เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
NCT’s Mark Lee on Dreams, Instagram Poetry, and Growing Upyusavedmyheart
มุมมอง มาร์ค ลี กับความฝัน บทกวีอินสตาแกรม และการเติบโต
  • ADVERTISEMENT

    มาร์คมีหลายเรื่องให้จัดการ — แต่เขาเผื่อเวลาให้สำหรับบทกวี การใคร่ครวญ และแน่นอน สมาชิกของ NCT Dream.


    Source: NCT’s Mark Lee on Dreams, Instagram Poetry, and Growing Up

    T/N: เราแปลเองนะคะ แปลเองเพราะประทับใจกับบทสัมภาษณ์นี้ของมาร์คจริงๆ หวังว่าคนที่สนใจมาอ่านแล้วจะประทับใจในตัวมาร์คเพิ่มมากขึ้นด้วย อ่านดูค่ะ เราค่อนข้างจะแปลตรงตัวไม่ได้ย้ายโครงสร้างประโยคอะไรมาก คงสารไว้เหมือนเดิมตามต้นฉบับแน่นอนค่ะ

    *ยังไงตรงที่ตัวหนังสือเป็นสีๆ คือแนบลิ้งค์ไว้นะคะว่ามาจากไหน ลองกดไปดูได้ค่ะ เราแนบไว้ตามที่ต้นฉบับแนบอ้างอิงไว้ให้เลย ดีมากจริงๆค่ะ :)


    “ช่วงนี้ผมคิดเกี่ยวกับความฝันเยอะมากครับ!” มาร์ค ลี แสดงความตื่นเต้นผ่านแอป ซูม จาก HQ ที่โซล ของ เอส เอ็ม เอนเตอร์เทนเมนต์

    หัวหน้าวงอายุ 21 ปี ของ NCT Dream นั้นช่างกระตือรือร้นเหลือเกินขณะที่เขากำลังเจื้อยแจ้วเกี่ยวกับความหมายของ "ฝัน" ด้านหลังของเขาติดกับผนังดอกไม้สีเหลืองและชมพูที่ประดับไว้โดยสมาชิกวง NCT ของเขานั่นเอง เขาอยู่ในเสื้อสีขาวธรรมดาๆ และเมื่อเขายกกวาดมือไปมา คุณอาจจะส้งเกตได้ถึง "แหวนมิตรภาพ" ที่สมาชิกวง NCT DREAM ทั้ง 7 คนใส่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา

    ผมว่าความฝันเนี่ย เป็นส่วนประกอบที่ใหญ่มากของชีวิตเราเลยนะ ไม่ใช่แค่ฝันที่เราทุกคนมีเวลาหลับด้วย" เขาว่าต่อ "ถ้าความฝันเป็นสิ่งที่ผลักดันเรา หรือขับเคลื่อนให้เราไปต่อเรื่อยๆ ด้วยเนี่ย แล้วด้วยความที่ผมเป็นคนที่มีแรงขับเคลื่อนด้วยแล้วนะ ผมว่า... คนที่ไม่มีความฝันมันค่อนข้าง..." เขามองขึ้น ครุ่นคิด "...เหมือนรถที่ไม่มีเครื่องยนต์น่ะ เพราะงั้นผมว่ามันสำคัญพอๆ กับตัวเราเลย ผมมองความฝันลึกขนาดนั้นเลยแหละ"

    (เราละตรงนี้ไปนะคะ กดอ่านตามลิ้งค์ต้นฉบับได้เลย แค่พารากราฟเดียวเท่านั้นค่ะ)

    คอนเซปต์วัยรุ่นแรกเริ่มของ NCT Dream นั้น ทำให้เมมเบอร์ควรจะต้อง "จบการศึกษา" เมื่อถึงอายุที่กำหนด และในฐานะที่โตที่สุด มาร์คเป็นคนแรกที่จะต้องออกจากวงในปลายปี 2018 แต่แฟนๆที่โตมาด้วยความผูกพันต่างก็ใจสลายไปตามๆ กันในปีที่เขาต้องจากไป; หลังจากแยกกันไปได้หนึ่งปี SM ก็ได้ประกาศยกเลิกระบบจบการศึกษาให้สิ้นและมาร์คจะได้กลับมาอยู่กับวงอีกครั้ง และอัลบั้มใหม่ Hot Sauce ก็เป็นอัลบั้มแรกที่มีมาร์คในรอบสองปีเลยทีเดียว อย่างที่สมาชิกวงเดียวกัน แฮชานให้สัมภาษณ์กับ Teen Vogue เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า "มาร์คพิเศษมากๆ NCT DREAM หมายความว่า มาร์ค"

    แต่ก่อนที่เขาจะมานำทีม NCT DREAM และก่อนที่เขาจะมาร่วม NCT U และ NCT 127 และ SuperM — ใช่ คนต้องการตัวเยอะหน่อยนะ — ความฝันวัยเด็กของมาร์คคือการเขียน เขาเติบโตในโตรอนโต้ และค้นพบอย่างรวดเร็วว่าตัวเองนั้นมีความสามารถในการเขียนผ่านการเขียนรายงานที่โรงเรียน หรือการเขียนเรียงความ ด้วยแรงบันดาลใจจาก Rick Riordan ผู้แต่ง Percy Jackson Harry Potter และ James Patterson มาร์คจึงใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียนมาเนิ่นนานก่อนที่ SM จะทำการคัดเลือกเขาจากการออดิชันที่แคนาดาในปี 2012 ด้วยซ้ำ “ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ ผมมักจะเป็นคนที่เขียนออกมาเยอะกว่าที่คิดไว้เสมอ และนั่นก็เป็นสิ่งที่คลิกผมเลย" เขากล่าว "ผมก็คิดว่า 'หรือมันอาจจะเป็นสิ่งที่ฉันทำออกมาเองตามธรรมชาตินะ' แต่ตอนหลังมันก็กลายเป็นการแต่งแรปไปด้วยเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นผมว่ามันคงเข้ากันได้ดีมั้ง" นั่นอธิบายเส้นทางนักแต่งเพลงที่เต็มไปด้วยผลงานของเขา เขาสะสมเครดิตการแต่งเพลงให้หลากหลายวงในเครือไปกว่า 30 เครดิต มีส่วนร่วมในเพลงแสนไอคอนิคอย่าง “Boss” จาก NCT U NCT 127’s “Cherry Bomb,” และ NCT Dream’s“Chewing Gum.”

    แม้ว่าจะมีงานจะล้นมือจนทำไม่หมด อย่างไรก็ตาม การจรดปากกาเขียนเพลงยังไม่สาแก่ใจในการแสดงออกทางด้านวรรณกรรมของเขา ในบทสัมภาษณ์กับนิตยสารญี่ปุ่น Men’s Non-No เขาได้เผยว่า เขายังหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เขียนหนังสือสักเล่ม จะเป็นนิยาย อัตชีวประวัติ หรืออะไรที่ค่อนไปทางปรัชญาขึ้นก็ได้

    ในขณะเดียวกัน เขาก็หันมาเขียนสิ่งที่อาจะเรียกได้ว่าเป็นบทกวีสั้นๆบน อินสตาแกรม ของเขา ซึ่งเพิ่งสร้างได้ไม่กี่เดือนก่อนนี่เอง ขณะนั้นเขามีจำนวนผู้ติดตามกว่า 4.5 ล้าน แต่การมีผู้ชมที่มหาศาลขนาดนั้นไม่ได้ทำให้เขาเลิกอ่อนไหวอย่างน่าเอ็นดูกับวิธีการเขียนของเขาแต่อย่างใด เพราะพอเราเรียกสิ่งนี้ว่าบทกวี มาร์คก็หัวเราะและดูเขินๆ แต่เมื่อเราขอให้เขาเล่าเรื่องราวเบื้องหลังบทกวีพวกนั้น เขาก็กลับมากระตือรือร้นอีกครั้ง มันสั้นแต่พาให้เราไปสัมผัส มาร์ค นักเขียน ได้แบบคร่าวๆ — เฉียบคม ใฝ่รู้ และ รอบคอบ สำหรับงานเขียนแล้ว มันอาจยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความซื่อตรงอันเป็นลักษณะเด่นของมาร์คนั้นเฉิดฉายออกมา ส่องให้เห็นมุมนักคิดและปรัชญาที่เราไม่สามารถเห็นได้เพียงใช้ตาเปล่าจากคนคนหนึ่ง

    บทกวีแรกของเขา ตั้งชื่อไว้อย่างคร่าวๆ ว่า “Late Night Scribbling,” ประกอบกันขึ้นมาจากความคิดรำพึงรำพันของเขาเกี่ยวกับการนอนหลับ ความคิด ความรู้สึก และการเขียน หักเลี้ยวลดจากประเด็นหนึ่ง ไปประเด็นถัดไป โฉบเฉวียนระหว่างความรู้แห่งความหวัง และความสิ้นหวัง ก่อนที่จะจบอย่างติดตลกแบบเจื่อนๆ “ฮ่าๆ”

    “จริงๆ แล้วผมเขียนมันโดยจินตนาการว่าจะจัดการหน้าอินสตาแกรมของผมยังไงดี” เขาอธิบาย “ตอนนั้นผมคิดว่าจะสร้างอินสตาแกรม แล็วก็นึกได้ว่า เออ เราก็ไม่ใช่คนชอบถ่ายรูป แล้วเราก็ไม่ใช่สายเที่ยวด้วย... ผมศึกษาตัวเองก่อนว่าเราเป็นใคร แล้วก็(ถามตัวเองว่า) 'เราจะแสดงอะไรออกมาให้รู้สึกใกล้ชิดกันได้บ้าง' และมันก็ออกมาเป็นการเขียนครับ‘

    “ผมเริ่มระดมความคิดว่าผมเขียนหัวข้อไหนได้บ้าง และจากจุดนั้นมา ผมก็เริ่มเขียนทีละนิด ทีละน้อยในทุกๆ คืน และมันก็กลายมาเป็น Late Night Scribbling,” เขาว่าต่อ “นั่นทำให้ผมกล้าเปิดอินสตาแกรมตั้งแต่แรกเลยครับ งานเขียนชิ้นนั้นน่ะ”

    สองสัปดาห์ต่อมา เขาสานต่องานชิ้นนั้นด้วย “Black Socks,” บทกวีตามอำเภอใจถึง... ก็... ถุงเท้าสีดำนั่นละ — ประกอบด้วยภาพของเขาขณะใส่ถุงเท้าที่ว่า ทันใดนั้น เรารู้สึกถึงความมั่นใจและความเชื่อมโยงของเรื่องที่เพิ่มขึ้นจากบทกวีก่อนหน้า เขาอุปมาอุปไมยถุงเท้าสีดำเรียบสนิทกับแนวคิดการใช้ชีวิตของเขา:


     “Pleasure from perfect alignment; That also goes for my ability to be parallel with my thoughts and actions; I try to live out what’s in my mind, and keep it consistent even when forgotten like a working habit.”


    ความคิดเห็นบนโพสต์นั้นต่างชื่นชมและชวนให้เขาแชร์งานเขียนเล็กๆ เหล่านี้ออกมาอีกเรื่อยๆ บนเวที มาร์คสวมบทบาทที่มั่นใจและน่าประทับใจ แต่ใน vlogs และการพูดคุยเพื่อสัมภาษณ์ เขากลายเป็นตัวละครที่แสนร่าเริงสดใสเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสน่ห์แบบเด็กหนุ่ม สิ่งที่เราเห็นได้จากบทกวีของเขาก็คือ ภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอกทั้งหลายนั้น มีชั้นของความซับซ้อนที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบอยู่ และการที่แฟนๆสนใจใครรู่มากขึ้น ก็คงไม่น่าแปลกใจเลย

    ทำงานประจำเป็นไอดอลเกาหลีแบบนี้ทำให้เขาแทบจะไม่มีเวลาให้งานอดิเรกเลยแท้ๆ แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดที่ไม่ค่อยได้เขียนอะไรมากนักในช่วงนี้ และถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ยังยืนยันว่าอยากที่จะทำอาชีพในสายงานนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “ผมมุ่งในเรื่องของการทำไปนานๆ มาตลอด” เขาบอก “ผมตั้งใจจะทำตรงนี้ไปนานๆ แต่มันก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ซึ่งผมยอมที่จะท้าทายสิ่งนั้นและพยายามจะอยู่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ แต่ต้องมีคุณภาพนะ”

    การที่เขาแสดงออกว่าเน้นคุณภาพเป็นหลักแบบนั้นทำให้เรารับรู้ถึงการโปรโมตในภายภาคหน้ากับ NCT DREAM ที่เราจะได้เห็นแน่ๆ

    ทั้งในโลกสมมติของพวกเขาและของเรา NCT Dream เป็นจุดศูนย์กลางของ NCT ด้วยเป้าหมายที่แตกต่าง ซึ่งคือการโฟกัสที่การเติบโต — สมาชิกทั้งเจ็ดคนอายุเพียงระหว่าง 14 และ 17 เท่านั้น ณ ขณะที่เดบิวต์ในปี 2016 กดข้ามมาอีกห้าปีต่อมา พวกเขาก็อายุ 19 ถึง 21 กันแล้วโดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อต้นปีที่น้องเล็กจีซองได้บรรลุนิติภาวะอย่างเป็นทางการในเกาหลี แต่พอเราถามว่า แล้วเขาล่ะรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่บ้างหรือยัง มาร์คก็ให้คำตอบที่เราเข้าใจได้ทุกคนแบบไม่ลังเลเลย

    “ผมยังรู้สึกเหมือนอยู่ม.ต้นอยู่เลย ผมจะว่าตามตรงเลยนะ นี่สาบานกับพระเจ้าเลย ผมว่าผมน่ะ... ก็ได้! ขยับขึ้นมาก็ได้ — ผมรู้สึกเหมือนผมอยู่ม.ปลายอะ!” เขาหัวเราะ “ผมคุยเรื่องนี้กับจีซองไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะเขาเป็นคนสุดท้ายที่บรรลุนิติภาวะ เขาบอกผมว่าเขายังรู้สึกเหมือนเป็นนักเรียนอยู่เลย ตอนนี้ไม่รู้สึกเหมือนคนอายุ 20 (19 ในอายุสากล) เลย”

    กว่าที่เมมเบอร์ทั้งเจ็ดคนจะได้มาออกอัลบั้มร่วมกัน — มาร์ค เหรินจวิ้น เจโน่ แฮชาน แจมิน เฉินเล่อ และจีซอง — มันก็นานเหลือเกิน และในฐานะที่เป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกตั้งแต่เดบิวต์มา แฟนๆ ก็ต้องคาดหวังอย่างมากแน่อยู่แล้ว ตัวมาร์คเองก็ได้พูดถึงในหลายๆ vlog ว่าเขาเชื่อว่าคัมแบ๊คนี้สำคัญแค่ไหน และ มันก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นในทุกครั้งที่มาร์คพูดเรื่องนี้

    “เราทุกคนมานั่งคุยกันครับ เราทั้งเจ็ดคนเลย แบบไม่มีกล้องหรืออะไรเลย ผมพาพวกเขาทุกคนมาด้วยกัน และเราก็นั่งคุยกันก่อนที่อารมณ์ทั้งหมดจะมา และผมก็บอกไปว่า ผมยินดีพร้อมที่จะเทหมดหน้าตักให้กับสิ่งนี้ แบบ... เมื่อก่อนผมมักจะ... แต่ผมรู้สึกว่า... ทั้งจักรวาลนี้... ไม่ก็แบบ— ” เขาหยุดพูด พยายามหาวิธีสื่อสารสิ่งที่คิดออกมา และประโยคต่อไปของเขาเป็นสิ่งที่หนักแน่นที่สุดตั้งแต่เริ่มสัมภาษณ์มา “มันมีหลายสิ่งเลยนะที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราสามารถมองเห็น และสัมผัสได้เวลาที่ชิ้นส่วนมันมาประกอบเข้ากันได้ดีใรบางคราว และผมว่าช่วงเวลานี้แหละ อัลบั้มนี้แหละ มันมีชิ้นส่วนที่ขาดไม่ได้เหล่านั้นอยู่

    มาร์คนึกถึงเรื่องที่เกิดระหว่างช่วงเตรียมการคัมแบคนี้: พัฒนาการของวง การกลับมารวมตัวของสมาชิก 7 คน สเกลของอัลบั้ม และการที่จีซองเพิ่งหายจากการบาดเจ็บที่ทำให้เขาเต้นไม่ได้ไปหลายเดือน — แม้กระทั่งการที่ปี 2020 เป็นปีที่ดีที่สุดของ NCT เท่าที่เคยมีมา ด้วยการออกเพลงแล้วเพลงเล่าจนทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จและกระแสอย่างเป็นประวัติการณ์

    “ผมรู้สึกได้ว่า มาแน่ และผมก็อธิบายทั้งหมดนั่น(ให้ในวงฟัง) ว่า” เขาพูดต่อ “ช่วงเวลาทั้งหมดนี้มีความหมายในนั้นมากๆ และเราไม่ได้ปล่อยเวลาไปเฉยๆ ด้วย เราทำงานกันหนักมาก” ด้วยทุกอย่างที่ผ่านมานั้น Hot Sauce ถือเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของ NCT Dream ซึ่งพิสูจน์มาแล้วด้วยตัวเลข — อัลบั้มมีสถิติการพรีออเดอร์กว่า 1.7 ล้านยอด ทุบสถิติก่อนหน้า ที่ทำได้ถึง 500,000 อัลบั้มสำหรับอัลบั้มในปีที่แล้ว Reload

    การที่ใช้ชีวิต ทำงาน และเติบโตด้วยกันมาหลายปีนั้นเป็นตัวบ่มเพาะสายสัมพันธ์ดั่งครอบครัวและความสำเร็จที่มาพร้อมกันนั้นเอง เหล่าสมาชิกต่างพลาดโอกาสสำคัญๆ หลายๆ โอกาสที่วัยรุ่นส่วนใหญ่มักหลงลืมความสำคัญไป ด้วยความที่ชีวิตพวกเขาต่างจากชีวิตวัยรุ่นทั่วไป ทำให้พวกเขาไม่ค่อยยึดติดกับธรรมเนียมเรื่องอาวุโสตามวัฒนธรรมเกาหลีอย่างน่าฉงน ผลลัพธ์ที่ได้คือความเป็นพี่น้องที่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน "พวกเราใกล้ชิดระหว่างกันมาก และมันคือของจริง" มาร์คพูด

    ในด้านของบทบาทของเขา เขาเป็นคนไม่ถือสาอะไรใคร “ถ้าดูๆ แล้ว ผมเป็นกระสอบทรายที่ใกล้มือที่สุดสำหรับคนในวงแล้วละ แต่ก็... ไม่ได้เดือดร้อนนะ..." เขาหัวเราะ "แต่ว่ากันตามตรง ผมว่าบทบาทของผมในทีมเนี่ย... ใช่ ผมโตที่สุด และผมเป็นหัวหน้า แต่ก็... ในเกาหลี โดยตัววัฒนธรรมเนี่ย อายุมันสำคัญมากนะครับ แต่เรามากันไกลมากจนขอบเขตตรงนั้นมันเลือนหายไปหมดแล้วและเราก็นับกันเป็นเพื่อนกันหมด และผมว่าผมก็เป็นเพื่อนสำหรับคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน"

    ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้า แต่ก็จริงอยู่ที่ว่า การที่เขาควบคุมดูแล(คนในวง)ด้วยบุคลิกที่แสนเป็นมิตรและท่าทางเลิ่กลั่กที่น่าเอ็นดูแบบนั้น อำนาจเขาก็ไม่ค่อยต่างกับลูกหมาน้อยเท่าไร แต่จริงๆ เขาก็ได้รับความรักและการเอาใจใส่มากล้นราวกับลูกหมาจริงๆ ด้วยซ้ำ (เฉินเล่อ สมาชิกในวง เรียกมาร์คว่าลูกชายของเขา และน้องหมาจริงๆของเขาที่ชื่อ แดกัล ก็เป็นน้องสาวของมาร์ค) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นหัวหน้าที่พึ่งพาไม่ได้ ตรงกันข้ามเลยต่างหาก — ตามที่เหรินจวิ้นพูดไว้ การมีอยู่ของมาร์คช่วยรวมทุกคนเป็นหนึ่ง แบบที่ไม่มีใครมาแทนที่มาร์คได้เลย

    แม้ว่าตั้งแต่เดบิวต์มา นี่จะเป็นปีที่ 5 แล้วก็จริง เป็นระยะเวลาที่ค่อยข้างใหญ่ แต่สมาชิก NCT DREAM ก็ยังคงเด๊ก เด็ก — เทียบกับมาตรฐานส่วนใหญ่แล้ว พวกเขายังถือว่ามีเส้นทางในอนาคตอีกยาวไกลมาก การเติบโตได้พาพวกเขามาถึงจุดนี้ แล้วมาร์คล่ะ คิดว่าการเติบโตจะพาพวกเขาไปถึงตรงไหนในอนาคต

    “สำหรับเราแล้ว การเติบโตมันไม่เคยหยุด ผมว่าเราจะยังเติบโตกันอีกเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุดด้วย” เขาตอบ “อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้่น เราไม่มีทางรู้ได้ แต่เราก็พยายามจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และไม่ว่าตอนนี้เราจะมีเวลาเท่าไร ไม่ว่าจะกับอัลบั้มไหน จะเวทีไหน หรือผลงานดนตรีชิ้นไหนก็ตาม เรามีความตั้งใจที่จะยืนยันว่ามันต้องมีชิ้นต่อๆ ไป ออกมาให้ได้ด้วย"

    และความเห็นสุดท้ายก่อนลา “ผมดีใจที่เรามุ่งมั่นแบบนั้นนะ เพราะเราเริ่มต้นกันมาแบบ..." มาร์คส่ายหัวของเขา "...แบบเด็กเลยอ่ะ"

    Hot Sauce วางแผงแล้ววันนี้


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
skeletonflowerw (@skeletonflowerw)
งื้อตัวเองงงงง ขอบคุณสำหรับการแปลนะคะ เราชอบมาก น้องมาร์คทำให้เรามีแรงบันดาในหลายๆ เรื่อง น้องใช้ชีวิตสมกับการเป็นไอดอล เป็นแบบอย่างให้เรา น้องส่งพลังที่มีค่าให้เรา ในวันที่เราท้อ น้องเป็นหนึ่งแรงสำคัญที่ช่วยให้เราพ้นไปในแต่ละวัน บทความนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เราซึ้งมากกกกกกกก ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่มาแบ่งปันสิ่งดีๆ