เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Yesterday Unknown เมื่อวันก่อนอ่ะค่ะabudabeww
Let go It hurts I know
  • เคยมั้ยคะ เวลาอยากได้อะไรแล้วสิ่งนั้นก็จะมาวนเวียน มาอยู่ในสายตาเราตลอดๆ ทั้งโดนยิงโฆษณา ทั้งมีคนใช้ให้เห็น เพิ่งมาได้เรียนรู้เมื่อวานค่ะ ว่าไม่ใช่แค่กับสิ่งของ แต่กับความคิดที่เรากำลังสนใจ ณ ขณะนั้นก็โดนดูดเข้ามาหาเราด้วยเช่นกัน

    ได้มีโอกาสฟังพอดแคสท์ตอนนึงของ R U OK? ในเอพิโสดที่ 217 ว่าด้วยเรื่อง หาข้อมูลสนับสนุนความคิดตัวเอง เมื่อสิ่งที่เชื่อไม่ตรงกับสิ่งที่เห็น มีความน่าสนใจมากค่ะ พูดถึง Cognitive Dissonance ความรู้สึกของคน เมื่อสิ่งที่เชื่อมาตลอดโดนchallenge ว่า ใช่หรอ สิ่งที่เราเชื่อมันถูกหรอ มันไม่ถูกหรอก อย่างนี้สิถึงจะถูก พอโดนอย่างงั้นเราจะรู้สึกสั่นคลอน เกิดเป็นความรู้สึก insecure กับตัวเองขึ้นมา

    ในพอดแคสท์มีการยกตัวอย่างที่รู้สึกรีเรทได้ เขาบอกว่าเขามองคุณพ่อเป็นไอดอลมาตลอดในด้านต่างๆ จนกระทั่งโตมาได้เรียนรู้ ได้มองกลับไปก็พบว่า มองคุณพ่อต่างจากเดิมไปแล้ว ที่เคยคิดว่าเขาถูกทุกเรื่องมาตลอด มาในวันนี้ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง มีบางเรื่องที่ตัวเขาไม่เห็นด้วย มีคำถามและไม่คิดว่ามันถูกต้อง ยิ่งเป็นคนที่เราผูกพันธ์มากๆก็เข้าใจได้เลยค่ะ ว่ายากที่จะยอมรับ
    ความมั่นใจที่เคยมีสั่นคลอนหลายริกเตอร์ยังกับแผ่นดินไหว เราก็เคยผ่านอะไรคล้ายๆกันมาเหมือนกันค่ะ พอมันเกิดขึ้นก็มีแต่ความสงสัย เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบมากๆ ทำไมทำไมทำไม ซึ่งก็คิดนะคะว่าถ้าได้รับคำอธิบาย ณ ตอนนั้นเราจะยอมรับได้มั้ย หรือเกิดเป็นความต้องการ ให้ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่เราคิดมากกว่า ซึ่งพอต้อง        การมากๆบางครั้งก็เสี่ยงที่จะนำไปสู่ความผิดหวังได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน

    จึงเป็นที่มาของชื่อโพสในครั้งนี้ Let go It hurts I know อ่านครั้งแรกคงคิดแน่เลยว่าเราคงพูดถึงความรักแน่เลยก็พูดนะคะ แต่หลังจากนี้ การที่เราจะเลทโก หรือปล่อยอะไรไป ทางเราคิดว่ามันสามารถใช้ได้กับหลายๆเรื่อง ไม่ใช่แค่กับความรัก เรียกได้ว่ามีการพังทลายของความรู้สึกที่คล้ายๆกัน กับสิ่งของก็เกิดได้เช่นกัน อย่างที่เราอยากจะเปลี่ยนโทรศัพท์แอบไปวนเวียนดูหลายครั้งแต่ก็ยังไม่กล้าเปลี่ยนสักที ใช้มานานแล้วด้วย เกือบห้าปี มันก็ชิน รู้นอกรู้ในแทบจะทุกอย่าง เป็นเซฟโซน พอเป็นเห็นของใหม่ที่เราได้ยินว่ามันดีแหละแต่มันก็กล้าๆกลัวๆปักใจเชื่อไม่ได้ จนกว่าจะได้ลองใช้จริงๆ ดังนั้นเมื่อเราต้องปล่อยอะไรไปไว้ข้างหลัง เพื่อไปสู่อีกสิ่งนึง อีกstageนึง แน่นอนว่ามีแสบๆคันๆในความรู้สึกลึกๆ มีความไม่ชิน แต่ในเมื่อชีวิตเรา Change is inevitable เพราะการเปลี่ยนแปลงมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันก็อาจจะทำให้เราพบกับสิ่งที่ดีกว่า(หรือแย่กว่า) เราก็ต้องหาทางรับมือกับมันให้ได้ในความไม่แน่นอนนี้

    อีกตัวอย่างนึงขอยก case study จากหนังสือ How to Fix a Broken Heart ว่าด้วยเรื่องการเลทโกในแง่ของความรักความสัมพันธ์ เคธี่เชื่อว่าทุกอย่างในความสัมพันธ์มันเวิร์ค รู้สึกว่าคนนี้เนี่ยแหละที่เธออยากจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วย ใจให้ไปก่อนแล้วเหลือก็แค่รอเขามาขออย่างเดียว แต่จู่ๆมันไม่เป็นอย่างที่เธอคิดน่ะสิิคะ จาก Will you marry me? ที่หวังสู่ I don't think you're the one ทุกอย่างปูมาดี ไปเที่ยวกันมาสวีทหวานไม่มีสัญญาณอะไรที่ทำให้รู้สึกว่ามันไม่เวิร์คเลย มาเจออย่างงี้ก็พังพินาศ สิ่งที่เชื่อกับสิ่งที่เป็นมันสวนทางกันขั้นสุด Cognitive Dissonance detected เลยค่ะแบบนี้ เคธี่ไม่อยากยอมรับเหตุผลของแฟนเขาทั้งๆที่มันก็ตรงไปตรงมาและ พยามตามหาเหตุผลอื่นที่คิดว่ามันน่าเชื่อถือมากกว่านี้ ซึ่งในเคสนี้มันไม่มี ดังนั้น การที่จะเลทโก การปล่อยความเชื่อเดิมๆที่ยึดติด มายอมรับว่าอีกคนไม่อินในความสัมพันธ์แค่นั้นมันก็เลยทำให้เธอรู้สึกตะขิดตะขวงในหัวใจ ความเชื่อสั่นคลอน มีคำถาม สงสัยอยู่อย่างนั้นและไม่ยอมมูฟออนไปไหนสักที

    จะให้พูดถึงวิธีที่จะให้ไม่รู้สึกอะไรเลยคงไม่มี แต่วิธีที่จะให้เรามูฟออนแน่นอนว่ามีอยู่แล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่อีกว่า เราจะทำมั้ย ซึ่งมันก็ง่ายๆ สิ่งที่เราต้องทำคือ ยอมรับและเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างที่เคยพูดไปในโพสก่อนหน้านี้ ลองเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ของเขาดู ถ้าหากเราเป็นเขาเราจะทำแบบที่เขาทำมั้ย ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น ทำไมเขาถึงเชื่อแบบนั้น เข้าใจถึง foundation สิ่งที่เขาคิด ความเชื่อที่เขาเชื่อ เราก็อาจจะได้ความรู้ใหม่ๆในอีกมุมมองได้เช่นกัน แต่คือไม่ใช่ห้ามตั้งคำถามแล้วให้ปักใจเชื่อและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ป้อนมาเพียงอย่างเดียวนะคะ เราควรจะตั้งคำถามตลอด บางทีก็อาจจะได้พบคำถามต่อเนื่องไปอีก ก็ถือเป็นการค้นพบใหม่ ถึงบางทีก็อาจจะไม่มีคำถามอะไรต่อไป ที่จะมาโค่นล้มความจริงที่เป็นอยู่ได้ ถ้าอย่างหลังเกิดขึ้น เราก็ควรยอมรับว่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วก็ไปต่อกับมัน

    ไม่มีอะไรแน่นอนบนโลกใบนี้ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ สิ่งที่เคยเชื่อว่าถูก เชื่อว่าใช่ตรงกับใจชั้นเลยในอดีต ในวันนี้อาจจะไม่ใช่แล้วก็ได้ ไม่งั้นโลกเราคงไม่พัฒนาหากยึดติดอยู่กับที่เดิม เราคงมีความเชื่อว่าโลกคงแบนเหมือนเดิม หากไม่มีใครไปตั้งคำถามหาความจริงมาใหม่มาพรู๊ฟให้คนเชื่อว่าจริงๆแล้วโลกมันกลม





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in