เมื่อเห็นว่างานข้างหลังร้านนี้ไม่มีอะไรแล้วฉันควรไปยืนต้อนรับลูกค้าที่หน้าร้าน สักพักพวกเพื่อนร่วมงานส่วนที่รับผิดชอบงานข้างหลังร้านก็หมดหน้าที่ตรงนั้นพากันมาอยู่ตรงข้างหน้า บริเวณใกล้ๆกับฉันซึ่งใกล้พอที่ฉันจะเป็นส่วนหนึ่งในบทสนทนาของพวกเขาได้ พวกเขายังคงคุยกันถึงเรื่องปัญหานั้นอยู่ช่างดีเสียจริง พวกเขาดูเหมือนกับรู้จักกันมานาน เข้าใจกันโดยง่าย ฉันคิดเพื่อนร่วมงานคนที่ทุกข์ใจเล่าปัญหาของเขาได้อย่างเต็มที่เพราะมีคนรับฟังเขาสามารถระบายมันออกมาได้แบบไม่ต้องอาย
.../
ฉันที่ยืนหูฟังเรื่องราวไปด้วยอย่างเงียบๆพร้อมกับดูลูกค้าไปด้วย บางที่เรื่องของคนอื่นมันก็ทำให้เรานิสัยเสียไปได้ง่ายๆ ทำให้ตอนนี้ไม่ได้โฟกัสอย่างใดอย่างหนึ่งแบบเต็มที่ฉันรับรู้ได้ว่าเพื่อนร่วมงานค่อยๆดีขึ้นและธีร์คนที่รับฟังได้ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีอย่างยอดเยี่ยม ต่างกับฉันนี่ขนาดว่าเขาไม่ได้เรียนการให้คำปรึกษามาเหมือนกัน เขายังดูมีสติกว่าฉันฉันคิดอยู่กับตัวเอง และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกไป
“ แกเป็นผู้ฟังที่ดีมากเลย ” เขาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ฉันรับรู้ได้ผ่านหน้ากากนั่น ก็คงแปลกแหละก็ฉันพูดออกไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนั้น “ เอ่ออ อันนี้เล่นหรือว่าจริงจังเหรอ ” ธีร์ถามกลับมา “ จริงจริง ” ฉันเน้นเสียง ฉันหมายความตามนั้นจริงๆ เขาหายสงสัยและกลับไปสนทนากันต่อฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วเหมือนกัน
อันที่จริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะแปบเดียวฉันยังประทับใจไม่หายเลย แน่นอนว่ามันอาจจะรวดเร็วไปฉันเก็บความประทับใจนี้ไม่ไหวจนต้องโทรไปเล่าให้เพื่อนฟัง..แม้ว่าความประทับใจนี้จะเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว แบบที่ฉันไม่ได้เห็นใบหน้าของเขาก็ตามฉันไม่สนใจหรอกว่าหน้าตาของเขาจะเป็นยังไงแค่ครึ่งบนของใบหน้ากับท่าทีของเขาก็เพียงพอแล้วที่ฉันเกิดความรู้สึกนี้ขึ้น ทำไมมันเกิดขึ้นไวขนาดนี้
ฉันนึกย้อนกลับไปในวันแรกๆมันเริ่มจะเลือนลางๆไปบ้าง แต่กับบางเรื่องที่มีความรู้สึกอยู่ด้วยฉันกลับจำมันได้แม่น
“ เบลหวัดดี วันนี้มาถึงกี่โมงหรอ ” ธีร์ทักทายพร้อมท่ายกมืออีกเช่นเคย “ หวัดดี มาเลทไปครึ่งชั่วโมงน่ะ ” ใช่วันนี้ฉันมาสาย เพราะฉันดันลืมเปิดเสียงนาฬิกาปลุกนะสิ “ ทำไมถึงรู้ว่ามาสาย ” ฉันถามกลับ “ เอ่อ ก็ไม่เห็น ” เขาไม่เห็นหรือ เขานี่ก็ช่างสังเกต..ทว่าฉันได้ยินเพื่อนร่วมงานหญิงบอกว่าเมื่อเช้าเขามีประชุมกันแสดงว่าทุกคนร่วมตัวกันและคงมีแค่ฉันที่มาไม่ทันประชุม ธีร์จึงรู้ว่าฉันมาสายและคำถามนั้นก็เป็นการทักทายตามมารยาท ฉันประติดประต่อเรื่องราวขึ้นเอาเอง
.../
.../
วันที่ฉันต้องกลับไปเอาของใช้บางส่วนจากที่บ้านฉันจำเป็นจะต้องลางานเพื่อการเดินทางครั้งนี้ความสบายใจเกิดขึ้นกับฉันจนไม่ได้ตั้งตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้และมันก็เป็นเช่นนั้นเสียจริงด้วย วันที่ฉันกลับมาทำงานตามปกติพี่ๆที่เจอฉันต่างบอกกับฉันว่า “ เพื่อนออกกันหมดแล้ว ” “ เหลือแค่เบลคนเดียวแล้ว ” ฉันรู้ดีว่ามันไม่ใช่ประโยคเยาะเย้ยว่าฉันไม่มีเพื่อนแต่เขาคงเข้าใจความรู้สึกคนในวัยฉันมากกว่า ว่าการมีเพื่อนรุ่นใกล้เคียงกันมันมันคงเข้าถึงกันได้ง่ายหากไม่มีเพื่อนแล้วนั้นคงเกิดความว้าเหว่ขึ้นมาได้ อะไรทำนองนั้น
เขาไม่มาแล้วหลังจากวันนี้ ถ้าฉันรู้ว่าเขาไม่มาแล้วฉันคงไม่กลับบ้านแน่นอน อย่างน้อยฉันยังมีเวลาทำความรู้จักเขาให้มากกว่านี้ ฉันยังจำตอนสุดท้ายที่ฉันเห็นเขาได้ตอนอยู่ในร้านก่อนที่ฉันจะกลับบ้าน ฉันเดินเข้าไปบอกเขาที่กำลังเช็ดของอยู่ในร้าน
“ วันนี้เรากลับก่อนนะ ต้องกลับบ้านหน่ะ ” “ โชคดีนะ ” เขาตอบกลับมาฉันมองเห็นตาของเขาเล็กลงเขายิ้มหรือเปล่านะ ไฟในร้านเป็นแสงสลัวๆไม่สว่างมากนักฉันที่สายตาสั้นจึงไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น ฉันคิดไปว่าเขาคงยิ้มอยู่ภายในหน้ากากนั่นนี้คือสิ่งสุดท้ายของเขาที่ฉันจำได้
หลายวันถัดมาพี่ๆเข้ามาตั้งคำถามนี้กับฉันเพื่อย้ำความแน่ใจ “ ธีร์ไม่มาแล้วเหรอ ” “ ไม่รู้เหมือนกัน ” เป็นคำตอบเดียวที่ฉันมีในตอนนี้ ให้ตายสิ ฉันควรทำอย่างไรดีไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงไม่มา.. ใช่แล้วผู้จัดการ ผู้จัดการรู้แน่ว่าทำไมแต่ติดตรงที่ผู้จัดการไม่ได้อยู่ที่ร้านเพราะต้องไปดูแลสาขาอื่นชั่วคราวแล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะ กว่าผู้จัดการจะกลับมาก็อีกหลายวัน ฉันคิดเรื่องนี้อยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้ฉันรู้ว่ามีอีกทางหนึ่งที่สามารถรู้ตอบได้ว่าทำไมเขาถึงไม่มา บัตรเข้าออกงาน ที่บัตรนั่นมีเบอร์โทรศัพท์ของทุกคนเขียนไว้
ฉันลังเลอยู่สักพัก แต่ก็ตัดสินใจโทรไป
.../
ใช่แล้วล่ะตอนนี้ฉันกลายเป็นคนว่างงาน ส่วนธีร์ฉันก็ไม่ได้ติดต่อเขาไปอีกเลยหลังจากได้รับคำตอบในวันนั้น ฉันเพียงแต่แจ้งให้พี่ๆในร้านคนอื่นได้ทราบเหตุผลเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะติดต่อไปอีก ชีวิตหลังจากเลิกใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ฉันก็คงกลับไปหางานใหม่ทำ และใช้ชีวิตแบบที่เคยเป็นมาแต่คงไม่มีอะไรเหมือนเดิมทั้งหมดดูเหมือนว่าสังคมเมื่อเจอโรคระบาดแต่ละอย่างต้องเปลี่ยนแปลง ปรับตัวกันต่อไปเพื่อความอยู่รอด
ฉันควรอยู่ให้ได้เช่นกัน แม้ว่าบางเรื่องราวที่เจอมาฉันอยากกลับมาเล่าให้เขาฟังฉันอยากฟังเรื่องราวของเขาอยู่ก็ตาม เหมือนกับว่าเวลาในช่วงที่มีธีร์เข้ามาเป็นฝันดีที่แทรกเข้ามาคั้นกลางฝันร้ายในยามค่ำคืน และผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ความรู้สึกยังคงค้างคาอยู่นี่สินะที่เขาพูดกันว่า เวลาช่างผ่านไปเหมือนกับความฝันฉันเข้าใจประโยคนี้ขึ้นมาในทันใด ถึงเวลาที่ต้องเผชิญโลกแห่งความจริงฉันเข้าใจและยอมรับมัน..
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in