซี่ยนผู้นี้จะต้องเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่คำนี้...

    ขณะกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอาเยวี่ยนก็ยังส่งเสียงอ้อแอ้อืออาฟังไม่ได้ศัพท์ดังมาเรื่อยๆคล้ายกับกำลังชวนเขาร้องเพลง ช่างอารมณ์ดียิ่ง! เว่ยอู๋เซี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ ทั้งยกมือขึ้นจูบเบาๆ ไม่นึกว่าการเฝ้ามองเด็กคนหนึ่งเติบโตจะทำให้เขามีความสุขได้ขนาดนี้

    เนื่องจากน้ำนมเขาเยอะพอควร อาเยวี่ยนกินจนหมดหน้าอกข้างหนึ่งก็ผละออกเพราะอิ่ม ซึ่งเว่ยอู๋เซี่ยนเองก็ไม่ได้คะยั้นคะยอ เขาจับร่างเล็กอุ้มพาดบ่าจนเรอออกมาเบาๆ ก่อนอุ้มกลับไปนอนที่เตียงตามเดิม จัดเสื้อผ้าตนเองให้เข้าที่ จากนั้นก็ได้เวลาที่เขาจะจัดการอาหารเช้าที่สั่งมาเสียที

    ทว่าขณะที่เขากำลังดื่มโจ๊กเนื้อที่เริ่มชืดลงแต่ยังไม่เสียรสชาตินั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นมา เว่ยอู๋เซี่ยนย่นคิ้ว คิดว่าคงเป็นคนที่มาเคาะผิดห้องหรือเสี่ยวเอ้อร์ แต่อาหารเขาได้รับครบตามที่สั่งแล้วนี่ แล้วทำไม?

    คิดเช่นนั้นเว่ยอู๋เซี่ยนจะแสร้งทำเมินเฉยเสีย แต่เสียงเคาะประตูยังดังไม่หยุด สุดท้ายเขาจึงต้องออกไปเปิดประตูรับ ทันทีที่ประตูเปิดออก ชายหนุ่มเบิกตาน้อยๆเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร 

    ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง องคาพยพทั้งห้าหล่อเหลาสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉยดั่งรูปปั้นหยกขาวที่สลักเสลาจากจิตรกรเอก ที่คาดศีรษะลายเมฆ อีกทั้งเสื้อสีขาวพระจันทร์ (สีฟ้าอ่อน) อีกทั้งดวงตาใสกระจ่างดั่งแก้วหลิวหลีไร้ร่องรอยตำหนิใดๆให้มัวหมอง

    "หลานจ้าน..."

    "...เว่ยอิง" เขาเอ่ยเรียบๆ "ที่แท้คนที่อยู่ห้องข้างๆเป็นเจ้า"

    "ก็...แหะๆ" เว่ยอู๋เซี่ยนหัวเราะกลบเกลื่อน พยายามหาวิธีที่จะหลบไปจากสถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนเช่นนี้

    เขาไม่ควรพบหลานจ้าน หลานจ้านก็ไม่ควรพบเขาในสภาพนี้

    "เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?"

    "ข้ามาเยี่ยเลี่ยแถวอี๋หลิงตามคำร้องเรียนของเจ้าเมืองอี๋หลิง"

    "อ๋อ แล้วนี่เจ้าเสร็จงานหรือยัง ถ้ายังเจ้าก็..."

    "ข้าทำเสร็จแล้ว"

    "..."

    "เมื่อคืน...ข้าได้ยินเสียงเด็กร้องจากห้องของเจ้า" เขายังเอ่ยต่อไปดวงตาคู่คมถือวิสาสะมองลอดเข้าไปในห้องด้วย

    "หลานจ้าน หลานเอ้อร์เกอ ไม่สิ เจ้าเป็นหานกวงจวินแล้ว คือ เจ้าอาจเหน็ดเหนื่อยจากภารกิจก็เลยหูฝาดมากกว่า" เว่ยอู๋เซี่ยนว่า ยิ่งหลานวั่งจีเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีพิรุธยิ่ง

    "ไม่" เขาว่าพลางแทรกตัวเข้าไปในห้อง เว่ยอู๋เซี่ยนใจหายวาบเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินตรงไปที่เตียง

    "หลานวั่งจี เจ้าจะทำอะไร!?" เว่ยอู๋เซี่ยนเดินตาม เมื่อไปถึงเตียงก็เห็นอีกฝ่ายยืนนิ่ง มองอาเยวี่ยนที่ยังหลับอยู่บนเตียง

    "หลาน...หลานจ้าน...เจ้า"

    เว่ยอู๋เซี่ยนพยายามหาข้อแก้ตัว แม้จะเตรียมมาดิบดีแล้ว แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอ่ยคำโกหกกับบุรุษที่สามารถสอบสวนได้กระทั่งดวงวิญญาณอย่างหลานวั่งจีได้หรือไม่

    ถ้าหากอีกฝ่ายสังเกตสักนิด ก็คงจะได้ยินเสียงฟันขาวสะอาดเป็นระเบียบของวั่งจีที่กัดดังกรืดกรอด สองมือกำแน่นจนเล็บจิกลงฝ่ามือ คล้ายเห็นเด็กทารกตรงหน้าเป็นศัตรูที่ไม่อาจร่วมโลก

    "เว่ยอิง" กว่าจะเอ่ยออกมาได้ช่างลำบากยากเย็นนัก "เด็กคนนี้คือ..."

    เว่ยอู๋เซี่ยนหัวใจไหลร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม หรือว่าหลานจ้านจะรู้อะไรมา?...ไม่มีทาง เขามั่นใจว่าก่อนที่จะกลับมาที่นี่เขามิเคยเผยพิรุธใดๆทั้งสิ้น และเรื่องที่บุรุษท้องได้ก็เป็นเรื่องเหลวไหลเพ้อฝัน ไม่อาจเป็นจริงได้

    .

    .

    .

    จริงสิ...ในเมื่อมันฟังดูเหลือเชื่อ ก็ทำให้เป็นเรื่องล้อเล่นเสียก็สิ้นเรื่อง

    "เจ้าอยากรู้ใช่หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร" เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ คล้ายขบขันสีหน้าเคร่งเครียดของเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง

    "เด็กคนนี้เป็นลูกข้า ข้าคลอดเขาเองกับมือ เจ้าเชื่อหรือไม่"
  • -3.5 ครึ่งหลัง-

    "เด็กคนนี้เป็นลูกข้า ข้าคลอดเขาเองกับมือ เจ้าเชื่อหรือไม่"

    เว่ยอู๋เซี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มเกลื่อนหน้า สื่อความว่าเขาอยากกลั่นแกล้งหลานจ้านผู้ที่จริงจังไปเสียทุกเรื่องให้โมโหเหมือนเมื่อครั้งอยู่ที่หอตำราแห่งกูซูหลาน ทั้งส่งคำพูดหยอกเย้าก่อกวนทุกวิถีทาง แม้ถูกคาถาปิดวาจาจนแทบหายใจไม่ออกก็ยังเขียนขอร้องกระทั่งวาดรูปเหมือนงอนง้อเขาก็ทำ หนักข้อก็แทรกหนังสือวังวสันต์ไว้ในพุทธคัมภีร์อย่างไม่กลัวบาปกรรม  หวังเพียงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของหลานวั่งจีเขาก็มีความสุข

    แต่วันเวลาเหล่านั้นมิอาจหวนคืนอีกแล้ว...

    หลานวั่งจีไม่หันมามองเว่ยอู๋เซียน ยังคงกำหมัดแน่น หยาดโลหิตสีสดตกลงพื้นห้องอย่างเงียบงัน คล้ายว่าถ้าโทสะยังไม่คลาย เขาจะไม่หันกลับมามองเว่ยอิงให้อีกฝ่ายได้เห็นท่าทีของเขาในตอนนี้เด็ดขาด

    "หลานจ้าน มือเจ้า ไอ้หยา ข้าแค่ล้อเล่น ไม่นึกว่าเจ้าจะคิดเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้!" เว่ยอู๋เซี่ยนว่าพลางแตะมือของหลานวั่งจี เขาพยายามดึงอีกฝ่ายให้หันกลับมามองเขาแต่ไม่เป็นผล  จึงตัดสินใจเดินออกไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์เพื่อขอยาและผ้าพันแผล จากนั้นก็เดินกลับมาดึงวั่งจีให้ออกห่างจากเตียงที่มีอาเยวี่ยนหลับอยู่ สังหรณ์ร้ายอย่างหนึ่งเตือนเขาว่าในเวลานี้หลานจ้านไม่ควรอยู่ใกล้เจ้าก้อนแป้งน้อยของเขา "มา มา มานั่งนี่ ให้ข้าดูแผลหน่อย" 

    เว่ยอู๋เซี่ยนรับกล่องยามาจากเสี่ยวเอ้อร์แล้วโบกมือไล่ให้ออกไปเพราะรู้นิสัยหลานจ้านดีว่าไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับเขามากเกินความจำเป็น เมื่อเห็นฝ่ามือที่ยังกำแน่นเริ่มสั่นเบาๆ เว่ยอู๋เซี่ยนจึงต้องแกะนิ้วของหลานวั่งจีออกทีละนิ้วอย่างทุลักทุเล ใช้ผ้าสะอาดเช็ดเลือดออกแล้วโรยยาสมานแผลไป ปากก็พร่ำบ่นไปด้วย "หลานจ้านนะหลานจ้าน เจ้าก็รู้ว่ามือของเจ้าสำคัญมาก ถ้าไม่มีมือคู่นี้ เจ้าจะดีดฉินจับกระบี่ได้อย่างไร รู้จักรักถนอมร่างกายตนเองเสียบ้าง ร่างกายนี้บิดามารดามอบให้อย่าได้ทำอะไรให้เป็นห่วง..."

    ขณะที่กำลังพันแผลให้อีกฝ่าย มือที่บาดเจ็บนั้นของหลานวั่งจีก็ทาบที่อกซ้ายของเขา เว่ยอู๋เซี่ยนเงยหน้ามองหน้าหลานวั่งจีอย่างตระหนก พลันได้เห็นแววตาที่ระคนเจ็บปวดของเขา

    แววตาเดี๋ยวกับตอนที่หลานจ้านไม่อาจเกลี้ยกล่อมเขาให้กลับไปกูซูพร้อมกันได้

    "หลานจ้าน"

    "...เจ้าก็เช่นกัน รู้ว่ามีคนห่วง จะได้ไม่แบกรับอะไรเพียงลำพังอีก"

    เว่ยอู๋หลุบตาลงต่ำ มีคำพูดมากมายที่เขาอยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้...แต่รับรู้แล้วได้อะไร? ถึงแม้จะรับรู้ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ สู้ปล่อยให้ผ่านเลยไปเสียยังจะดีกว่า "ข้ารู้ แต่ตอนนี้มือเจ้าสำคัญกว่า ดีที่เล็บจิกเข้าไม่ลึกมาก ใส่ยาพันแผลสักสองสามวันพอแผลตกสะเก็ดก็หาย"

    หลานวั่งจีพยักหน้ารับรู้ ก่อนยกมือที่ได้รับการรักษาขึ้นมอง จากนั้นจึงมองไปยังเตียงนุ่ม อาเยวี่ยนนอนอยู่ในส่วนด้านในของเตียง มีผ้าห่มพับทบกันกลิ้งตกเตียง ท่าทางไร้เดียงสาเฉกเช่นกับผู้ที่เลี้ยงดู...เขาเห็นดังนั้นจึงค่อยคลายโทสะลง "เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร?"

    "เด็กคนนี้เป็นลูกของญาติห่างๆของเวินหนิง แซ่เวิน ชื่อเยวี่ยน" เว่ยอู๋เซี่ยนที่เตรียมคำตอบเป็นอย่างดีเอ่ยตอบอย่างร่าเริง ขณะที่เปลี่ยนมาใส่ยาที่มือของหลานวั่งจีิอีกข้าง

    หลานวั่งจีทำสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อสกุลเวิน แต่เว่ยอู๋เซี่ยน

    "..." เขานิ่งเงียบ ไม่ตอบวาจา ในเมื่อเว่ยอิงอยากให้เขาเชื่อเช่นนั้นล่ะก็...

    "ข้าขอโทษนะหลานจ้าน ข้าเล่นไม่เข้าเรื่อง ทำเจ้าเจ็บตัวจนได้" เว่ยอู๋เซี่ยนเกาแก้มแก้เก้อ

    "เรื่องนี้ไม่สมควรล้อเล่น" เขาเอ่ย "อย่าเล่นอีก"

    "ได้ๆ หลานเอ้อร์เกออุตส่าห์เตือนถึงขนาดนี้ เว่ยอิงจะไม่แกล้งอีก" เว่ยอิงเอ่ย ท่าทีเกรงอกเกรงใจดูเสแสร้งจนน่าขัน "ว่าแต่หลานจ้าน เจ้าจะกลับเลยหรือไม่?"

    "...จะอยู่อีกวัน" 

    คำเอ่ยเบาๆของหานกวงจวินทำเอาเว่ยอิงกระพริบตาปริบ คนที่เถรตรงราวกับไม้บรรทัดคนนั้นปกติเมื่องานเสร็จก็จะตรงดิ่งกลับกูซูทันที นี่เขาบอกว่าจะอยู่อีกวัน เขาหูฝาดหรือไม่!? "อีกวัน?"

    "งานเสร็จก่อนกำหนด เลยคิดว่าจะอยู่ที่อี๋หลิงอีกวัน"

    ยิ่งฟังเหตุผลนั้นก็ยิ่งนึกขบขัน เว่ยอู๋เซี่ยนจึงไม่คิดจะทิ้งโอกาสที่จะได้อยู่กับหลานวั่งจีอีก "ดียิ่ง ข้าเองก็จะกลับล่วนจั่งกั่งพรุ่งนี้เช่นกัน อย่างไรเสียเราไปเที่ยวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับ ข้าจะนำทางให้เอง!"

    "อืม..." เขาพยักหน้า จากนั้นจึงปรายตามองที่โต๊ะอาหาร "เจ้าไม่ดื่มเหล้า?"

    "สุราอี๋หลิงเลิศรสไม่เท่าเทียนจึเซี่ยวของกูซูหรอก เลยไม่คิดจะดื่มน่ะ" เขาโกหก ที่ไม่แตะสุราแม้เพียงนิดก็เพราะอาเยวี่ยนหรอก ใครจะอยากให้ลูกอารมณ์ดีทั้งวันเพราะดื่มนมผสมเหล้าที่ไหวเวียนข้นเข้มในกระแสเลือดผู้ให้กำเนิดเช่นเขาล่ะ

    "สุราอู่เหลียงเย่ (สุราที่หมักจากข้าวเหนียว ข้าวโพด ข้าว ข้าวสาลี กลิ่นหอมแรง ใสไร้สี ฤทธิ์แรง) ของอี๋หลิงได้ยินว่ารสเลิศไม่แพ้เทียนจึเซี่ยว ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่เคยลองดื่ม" 

    "เจ้ารู้ได้อย่างไร เคยดื่มหรือ?" เขาตาวาว ใจจริงอยากเห็นหลานวั่งจีเมามายสักครั้ง

    "ในหอตำรามีบันทึกไว้"

    "..."

    "..."

    เว่ยอู๋เซี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็เบ้ปาก เด็กน้อยที่รู้เรื่องเหล้าเพียงนิดริอ่านมาแนะนำเขาเชียวรึ หึๆ 

    "หลานจ้าน..."

    "พรุ่งนี้ถ้าจะมา ไม่ต้องอุ้มเด็กคนนี้ลงไป" วั่งจีเอ่ยเรียบๆ

    "ทำไมล่ะ?"

    "เด็กทารกควรได้รับการพักผ่อน ตากแดดตากลมมากจะไม่สบาย" เขาอธิบาย

    "ต...แต่ว่า"

    "ถ้าเจ้ากังวลเรื่องนม ก็จ้างเด็กรับใช้ป้อนนมแพะให้เขาแทน นมแพะมีสรรพคุณคล้ายกับนมแม่ อย่างไรเสียก็ไม่ทำให้ท้องเสีย"อีกฝ่ายยังอธิบายเกี่ยวกับเด็กไหลลื่นจนเว่ยอู๋เซี่ยนจุปาก

    "หานกวงจวิน หานกวงจวิน นี่ถ้าเราไม่รู้จักกันมาก่อน ต้องนึกว่าเจ้าแต่งงานมีลูกแล้วแน่" เว่ยอู่เซี่ยนเดินวนรอบตัวหลานวั่งจี นี่คือหลานจ้านผู้เย็นชาคนนั้นจริงหรือ?

    "ในหอตำรามีบอก" เขาเอ่ย

    "มีบอกน่ะ ข้าเข้าใจ แต่ทำไมต้องอ่านด้วย?" เว่ยอู่เซี่ยนเอ่ย พลางยิ้มกริ่ม "อา...หรือว่าเจ้าต้องใจเซียนสาวสกุลใดเข้าหรือไม่ ถึงขนาดวางแผนมีบุตรด้วยกันกับนาง"

    "..." วั่งจีหันมามองเขา เอ่ยเสียงเรียบ "ไม่มี"

    "โธ่เอ๋ย จะเล่นตามน้ำกับข้าสักหน่อยก็ไม่ได้" เว่ยอิงยิ้ม "เอาเถอะ เรื่องอาเยวี่ยนน่ะ ข้าจะคิดดูอีกที แต่ไม่รับปากนะว่าจะทำตามที่เจ้าพูด"

    "อืม" เขาพยักหน้า ก่อนมองสำรับที่เย็นชืดหมดแล้ว "กินอิ่มหรือไม่?"

    "เพราะเจ้านั่นล่ะ ข้าถึงกินไม่อิ่ม" อีกฝ่ายทำแง่งอน แต่สุดท้ายก็เผยรอยยิ้มกว้าง "ไม่เป็นไร กับข้าวพวกนี้ ข้าจะ..."

    "สั่งใหม่" เขาเอ่ยเพียงสองคำก็เดินไปที่ประตูเรียกเสี่ยวเอ้อร์มา จากนั้นจึงสั่งอาหาร มีไก่นึ่งราดน้ำมันพริก เต้าหู้หม่าโผว น้ำแกงกระดูกหมูตุ๋นรากบัว ...ล้วนเป็นอาหารที่เว่ยอู๋เซี่ยนโปรดปรานทั้งสิ้น

    เว่ยอู๋เซี่ยนแม้จะยังไม่เข้าใจว่าหลานวั่งจีมาอยู่ที่อี๋หลิงได้ถูกที่ถูกเวลาได้อย่างไร จะบังเอิญหรือว่าจงใจ แต่นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เขารู้สึกดีใจที่ได้พบคนรู้จัก...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Huhu Eiei (@fb4488579790571)
แค่อ่านบทแรกก็ชอบแล้ว สู้ๆนะคะ ติดตามอยู่ค่ะ
Praew Warattaya (@fb1021105957031)
คือไม่รู้จะว่ายังไง แต่อ่านแล้วอัดอั้นตันใจมากเลยค่ะ แบบรู้สึกเสียใจไปพร้อมๆกับเว่ยอิง บางทีชีวิตมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ต้องการ เรื่องลูกที่เริ่มจากความรังเกียจจนตอนนี้คือรัก บางทีนี่อาจจะเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญยิ่งกว่าว่าใครจะอยู่เคียงข้างทั้งที่ไม่ได้ต้องมีส่วนได้เสียอะไร แล้วเว่ยอิงจะยืนหยัดเพื่อลูกได้แค่ไหน เป็นกำลังใจให้นะคะ จะติดตามอ่านค่ะ