เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
THEORY OF LOVE เหตุ ผล คน รักBANLUEBOOKS
คำนำ



  • คำนำสำนักพิมพ์


    ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าฉลาดที่สุดในโลกอย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขียนจดหมายถึงลูกสาวของเขามีใจความว่า

    “...มีพลังที่มีอานุภาพมหาศาลอยู่พลังหนึ่ง ซึ่งจนถึงบัดนี้ วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถหาคำอธิบายอย่างเป็นทางการได้ เป็นพลังที่รวมและควบคุมทุกสิ่ง อยู่เบื้องหลังทุกปรากฏการณ์ใดๆ ในจักรวาล และเราก็ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับมันนัก

    พลังแห่งจักรวาลนี้คือ ‘ความรัก

    เมื่อนักวิทยาศาสตร์ค้นหาทฤษฎีหลักแห่งจักรวาล เขากลับลืมพลังที่มองไม่เห็น ซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย

    ความรัก คือแสงสว่าง จุดกระจ่างทั้งในใจของผู้ให้และผู้รับ

    ความรัก คือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคนเข้าหากัน

    ความรัก คืออำนาจ เพราะมันทวีคูณสิ่งที่ดีที่สุดของเรา ช่วยให้มนุษยชาติไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัวอันมืดบอด

    ความรักคลี่คลายและเผยให้เห็นสิ่งต่างๆ

    เรามีชีวิตอยู่และตายเพื่อความรัก

    ความรักคือพระเจ้า และพระเจ้าคือความรัก

    พลังนี้อธิบายทุกสิ่งอย่างและให้ความหมายกับชีวิต ความรักเป็นตัวแปรที่เรามองข้ามเนิ่นนานเกินไป บางทีเราอาจหวาดกลัวความรัก เพราะมันเป็นพลังงานเดียวในจักรวาล ที่มวลมนุษย์ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา...”

    เมื่อความรักสำคัญมากเช่นนี้ สำนักพิมพ์บันลือบุ๊คส์จึงขอเชิญชวนนักอ่านมาเข้าใจความรักกันมากขึ้นผ่านมุมมองวิทยาศาสตร์ โดยคุณหมอปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์ จากเพจ Theory of Love

    เราอาจใช้เวลาเพียงเสี้ยวพริบตาที่จะตกหลุมรัก แต่อานุภาพของมันยาวนานนัก

    และเราอาจต้องใช้เวลากว่าชั่วชีวิตเพื่อจะเข้าใจจักรวาลของความรัก

    ถึงอย่างนั้นความเข้าใจความรักเพิ่มขึ้นแม้เพียงหน่วยอณูก็มีความสำคัญมากแล้ว

    เพราะ...

    แม้แต่นิรันดร์กาลก็ไร้ความหมายถ้าความรักต้องสูญสิ้นไป



    สำนักพิมพ์บันลือบุ๊คส์


  • คำนำผู้เขียน


    ครั้งหนึ่งริชาร์ด ไฟน์แมน นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ผมชอบมากที่สุดคนหนึ่ง ถูกค่อนขอดจากเพื่อนศิลปินว่า เขาและนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายนั้นไม่สามารถมองดอกไม้ให้สวยงามอย่างที่ศิลปินทำได้ พวกนักวิทยาศาสตร์ทำให้ดอกไม้น่าเบื่อ

    “ผมคิดว่าไอ้หมอนั่นมันประสาท สำหรับผม ความสวยงามไม่ได้ถูกสงวนไว้สำหรับศิลปิน ใครๆ ก็สามารถเห็นความสวยงามของดอกไม้ได้ทั้งนั้น ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถบรรยายความสวยงามของดอกไม้ได้ละเอียดอ่อนเท่าเขา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมมองเห็นมันไม่สวย ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ผมต่างจากเขาคือ ผมมองเห็นดอกไม้มากกว่าแค่ดอกไม้ ผมเห็นเซลล์ของดอกไม้ เห็นปฏิกิริยาต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ภายใต้มัน และผมก็รู้สึกว่ามันก็เป็นความสวยงามในอีกมิติที่เราไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา เช่น สีสันของดอกไม้ที่มีมากมายก็แสดงให้เห็นว่า แมลงก็ต้องสามารถเห็นสีสันได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็นำมาที่คำถามต่ออีกว่า ประสาทรับรู้ความสวยงามมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำด้วยใช่มั้ย? แล้วทำไมต้องสวย? คำถามชวนคิดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ดอกไม้สวยงามลดลงเลย มันมีแต่จะเพิ่มความตื่นเต้น ความน่าค้นหา และความท้าทายไว้ให้กับเรา”

    ครับ ถึงตอนนี้เรารู้แล้วว่า ในอาณาจักรสัตว์ มีสัตว์อยู่ไม่กี่ชนิดที่สามารถเห็นเฉดสีได้มากเท่าคน ผึ้งและผีเสื้อต่างเป็นหนึ่งในนั้น (จริงๆ แล้ว ผึ้งจะไม่เห็นเฉดสีแดง แต่มันสามารถเห็นเฉดแสง UV ที่คนมองไม่เห็น ส่วนผีเสื้อมีเซลล์รับแสงถึง 4 ชนิด แปลว่าพวกมันมองเห็นสีได้มากกว่าคนที่มีเซลล์รับแสงเพียง 3 ชนิดซะอีก)

    นั่นแสดงว่าผีเสื้อและผึ้งก็สามารถมองเห็นดอกไม้ได้สวยงามไม่ต่างจากเรา

    ไฟน์แมนตอบเรื่องนี้ก่อนที่เราจะค้นพบมันเสียอีก

    สำหรับผม มนุษย์เจ้าเหตุผลที่พยายามคิดหาเหตุผลกับทุกๆ อย่าง หลายๆ ครั้งเวลาที่ผมพยายามเข้าใจเรื่องความรัก ก็พบว่าเหตุผลที่ผมรู้มันแทบจะใช้อะไรไม่ได้เลย หลายๆ คนแนะนำว่าให้เลิกใช้เหตุผลกับความรักด้วยซ้ำ การที่ผมได้มาค้นพบว่ามีหนังสือและงานวิจัยเป็นตั้งๆ ที่พยายามจะอธิบายความรักให้เป็นเหตุเป็นผล แต่ละอย่างมีที่มาที่ไปยังไง ทำให้ผมรู้สึกดีกับความรักมากขึ้น มันไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงอีกต่อไปแล้ว และก็อาจจะคล้ายๆ ไฟน์แมนกับดอกไม้ ผมเริ่มมองเห็นแง่งามของความรักที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเริ่มเห็นยีนบางยีนหรือสารเคมีบางตัวที่อยู่ภายใต้มัน เห็นเหตุผลและที่มาของพฤติกรรมบางอย่างที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุลิง (เพราะมันเกิดก่อนที่เราจะเป็นคนด้วยซ้ำ)

    และเมื่อผมรู้แล้ว ผมก็เลยอยากแชร์ให้คนอื่นๆ ได้เห็นแง่งามของความรักในมิติวิทยาศาสตร์นี้บ้าง ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเริ่มทำเพจ Theory of Love กับเพื่อนๆ และเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา

    ในหนังสือเล่มนี้ ผมพยายามค้นคว้าเรื่องที่คิดว่าหลายคนคงสงสัย เอามาใช้เป็นหัวข้อในการเขียนแต่ละบท โดยทุกบทจะพยายามอ้างอิงจากบทวิจัยหรือการทดลองประหลาดๆ ที่มีจริงๆ (มีหนึ่งบทที่เขียนขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัวเป็นหลัก) ให้คุณได้ ว้าววว ว่าโลกนี้มันมีอะไรแบบนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย

    หวังว่าความรักและวิทยาศาสตร์ที่อาจจะเป็นของแสลงของใครหลายคน จะกลายเป็นเรื่องสนุกของคุณนะครับ!


    นพ. ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in