เสียงเพลงป๊อบตามสมัยนิยมฟังรื่นหูดังออกมาจากวิทยุภายในตัวรถเบาๆ
แอรอนนั่งขมวดคิ้วอยู่ในรถตลอดทางขณะที่พวกเขากลับมาจากเฟธเวลส์ เขามองเครื่องอัดเสียงในมืออย่างครุ่นคิด อลิเซียไม่พูดอะไรมากนัก เพียงแค่หรี่ตามองทางข้างหน้าที่มืดทึมเพราะหมอกหนาจัดและพุ่มไม้ดำทะมึนเรียงรายรอบทาง ไฟตัดหมอกสีเหลืองซีดสะท้อนแสงสลัวกับไอน้ำ สภาพบรรยากาศดูเข้ากับเพลงในวิทยุที่ส่งเสียงคลอแผ่วเบา เธอหันมามองทางเขาเป็นระยะๆ อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดออกมา ท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด แอรอนถอนหายใจออกมาในที่สุด
“ผมไม่เข้าใจเขาเลย”
อลิเซียเหลือบมองใบหน้าของเขา เหมือนจะรอให้เขาพูดต่อ เธอไม่ต้องถามหรอกว่าเขาหมายถึงใคร ก็มีเพียงคนเดียวนั่นแหละ
“เขาดูปกติมาก”
“คนเราดูจากตาเห็นไม่ได้หรอกค่ะ” อลิเซียพูดเสียงอ่อน เหมือนจะเห็นใจเขาอยู่หน่อยๆ “ฉันเองก็แทบไม่เชื่อว่าเขายอมปริปากพูดกับคุณ แทบไม่เคยมีใครทำสำเร็จ”
แอรอนสะดุดใจขึ้นมา “หมายความว่า…แชนดเลอร์เคยส่งคนมาก่อนหน้านี้แล้ว?”
อลิเซียเลี้ยวหักหลบอะไรสักอย่างที่ตัดหน้ารถไป ดูเหมือนจะเป็นกระต่าย “ ใช่สิคะ คุณไม่ใช่คนแรกหรอก แต่ก็อย่างที่ว่า – พวกเขาขอย้ายไปทำงานอื่นแทน”
“ผมไม่สงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงย้าย นาย 102 นี่น่าขนลุกอยู่เหมือนกัน”
อลิเซียหัวเราะเบาๆในลำคอ แอรอนหรี่ตามองภาพเบื้องหน้า ถนนใหญ่เริ่มปรากฏให้เห็นในคลองสายตา ในที่สุดก็ผ่านพ้นป่าสยองขวัญนั่นเสียที “คุณพึ่งบอกฉันว่าเขาดูปกติ”
ชายหนุ่มลังเลว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่ เขาเลือกที่จะเก็บข้อมูลบางส่วนไว้กับตัวเองแทน
“แหงสิครับ นี่ฆาตกรโรคจิตนะ” แอรอนพูดแก้ “เขาดูบ้าๆบวมๆพิลึก แถมวิธีการพูดของเขานี่ เหมือนลอก ฮันนิบาล เลคเตอร์* มายังงั้นแหละ”
“เราคงต้องรอดูกันล่ะค่ะ” อลิเซียพูด สีหน้าของเธอมีเงามืดพาดผ่าน ดูเคร่งขรึมขึ้นมาชั่วทันใด “ฉันหวังว่าคุณจะไม่โดนเขาปั่นหัวเหมือนคนอื่นๆ”
แอรอนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ รู้ว่านัยน์ตาตัวเองต้องโตเท่าไข่ห่านแล้วแน่ๆในตอนนี้ ‘ปั่นหัว’ ในใจเขาประหวัดนึกถึงคลิปวิดิโอเพนกวินแกล้งกันเองที่เคยดูเมื่อนานมาแล้ว เปรียบเทียบกับหนังแนวสยองขวัญสั่นประสาทที่นาธานชอบลากเขามานั่งดูด้วยตอนดึกๆดื่นๆ
หมายถึงปั่นหัวประเภทไหนกันแน่
++++++++++++++
“คุณจะบอกผมว่า ไปมาตั้งนาน สัมภาษณ์ได้แค่นี้?”
แชนดเลอร์พูดเสียงเข้ม ในมือชูเครื่องอัดเสียงในมือเร่าๆ แอรอนนั่งก้มหน้าตัวลีบอยู่ในเก้าอี้เป็นการสร้างภาพ ทั้งที่ใจจริงคำพูดของอีกฝ่ายลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้
“ก็ได้เยอะแล้วน่า” เขาพึมพำ
“อะไรนะ”
แอรอนสบตาอีกฝ่ายตรงๆ “คุณบอกผมว่าเขาเป็นไอ้เสือใบ้ไม่ใช่หรือไง แค่เขายอมพูดกับผมนี่ก็บุญโขแล้ว”
แชนด์เลอร์ทำปากอ้าๆหุบๆเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาเหมือนคนหมดแรง เขาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เหลือบมองแอรอนทีสลับกับเครื่องอัดเสียงที แล้วหยิบเอกสารบนโต๊ะมาเปิดผ่านๆอย่างไม่ใส่ใจ
“...ก็จริง” แชนด์เลอร์ยอมลดราวาศอกให้ แต่คิ้วเข้มๆนั่นยังขมวดคิ้วเหมือนรถไฟชนกันอยู่ดี “แต่ ผมเป็นศิลปิน เนี่ยนะ ใครหน้าไหนพูดแบบนั้นกัน อีกอย่าง ทีฝั่งไอ้เลวริชาร์ดส่งนักข่าวมันไปสัมภาษณ์ ยังได้ข้อมูลแปลกๆกลับมาบ้าง แต่เธอนี่ – เฮ้อ”
“เดี๋ยว” แอรอนขัดขึ้นมาทันควัน “คุณบอกผมว่าเขาไม่ยอมพูดกับใครนี่นา แล้วริชาร์ด--”
“สำนักพิมพ์คู่แข่งเราเองแหละ”
สำนักพิมพ์คู่แข่งนั่นมีไม้เด็ดอะไรกัน ถึงกับทำให้ 102 ยอมพูดได้ แอรอนนึกสงสัยขึ้นมาครามครัน เขานึกย้อนกลับไปถึงคนประหลาดคนนั้น 102 ให้ความรู้สึกเหมือนสัตว์แสนรู้มากกว่าคน เขามักจะนั่งเงียบในมุมมืด คอบจับสังเกตผู้คนด้วยสายตาเยือกเย็นแทบจะไม่กระพริบ พอนึกถึงตรงนี้ แอรอนก็ตัวสั่นขึ้นนิดหน่อย
“คุณมีข้อมูลอะไรของเขาให้ผมอ่านบ้าง” แอรอนถาม
แชนดเลอร์โยนแฟ้มสีน้ำตาลลงบนโต๊ะแทนคำตอบ มันบางมาก แอรอนรับมาและเปิดดูแต่ละหน้า มีข้อมุลรูปพรรณสันฐานของ 102 ที่วัดไว้เสียละเอียดยิบ เหมือนชดเชยข้อมูลที่มาที่ไปของหมอนี่ที่แทบจะขาวสะอาด นอกจากนั้นแล้วก็มีรูปของสถานที่พบศพอีกนิดหน่อย มีรูปหนึ่งเหมือนจะเป็นสภาพศพที่ถูกกั้นไว้ด้วยเทปเหลือง แต่ภาพก็เบลอและสั่นไหว คาดว่าช่างภาพของแอบถ่ายมาเป็นแน่แท้
“นั่นผีมือนิคน่ะ เทพใช่ไหมล่ะ” แชนดเลอร์กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “มือหนึ่งด้านแอบถ่ายเลยนะ พวกตำรวจวนไปมายังกะฉลาม เขายังแอบถ่ายมาได้ตั้งภาพนึง”
“เอ่อ เก่งครับ”
เขาพิศมองใบหน้าของ 102 อย่างครุ่นคิด ในภาพดูต่างกับตัวจริงมากที่เดียว ดูเหมือนภาพนี้จะถ่ายหลังถูกจับกุมตัวได้ไม่นาน ใบหน้าของ 102 ซูบตอบ มีหนวดเครารกสกปรกเต็มหน้าลามไปถึงลำคอ ต่างกับชายผู้มีรูปลักษณ์สะอาดสะอ้านที่เขาพบเมื่อเช้าโดยสิ้นเชิง ใบหน้าเผือดไร้ความรู้สึกดูให้ความรู้สึกเหนือความจริงอย่างแปลกประหลาด แต่นัยน์ตาสีฟ้าเข้มข้นจ้องเขม็งตรงมายังกล้องโดยไม่มีการปิดบังหรือหลบสายตา อาจเป็นไปได้ว่าดวงตาคู่นี้นี่เอง ที่ทำให้เขาถูกจดจำได้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“หล่อล่ะสิ” แชนดเลอร์รำพึง แอรอนมือสั่นกระตุกชั่วขณะ เกือบจะทำแฟ้มร่วงหลุดมือ
“พูดอะไรของคุณ” แอรอนพูดเสียงขุ่น “ผมแค่คิดว่าเขาหน้าตาเหมือนคนรู้จัก”
“คนรู้จักเธอนี่ซวยจริง” แชนดเลอร์ทำเสียงเห็นใจ แอรอนไม่ตอบ ริมฝีปากของอีกฝ่ายจึงโค้งลงอย่างน่าสงสาร
“ผมขอไอ้นี่กลับบ้านละกันครับ” แอรอนไม่ลืมเติมหางเสียงลงไปเพื่อความสุภาพ เขาผุดลุกขึ้น อยากจะไปให้พ้นๆเต็มที่ เพราะเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายเล่นมากไปเสียแล้ว อีกอย่าง เขาอยากกลับไปนอนเต็มแก่
“เดี๋ยวสิ” แชนดเลอร์รีบเรียกรั้งไว้ “ไม่อยากรู้เหรอว่าเธอได้งานไหม”
แอรอนหันหน้ากลับมา รู้สึกตกใจระคนเยาะหยัน ให้ตายเถอะ แชนดเลอร์ จะโปร่งใสไปถึงไหน ตัวเองมอบหมายหน้าที่ให้เขาเสร็จสรรพ ยังจะมีหน้ามาล่อเขาด้วยตำแหน่งอีก
แชนดเลอร์ขยับยิ้มใส่เขา “ถ้าอยากรู้ก็ไปกินข้าวเย็นกันก่อนไหมล่ะ ฉันเลี้ยงเอง”
“เอ่อ...” แอรอนอึกอัก ความหงุดหงิดเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความไม่อยากเชื่อแทน ให้ตายเถอะ อย่าบอกนะแชนดเลอร์กำลัง – พยายามจะจีบเขาอยู่ –
“ฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่” แชนดเลอร์ขัด “คิดอะไรบ้าๆ ทำอย่างนั้นมันไม่เป็นมืออาชีพเลยนะ ฉันแค่อยากจะล้วงความลับจากเธอให้ได้มากที่สุดต่างหาก”
“ไม่ล่ะครับ” แอรอนปฏิเสธทันควันเมื่อได้ยินคำตอบ เขาตัวสั่นเยือกในใจ นึกถึงบทสัมภาษณ์ประหลาดที่จบลงด้วยแชนดเลอร์กล่าวหาว่าเขาเป็นพวกมีรสนิยมวิปริตอะไรซักอย่างนั่นได้ดี
นี่ถ้าเขาไปกินข้าวกับอีกฝ่าย แล้วแชนดเลอร์ออกมาโพนทะนาไปทั่วที่ทำงานว่าแอรอนชอบมีเพศสัมพันธ์กับม้าลาย ชีวิตเขาคงจบเมื่อนั้น
แชนด์เลอร์นิ่วหน้าอย่างขัดใจ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวอะไรออกมา แอรอนก็จากไปแล้ว
++++++++++++++++++
ใช้เวลาไม่นานนัก เขาก็มาถึงป้ายรถบัสหน้าโบสถ์ อลิเซียตามมาส่งเขาด้วย หลังจากร่ำลากันเรียบร้อย หล่อนทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำอันน่าตื่นตะลึงว่า ‘ถึงจะดูประหลาดไปบ้าง แต่แชนด์เลอร์ก็เอ็นดูคุณนะคะ’ ทำเอาแอรอนขนหัวลุกอย่างไร้สาเหตุ ถ้าแชนด์เลอร์เอ็นดูเขา ก็คงจะเป็นอาการเอ็นดูที่พระผู้เป็นเจ้ามีต่อซาตานละกระมัง
เขาไม่ชอบแชนด์เลอร์ตั้งแต่แรกเริ่ม ตั้งแต่ลักษณะท่าทางเหมือนคนไม่เต็มบาทนั่น แถมยังชอบมายุ่งกับเขาไม่เลิก แชนดเลอร์กวนใจของเขาเกินความคาดหมายมากทีเดียว จนถึงขนาดที่นึกถึงหน้าอีกฝ่าย ก็รู้สึกหงุดหงิดแล้ว
พอๆ แอรอนตัดสินใจหยุดคิด เขาก้มลงเช็คโทรศัพท์มือถือ แต่แล้วต้องตกใจจนแทบทำมันร่วงหลุดจากมือ มีสายไม่ได้รับตั้ง 5 สาย และทั้งหมดนั่นมาจากเทส แอรอนสูดปากเบาๆแล้วมองไปรอบๆ พอเห็นว่าไม่มีคนมายืนรอรถบัสเหมือนเขาเป็นแน่แท้ เขาก็ตัดสินใจโทรกลับ
สายถูกรับหลังจากสัญญาณผ่านไป 0.5 วินาที “แอรอน!!”
“มีอะไ--”
“ฉันโทรหานายไปเป็นล้านรอบ พึ่งจะโทรกลับตอนนี้เหรอ คนอื่นเขารอนายจนเสียการเสียงานไปหมดแล้ว!”
แอรอนสะดุ้งเบาๆ
“หมายความว่ายังไง—มีคนมาหาฉันเหรอเทส แล้วทำไมเธอให้เขารอล่ะ ทำไมไม่ไล่เขากลับไปหา!”
เทสส่งเสียงชู่วลั่น “เบาๆหน่อย ฉันเปิดเสียงลำโพง เด็กๆอยากได้ยินเสียงนาย อีกอย่าง เขานั่งอยู่อีกห้อง อย่าตะโกนได้มั้ย”
จริงด้วย แอรอนได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดของเด็กหลายรุ่นหลายขนาดอยู่ไม่ไกล โดยเฉพาะแอลลี่
“เขาเป็นใครล่ะ” ชายหนุ่มกระซิบ
“จะไปรู้มั้ย” เทสตอบตัดรำคาญ “แต่เขาบอกว่าเป็นทนายอะไรสักอย่าง นอกจากนั้นก็รูดซิปปากแน่นเป็นบ้า ขนาดหว่านล้อมก็แล้วยังไม่ยอมบอกอะไรเลย”
ให้ตายเถอะ แอรอนโอดครวญในใจ นี่มันวันนรกแตกอะไรกันนี่
“—โอเค งั้นฉันจะรีบกลับไป”
เทสทำเสียงเหมือน ‘หึ’ หรืออะไรสักอย่างในลำคอ มันอาจจะเป็นคำว่า ‘ขอแช่งให้แกตายอย่างทุกข์ทรมาน’ ก็ได้ แต่แอรอนไม่สนใจ เพราะหลังจากนั้น รถบัสก็มาพอดี แอรอนเลยตัดสายทิ้ง ถ้าพลาดเที่ยวนี้ไปก็เป็นเที่ยวสุดท้ายของวัน ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องเดินตัดป่าเปลี่ยวๆ ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบยามกลางคืนกลับบ้าน ซึ่งไม่น่าพิศมัยเท่าไหร่นัก
รถบัสมาพอดี แอรอนละล้าละลัง ในอกรู้สึกวูบโหวงเหมือนลืมอะไรบางอย่างไว้ข้างหลัง เขาขมวดคิ้ว เอี้ยวตัวมองกระเป๋าสะพายของตนเอง – ก็ไม่ได้ลืมอะไรนี่นา
มีทนายมาพบเขา – ทำไม?
แอรอนก้าวขึ้นรถไป รู้สึกแปลกๆเหมือนเรื่องที่รอตนเองอยู่ที่บ้านจะไม่ได้เรื่องดีเท่าไหร่นัก
+++++++++++++++
แสงไฟจากหน้าต่างทอแสงสีส้มนวลตาเล็ดรอดออกมาจากเฉลียงห้องครัว แอรอนชะเง้อมองจากไกลๆ รู้สึกเหมือนเป็นทหารหนุ่มที่ไปร่วมรบไกลแสนไกล พึ่งกลับมาถึงบ้าน แล้วได้เห็นหน้าภรรยา (หรือ:ได้กลิ่นอาหาร) อย่างไรอย่างนั้น
เขาเดินไปถึงหน้าบ้าน ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ แต่มาจากความเข็ดขยาดเทสมากกว่าอย่างอื่น ชายหนุ่มเปิดประตูให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็ทำการล็อกกุญแจเรียบร้อย แต่พอหันมาก็เห็นเทสยืนกอดอกหน้าดำคร่ำเคร่งมองเขาอยู่ แอรอนสูดลมหายใจเฮือกด้วยความตกใจมากกว่าอย่างอื่น
“แอรอน” เทสพูดเสียงเหี้ยมเกรียม
“เทส” เขาตอบรับ มือคว้าจับลูกบิดโดยอัตโนมัติ มันล็อก -- ให้ตาย เขาพึ่งปิดทางหนีของตัวเองไปหรือนี่ แปลกนัก สีหน้าของหญิงสาวอ่อนลงเมื่อมองมาที่เขา จากนั้นหล่อนก็เดินมาจับไหล่
“รีบไปเถอะ” เทสเร่ง “คุณทนายรอนายอยู่ในห้องครัว”
“เด็กๆล่ะ”
“ฉันบอกพวกนั้นว่าให้สนเรื่องตัวเองไปก่อน” เทสตอบ สองมือเริ่มอยู่ไม่สุข รุนหลังเขาไปพลางไปยังทิศทางห้องครัว แอรอนกำมือแน่น เหงื่อเย็นๆไหลลงมาตามสันหลังไม่รู้กี่รอบ
ห้องครัวไม่มีประตู เป็นเพียงเว้าเล็กๆข้าไปในผนังที่ครบครันไปด้วยสารพัดอุปกรณ์ทำอาหาร ชายคนหนึ่งในชุดสูทสีกรมท่าเนื้อดีนั่งหันหลังให้เขา กำลังใจจดใจจ่อกับเอกสารที่วางแผ่อยู่บนโต๊ะจนไม่ทันได้สังเกตถึงความเป็นไปรอบตัว แอรอนยืนละล้าละลัง ไม่รู้จะทำอะไรดี เขากระแอมเบาๆ
อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองเขา แว่นที่วางไว้บนปลายจมูกเลื่อนไถลลงมาเล็กน้อย แอรอนมองมันด้วยความเผลอไผล ถึงแม้จะรู้ดีว่าเสียมารยาท แต่เขาพบว่ามันดูขัดเขินน้อยกว่าจ้องตาอีกฝ่ายตรงๆ “คุณแอรอน เคจ?”
“เอ่อ สวัสดีครับ” แอรอนส่งเสียงทัก เขารู้สึกอึดอัดหมือนเป็นตัวเกะกะขวางทางอะไรสักอย่าง ทนายหนุ่มยืนขึ้นต้อนรับ ทำเอาแอรอนรู้สึกลนลานกว่าเดิม
อะไรกันนะ...
เขาเอื้อมมือไปเชคแฮนด์กับอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ อีกฝ่ายพยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมแดเนียล แม็กซ์เวล เป็นทนายความประจำตัวคุณโรเบิร์ต แมคคาฟี”
“เอ่อ..” แอรอนชะงักค้าง ในหัวสมองขาวโพลนขึ้นมา “ขอโทษนะครับ?”
“ขอโทษด้วยที่ผมไม่สามารถแจ้งข่าวการเดินทางล่วงหน้าได้” แดเนียลพูดขณะกอบกองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา “แต่เราพึ่งค้นพบชื่อของคุณในพินัยกรรมของเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง รวมถึงที่อยู่ของคุณด้วย”
“ชื่อของผม – ผมไม่เข้าใจ” แอรอนงงอย่างหนัก “ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา”
แดเนียลมองเขาด้วยสายตาเวทนา
“นี่ – ผมขอนั่งก่อนได้ไหม” แอรอนถาม “ผมรู้สึกว่าทั้งหมดมันออกจะหนักหนาสาหัสไปหน่อยแล้ว ผม -- ” อยากให้คุณเลิกมองด้วยสายตาอย่างนั้นซะที แอรอนต่อในใจ เพราะคำพูดทั้งหมดมันจุกอยู่ที่คอหอยเขา ลำคอของชายหนุ่มแห้งผากไปหมด เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ เขาทรุดกายนั่งลง
“คุณแอรอน -- ” ทนายความหนุ่มพูดแล้วนั่งลงตามช้าๆ นัยน์ตาแฝงไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ “ผมเองก็ไม่มีสิทธ์ใดไปมากกว่าการจัดการมรดกให้สำเร็จลุล่วง ผมเองก็หวังว่าคุณจะไม่รู้ด้วยวิธีนี้ แต่กฏย่อมเป็นกฏ เพราะฉะนั้น--”
“โรเบิร์ต แมคคาฟีเป็นบิดาที่แท้จริงของคุณ”
แอรอนรู้สึกโชคดีที่เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ความรู้สึกโคลงเคลงใต้เท้านี่คงทำให้เข่าของเขาทรุดลงอย่างน่าอายเป็นแน่ “อะ—อะไรนะครับ”
“แน่นอน ไม่มีเอกสารใดๆทางกฏหมายที่ยืนยันว่าคุณเป็นลูกของโรเบิร์ต แมคคาฟีจริงหรือไม่ แต่เขาได้บอกเรื่องนี้ให้ผมทราบ และกำชับให้เก็บไว้เป็นความลับอย่างดีจนกว่าวันที่เขาจะตายจากไป นอกจากนั้น ในกรณีที่เขาเสียชีวิต ให้ผมมาคุณ เพราะเขามีสิ่งของที่ต้องการจะให้คุณ”
แอรอนไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง เขาข่มความรู้สึกน่ารังเกียจไว้ในอก แล้วถามออกไป “’งั้นอเล็กซิส แมคคาฟีก็เป็นแม่ของผมงั้นสิ?”
คำถามจริงๆที่เขาอยากรู้คือ แมคคาฟีทิ้งเขาไว้ที่นี่ทำไม
สายตาเวทนาของทนายหนุ่มทำเอามือที่กำแน่นของแอรอนสั่นระริก
“น่าเสียดายที่เขาไม่ได้บอกผมถึงเรื่องนั้น” แดเนียล แม็กซ์เวลตอบ “ผมเชื่อว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เขาคงจะมาบอกทุกอย่างกับคุณด้วยตัวเอง ผมไม่นึกว่าจะได้เห็นคุณเสียด้วยซ้ำ”
“คุณดูรู้จักเขาดีเหลือเกินนะ”
อีกฝ่ายดูชะงักไปกับน้ำเสียงเยาะหยัน แต่ก็ปรับบรรยากาศของบทสนทนากลับมาอย่างรวดเร็ว
“ผมทำงานกับเขามาหลายปี” แดเนียลตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ “เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมมอบของให้คุณเลยดีกว่า”
ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าของตนแล้วหยิบพัสดุสีน้ำตาลออกมาด้วยความระมัดระวัง เขายื่นมันให้แอรอนที่รับมันไว้ในมือ พัสดุหนักพอควร แอรอนลองคลำดู พบว่าสิ่งของภายในดูเป็นวัสดุทรงกระบอกขรุขระ เขานิ่วหน้าน้อยๆด้วยความงุนงง
เขาฉีกกระดาษที่ปกคลุมอยู่ออกอย่างไร้ศิลปะ แล้วหรี่ตามองของข้างใน จะให้พูดว่าไม่ไว้วางใจก็ไม่ผิด มรดกของผู้ตายที่หลงเหลือไว้มีเพียงแค่สองจุดประสงค์คือหวังดีและหวังร้าย แอรอนไม่กล้าคาดหวังสิ่งใดทั้งนั้นกับผู้ชายคนนี้ เขาไม่ได้รู้จักแมคคาฟีดีขนาดนั้น
เขาหยิบวัตถุประหลาดนั่นออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วก้มลองมองพินิจ มันเป็นแท่งทรงกระบอกธรรมดา มีร่องรอยนูนขึ้นมาบ้าง สลักลึกลงไปในตัวบ้าง ดูสะเปะสะปะไร้เหตุผล แต่สาเหตุที่ทำให้เขาสูดลมหายใจดังเฮือกไม่ใช่อื่นใด นอกจาก..
“ให้ตายเถอะ หนักเป็นบ้า – คุณว่านี่เป็นทองคำแท้รึเปล่าเนี่ย!” แอรอนพูดอย่างตื่นเต้น
แดเนียลเม้มปาก ดูเหมือนเขาจะไม่คุ้นชินกับการยิ้มมากนัก “ผมคิดว่ามันชุบทองเสียมากกว่า”
“มันคืออะไร” แอรอนถามอีกฝ่าย เขาพิศมองมันด้วยความขะมักเขม้น ของสิ่งนี้ดูเก่าแก่โบราณ ในลักษณะของสิ่งที่ “สืบทอดตามตระกูล” พึงมี ความตื่นเต้นพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆเมื่อแอรอนนึกอย่างนั้น “ผมว่าของนี่มีความลับสำคัญซ่อนอยู่แน่ๆ”
แอรอนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย แต่ความตื่นใจก็มอดดับไปอย่างรวดเร็วเมื่อมองเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของอีกฝ่าย
“ผมคิดว่า....ขอโทษทีต้องพูดอย่างนี้ คุณแมคคาฟีคงต้องการมอบของดูต่างหน้าให้คุณเสียมากกว่า”
ความงุนงงทำให้สีหน้าที่ฮายออกไปชัดเจนจนยากจะระงับ “ผมไม่เข้าใจ”
“สิ่งที่คุณได้ มันคือที่ทับกระดาษที่อยู่บนโต๊ะของคุณแมคคาฟี” แดเนียลพูดอย่างนุ่มนวล “ผมเข้าใจว่า...มันน่าจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจมากทีเดียว เขาถึงตัดสินใจมอบมันให้คุณ”
แอรอนรู้ว่าสีหน้าของเขาตอนนี้ไม่น่าดูนัก แต่จะทำยังไงได้ พ่อ(?)ผู้ล่วงลับของเขามอบมรดกอันล้ำค่าให้ ซึ่งก็คือ ที่ทับกระดาษ ปัญญาอ่อนอันนึง อันที่จริงมองๆไปไอ้เจ้าแท่งทรงกระบอกนี่ก็มองดูเหมือน....ไอ้ตัวเข้ารหัสของเรื่อง รหัสลับดาวินชี อยู่เหมือนกัน หรือโรเบิร์ต แมคคาฟีจะเป็นคอหนัง?
“คุณล้อผมเล่นแล้ว”
ทนายความหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่เป็นมืออาชีพ เขาดูจนด้วยคำพูดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่คำพูดจะหลุดออกมา “ผมไม่คิดว่า.....”
“ให้ตายเถอะ!”
++++++++++++++++++++++
‘ปาร์ตี้’ จบลงด้วยการที่แอรอนเดินไปส่งทนายความหนุ่มหน้าบ้าน บรรยากาศถูกครอบงำด้วยความกระอักกระอ่วน อีกฝ่ายขับรถมาเอง ชายหนุ่มจึงไม่ต้องเสียเวลาเดินพาอีกฝ่ายเข้าเมืองไปรอรถบัสให้ยุ่งยาก
เทสกับเด็กๆกรูกันเข้ามาหาเขาทันทีหลังจากประตูปิดไม่ถึงเสี้ยววินาที แอลลี่เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นมรดกล้ำค่าในมือของเขา เสียงกระซิบหึ่งๆดังไปทั่วบริเวณก่อนที่ทุกคนจะเข้ามารุมล้อมวัตถุในมือของเขาประหนึ่งฝูงผึ้ง
“สวยจังแอรอน มันคืออะไรน่ะ!” แอลลี่ตะโกนใส่หูเขา มือน้อยๆสาละวนอยู่กับการลูบคลำร่องรอยแปลกๆบนตัวกระบอก
“โคตรรรรรรรรรรรเท่!” เชลด้อนพูดคำศัพท์ใหม่ที่นาธานน่าจะเป็นคนสอนให้ แอรอนนิ่วหน้าเล็กน้อย นึกคาดโทษเด็กหนุ่มไว้ในใจ
เขายื่นมันให้กับเด็กทั้งสอง “ฉันให้เล่น เอาไปเลย”
เสียงหวีดร้องอย่างดีใจดังขึ้น ก่อนที่ทั้งสองจะพากันวิ่งออกไปจากห้อง ทิ้งเขาให้ยืนอยู่กับเทสท่ามกลางแสงไฟสลัวๆของยามค่ำคืน เทสเอียงหน้ามองเขาสักพัก จนกระทั่งแอรอนรู้สึกรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย เขาทำเสียงแข็งใส่อีกฝ่าย “เธอจะมองฉันทำไมนักหนาเทส”
เทสขมวดคิ้วใส่เขา “ก็แค่อยากรู้ว่านายยังอยู่ดีไหม”
เธอได้ยินทุกอย่าง
“ก็ไม่ค่อยดี” เขาหัวเราะเสียงขื่น อารมณ์ขุ่นมัวประดังประเดขึ้นมาในใจจนต้องหาที่จับยึดไม่ให้มันออกนอกลู่นอกทาง เทสเอื้อมมือมาวางบนไหล่ของเขา ก่อนจะพูดเสียงเบา
“นายคุยกับฉันได้นะ”
แอรอนห่อไหล่ เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นเด็กชายขี้ซึมเศร้าขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น “ฉันไม่เห็นว่ามันจะแก้ปัญหาอะไรได้ ยังไง...เขาก็ตายไปแล้วนี่ มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันแล้ว”
เทสไม่พูดอะไร เธอแค่จูงมือเขาไปนั่งในห้องน้ำ ให้เขานั่งลงบนนั่งลงบนฝาชักโครก ส่วนเธอเองก็นั่งลงบนเคาเตอร์อ่างล่างหน้า เธอมองเขาพักหนึ่ง กอนจะเริ่มพูด
“ฉันต้องการให้นายพูดปัญหาของนายออกมา” เธอว่าด้วยน้ำเสียงสงบ “นายรู้ไหมว่าทำไมนักจิตวิทยาถึงชอบใช้วิธีนี้ เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ชอบเล่าเรื่องของตัวเองยังไงล่ะ เพราะงั้นถ้านายมีปัญหาอะไร นายก็แค่เล่ามันออกมา เรื่องเล่ามันจะได้เป็นเส้นตรงที่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ ไม่ได้วนเวียนไปมาอยู่ในสมองของนาย”
บางครั้งเทสก็ทำตัวน่าพึ่งพาอย่างไม่น่าเชื่อ แอรอนถอนหายใจ
“โอเค..”
เสียงน้ำในอ่างล่างหน้าหยดเปาะแปะ ดึงสติของแอรอนให้กลับสู้ห้วงมโนสำนึก ในภาพเบื้องหลังเปลือกตา เขานึกถึงความทรงจำวัยเยาว์ที่ขาดวิ่นประดุจใยแมงมุมบนซากสิ่งของที่ถูกทิ้งร้าง เสี้ยวหน้าของโรเบิร์ต แมคคาฟี ลอยขึ้นมาในความคิด
“ฉันไม่เคยมองหน้าเขาตรงๆเลยสักครั้ง” เขาพูดเสียงเบาหวิว “แต่ฉันรู้จักนัยน์ตาของเขา”
ความเงียบจากอีกฝ่ายคือสัญญานให้แอรอนพูดต่อ เขาเลียริมฝีปากแห้งผากของตนเอง ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“ช่วงฤดูร้อนสั้นๆ เขาชอบมาที่นี่เป็นประจำ – ฉันไม่เคยเข้าไปสุงสิงกับเขา จำได้ว่าเขาเป็นคนชอบมาให้ขนมกับของเล่นบ่อยๆ เธอจำได้ใช่ไหมเทส”
“อือฮึ”
“เขา—ชอบมองมาที่ฉันตลอดเวลา” แอรอนเจ็บคอขึ้นมาอย่างประหลาด “ทุกครั้งที่ฉันไม่ได้มองเขา ฉันรู้เพราะว่าฉันเห็นสายตาของเขาจากหางตา มันทำให้ฉันคลื่นไส้ ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันไม่ใช่สายตา...ที่ปกติ”
เด็กดี เขาจำได้ถึงเสียงกระซิบอ่อนหวานข้างหู ในบ้านมีกลิ่นของดอกเมอร์ทิลหอมเอียนลอยล่องอยู่ในอากาศ รสของน้ำส้มคั้นยังติดค้างอยู่ที่ริมฝีปาก เธอช่างสมบูรณ์แบบ
นิ้วมือของใครบางคนสัมผัสที่คอ ลูบผ่านบางเบาประดุจปีกขนนก แต่เพียงแค่นั้นความเย็นเยียบก็คืบคลานขึ้นมาตามสันหลังเขาอย่างไม่มีเหตุผล
เทสทำหน้าขยะแขยงเล็กน้อย “นายว่าเขาเป็น....พวกวิปริตชอบเด็ก..อะไรอย่างนั้นใช่ไหม”
แอรอนแค่นเสียง “ก็ไม่แน่ เขาตายไปแล้ว จะพิสูจน์อะไรก็ไม่ได้หรอก”
เทสเอื้อมมือมาลูบไหล่เขาอย่างเห็นใจ
คืนนั้นแอรอนฝัน
* ฮันนิบาล เลคเตอร์ ฆาตกรโรคจิตมีชื่อเสียงโด่งดังจากนิยายของโทมัส แฮริส ขึ้นชื่อในด้านเรื่องการกินเนื้อมนุษย์และมารยาททางสังคมดีงาม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in