วันแรกที่เราได้เจอกัน
>>> “เธอ” ด้วยท่าทาง คำพูดและสายตา เป็นคนแรกที่ฉันไม่ถูกชะตา รู้สึกแปลก ๆ กับสายตาคู่นั้นตั้งแต่แรกเห็น…
>>> “เธอ” โดดเด่นที่สุดในหมู่เพื่อนร่วมห้อง เป็นดาวเด่นที่ใครต่อใครรู้จักและอยากใกล้ชิด การเป็นคนยิ้มง่ายและเข้ากับคนได้ง่ายของ “เธอ” เพียงไม่นาน
>>> “เธอ” กลายเป็นที่รักของใครต่อใครภายในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เบื้องหลัง “เธอ” ผิดกันลิบลับในสายตาฉัน “เธอ” ก้อแค่ผู้ชายขี้เก็ก วางมาด ทำตัวเรียบร้อยเพื่อเรียกคะแนนความสงสารจากใครต่อใคร เจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกิน สารพัดวิธีที่ทำให้ฉันรู้สึกตกต่ำ...
>>> “เธอ” ช่างมีความสามารถเปี่ยมล้นในเรื่องนี้จริง ๆ... ทำไมฉันถึงรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นแววตาคู่นั้นของ "เธอ" นะ?... ทำไม “เธอ” ถึงมีสองมาตรฐานล่ะ?
>>> “เธอ” ดีกับทุกคนยกเว้นฉัน “เธอ” ยิ้มกับคนทุกคนยกเว้นฉัน แล้วฉันหวังให้มันเป็นแบบไหนล่ะ?ในเมื่อฉันเกลียด “เธอ” ที่สุด ‘หรือเป็นเพราะเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น….’
>>> “เธอ” เก่งรอบด้าน ยิ้มเก่ง พูดเก่ง บุคลิกภาพเยี่ยม เรียนเก่ง กิจกรรมเด่น สรุปดูดีตั้งแต่ภายในจนถึงภายนอก ฉันตรงกันข้ามทุกอย่าง เรียนด้อย กิจกรรมน้อย ไม่ชอบสังคมและความวุ่นวาย เรื่องซุ่มซ่ามต้องยกให้ รั่วตลอด มองดู “เธอ” แล้วมันทำให้ฉันรู้สึกต่ำต้อยเสียจริง ๆ หงุดหงิดทุกครั้งที่เห็น ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม? มันไม่มีสาเหตุ... ฉันพยายามหลายครั้งแล้วที่จะอดทนแต่ก็ทนได้ไม่นาน สรุปแล้วฉันเกลียด “เธอ” ที่สุด ‘หรือเป็นเพราะเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น...’
>>> “เธอ” ชอบแกล้งฉันพูดจาไม่เข้าหูทำไม่ดีกับฉันสารพัด ความมั่นใจที่ฉันเคยมีโดน “เธอ” ทำลายอย่างไม่เหลือหลอ “เธอ” ทำให้ฉันถูกใครต่อใครหัวเราะเยาะอยู่เรื่อย ส่วนหนึ่งก็มาจากความซุ่มซ่ามของฉันเองด้วย เฮ้ออ.. “เธอ” ทำให้ฉันโดนอาจารย์ดุบ่อย ๆ แล้ว “เธอ” ก็หัวเราะฉันอย่างสาแก่ใจอยู่ห่าง ๆ เบื้องหลังเป็นฝีมือ “เธอ” อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ใครเค้าจะเชื่อฉันล่ะ ก็ “เธอ” เป็นอย่างกะเทวดานี่ ++ ฉันเกลียด “เธอ” ที่สุด ‘หรือเป็นเพราะเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น...’
“เธอ” ชอบมาทำให้ฉันอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าแล้วก็จากไปด้วยเสียงหัวเราะอันเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาทของฉัน กระเป๋าของฉัน “เธอ” ก็รื้อค้นซะกระจุยกระจาย แล้วหยิบของ ๆ ฉันไปหน้าตาเฉยทั้งที่ฉันไม่อนุญาต พวงกุญแจหมีตัวโปรดห้อยกระเป๋าฉัน “เธอ” ก็ปลดมันไปต่อหน้าต่อตาฉันไปขอคืนดี ดี ก็ไร้ประโยชน์ “เธอ” ทำราวกับว่าฉันเป็นเพียงสายลมพัดผ่านใจร้ายที่สุด... ชอบหยิบของ ๆ คนอื่นโดยที่เค้าไม่อนุญาตจนเป็นนิสัยเลยเหรอ?ฉันยิ่งเกลียด “เธอ” มากขึ้น ‘หรือเป็นเพราะเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น ....’
>>> ภาพที่ฉันบรรจงวาดมันอย่างตั้งใจและอดภูมิใจในความสามารถเล็กน้อยนิดของฉันไม่ได้ จนอยากเอาไปอวดกับเพื่อน ๆ “เธอ” ก็คว้ามันไปก่อนใคร กลอนที่ฉันหัดแต่งโดยใช้ความพยายามค่อนคืน“เธอ” ก็แย่งมันไปอ่านต่อหน้าเพื่อน ๆ ฉันอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี อีกครั้งที่ฉันต้องแอบร้องไห้เพราะการกระทำของ “เธอ” ฉันเกลียด “เธอ” ที่สุด ‘หรือเพราะเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น...’
>>> เมื่อไม่นานมานี่มีคนมาบอกชอบฉัน ใครบ้างจะไม่รู้สึกดีที่ใครสักคนมาชอบฉันก็เช่นเดียว กัน ฉันยังเป็นมนุษย์เดินดินอยู่นะ..แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขาสักหน่อย “เธอ” กลับคอยเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้ฉันกับเขาหลายครั้งจนน่ารำคาญ ทั้ง ๆ ฉันก็บอกไปตั้งหลายรอบแล้วว่าไม่ชอบ แต่ “เธอ” ก็ไปบอกใครต่อใครว่าเราสองคนกำลังดูใจกันอยู่ มีคนมาแซวบ้าง ล้อบ้าง จนฉันไม่อยากมาโรงเรียนเหนื่อยกับการตอบคำถามและอายจนแทบจะเอาหัวมุดลงดิน คนที่ฉันแอบชอบตัวจริงก็ดันเป็นเพื่อนสนิท “เธอ” ซะอีก เรื่องมันเศร้า++ ใครจะกล้าไปบอก ถ้า “เธอ” รู้เข้ามีหวังชีวิตฉันต้องอับเฉาไปอีกนานเท่านาน เท่าที่มีก็ไม่เหลือจะเฉาอยู่แล้ว... ฉันจะทำยังไงกับ “เธอ” ดีนะ?... ทำไม “เธอ” ถึงขยันทำแต่เรื่องที่ฉันไม่ชอบนะ?... แล้วถ้า “เธอ” ทำแต่เรื่องดี ดี เราจะเป็นแบบนี้มั้ยนะ? ไม่รู้ล่ะ..แต่ที่รู้ ๆ ฉันเกลียด “เธอ” ที่สุด ‘หรือเป็นเพราะเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น ...’
>>> “เธอ” เรียนเก่ง กิจกรรมเด่นอย่างที่บอกเป็นเรื่องธรรมดาที่ “เธอ” จะฮอตในหมู่สาว ๆ เห็นสายตาพวกเขาที่มอง “เธอ” ราวกับเทพบุตรลงมาจุติแล้วรุมกรี๊ด “เธอ” ยังกะดาราไม่ว่าจะย่างกรายไปทางไหน... ทำไมคนพวกนั้นถึงได้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวซะขนาดนั้นนะ?หรือเป็นเพราะว่าชาติที่แล้ว “เธอ” ทำบุญมาดีฉันเห็นแล้วมันขัดลูกกะตาพิลึก หมั่นไส้เป็นระยะ ถ้าเวทมนต์มีจริงฉันอยากจะเสกให้ไฟลุกท่วมตัว “เธอ” จริง ๆ แต่ชีวิตจริงมันไม่เหมือนนิยายนี่สิ เฮ้อ++ ฉันอยากจะเข้าไปบอกใครต่อใครถึงความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในตัว “เธอ” แต่ใครเค้าจะเชื่อฉัน อิมเมจ “เธอ” ดีว่างั้น.. เห็นแล้วต่อมเซ็งเริ่มกระตุก ฉันเกลียด “เธอ” ที่สุด ‘หรือเป็นเพราะว่าเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น ...’
>>> “เธอ” คบใครต่อใครหลายคน ทำเพื่อนฉันร้องไห้ด้วย นิสัยไม่ดีมาก ๆ เห็นความรู้สึกคนอื่นเป็นของเล่นหรือไงเห็นคนที่พร่ำเพ้อถึง “เธอ” ฉันอยากจะเข้าไปถามพวกเขาว่า.......“เธอ” มีอะไรดีมากมายขนาดนั้นเหรอ?เท่าที่ฉันเห็น ‘ไม่มี’ ฉันไม่พบข้อดีในตัว “เธอ” เลยนอกจากเรียนดี ยิ้มเก่งและรอยยิ้มของ “เธอ”มีประกายชวนฝัน...(เอ๊ะ! ทำไมฉันรู้สึกใจเต้นล่ะ) การเข้ากับคนอื่นได้ง่าย มนุษยสัมพันธ์ดีนั่นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของ “เธอ” แถมด้วยกิจกรรมเด่นอีก ก็แค่นั้น..(แล้วทำไมฉันเหมือนรู้จักเธอเยอะจัง) แต่ฉันสงสัยและอยากถาม “เธอ” ว่า ทำไมดีกับทุกคนยกเว้นฉัน “เธอ” เกลียดฉันมากใช่มั้ย? (ทำไมต้องรู้สึกน้อยใจนิด ๆ ) ถ้าคำตอบคือ ‘ใช่’ งั้นเราก็คิดไม่ต่างกันฉันก็เกลียด “เธอ” ที่สุด ‘หรือเป็นเพราะว่าเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น ....’
>>> วันหนึ่งหลังเข้าแถวเคารพธงชาติก่อนเข้าเรียนคาบแรก ฉันและเพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งแอบไป HBD ให้กับเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มฉันเป็นเซอร์ไพรส์ที่ทำให้เพื่อนคนนั้นประทับใจถึงกับน้ำตาไหลเขาคงดีใจมาก แต่พอกลับเข้าห้องเรียนกลับโดนอาจารย์ฟาดไปคนละที แต่ฉันโดนไปสองเท่าต้นเหตุเจ้าของความคิด ฉันมารู้ทีหลังว่า “เธอ” บอกอาจารย์ว่าพวกเราพากันโดดเรียนแต่คาบแรก เจ็บตัวไม่เท่าเจ็บใจคูณเข้าไปร้อยเท่าพันเท่าในขณะที่ฉันได้แต่เจ็บใจ ฉันได้ยินเสียงหัวเราะของ “เธอ” ดังแว่วมาในความรู้สึกมันเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาททุกอณูขุมขน ฉันหันไปมอง “เธอ” ด้วยสายตาเอาเรื่อง... คนอย่าง “เธอ” เคยคิดทำอะไรดี ดี เพื่อคนอื่นเขาบ้างไหมนะ?ฉันอดสงสัยไม่ได้..ทำไมฉันต้องมาเจอคนอย่าง “เธอ” ด้วย ฉันคงทำบุญน้อยไปใช่มั้ย? แต่ก็ไม่น่าจะให้ฉันตกนรกตั้งแต่เรียนอยู่อย่างนี้ ชีวิตฉันยังสดใสกลับต้องมาอับแสงเพราะคนอย่าง “เธอ” ได้ยังไงกัน.. ฉันยิ่งเกลียด “เธอ” ที่สุด ‘หรือเป็นเพราะไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น ...’

วันต่อมา...เป็นชั่วโมงกิจกรรมยามว่าง อาจารย์ปล่อยให้ทำงานกันตามสะดวก “เธอ” เดินเข้ามาบอกกับฉันและเพื่อน ๆ ว่าอาจารย์ให้ไปทำความสะอาดห้องสมุด ฉันดูแววตาแล้วทะแมง ๆ ไม่น่าไว้ใจ แต่ด้วยความที่ “เธอ” เป็นหัวหน้าห้อง ทำให้เพื่อน ๆ ไม่กล้าขัด ไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใด ๆ พวกเราก็เลยถือไม้กวาดพากันเดินไปห้องสมุด อาจารย์ถามว่า... “มาทำไมกัน?” ฉันตอบกลับไปสีหน้างง “มาทำความสะอาดห้องสมุดค่ะ” อาจารย์ทำหน้างง?? ก่อนจะบอกว่า“ครูไม่ได้ใช้นะ” ที่นี้ล่ะ ฉันก็ถึงบางอ้อในที่สุดแต่ก็สายไปแล้วเพราะเมื่อลงมาก็เห็น “เธอ” หัวเราะร่าอย่างคนอารมณ์ดี ฉันจะทำยังไงกับ “เธอ”ดี? ที่ทำได้คือเพิ่มความเกลียด “เธอ” ขึ้นไปอีกขั้น ‘หรือเป็นเพราะเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น ...’
>>> งานเลี้ยงรุ่นจัดการแสดงห้องละ 2 ชุดเพื่อเป็นการอำลาสถาบัน ห้องเราโดนจับตามองกว่าห้องไหน ๆ เพราะมี “เธอ” เป็นดาวเด่นประจำโรงเรียนอยู่นั่นเอง ชุดแรกเป็นการแสดงมินิคอนเสริ์ตโดยการรวมตัวของผู้ชายในห้องเราเอง มตินี้ผ่านที่ประชุมโดยไม่มีข้อสงสัย และหนึ่งในสมาชิกของวงก็เป็น“เธอ” ฉันอดสงสัยไม่ได้... ดนตรีไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับ “เธอ” ได้สิ? “เธอ” เป็นมือกลองที่เหมือนจะเด่นกว่านักร้องนำซะอีก ... ฉันมองนิ่งไปที่ “เธอ” ราวกับต้องมนต์ มันดึงดูดให้ฉันละสายตาไปไม่ได้ “เธอ” ดูดีท่ามกลางแสง สี และเสียง... การแสดงของ “เธอ”ผ่านไปได้ด้วยดีเรียกเสียงตบมือดังสนั่นที่หอประชุม... “เธอ” ฉีกยิ้มกว้างฉันนิ่งอึ้งไปกับรอยยิ้มนั้น(ใจฉันเต้นรัวอย่างประหลาด) “เธอ” คนเจ้าเล่ห์ที่ยิ้มแล้วดูดีจริง ๆ (แต่..เอ๊ะ ทำไมฉันคิดแบบนั้นล่ะ?) ส่วนอีกหนึ่งการแสดงก็คือละครเวที เรื่องสโนไวท์นั่นเอง... คลาสสิคซะไม่มีเกิน เพื่อนสนิทฉันหน้าตาดีหน่อยได้รับบทเป็นสโนไวท์ ส่วนฉันถนัดอยู่หลังเวทีเลยได้อยู่เป็นผู้ช่วยฝ่ายกำกับฉากการแสดง แต่เจ้าชายในเรื่องดันเป็นคนที่ฉันแอบชอบนี่สิ เฮ้อ++ หลายครั้งที่ฉันแอบมองตาม เค้าช่างงดงาม ส่องแสงสว่างจ้าเมื่อได้สวมเสื้อผ้าในการแสดง ราวกับเป็นเจ้าชายจริง ๆ ฉันชักอยากเป็นสโนไวท์ แล้วสิ...เหมือนสวรรค์จะได้ยินคำร้องขอจากฉัน วันต่อมาบทสโนไวท์ตกมาเป็นของฉัน(ซะงั้น) เนื่องจากตัวจริงเค้าบาดเจ็บเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่มีใครยอมรับบทนี้ทุกคนปฏิเสธที่จะเป็น... แต่ “เธอ”กลับเสนอชื่อฉันให้รับบทนี้ มันทำให้ฉันตกใจมาก ฉันอยากจะปฏิเสธเพราะคิดว่ามันคงต้องมีอะไรแอบแฝง แน่นอน..ฉันไม่ไว้ “เธอ” นั่นเอง แต่เพราะคนที่ฉันแอบชอบเป็นเจ้าชายและนี่คือผลบุญเลยตกมาที่ฉัน(อย่างไม่คาดฝัน) ฉันต้องคว้าโอกาสทองนี้ไว้ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน.. ฉันตอบรับบทนั้นด้วยความเต็มใจเพียงเพราะจะได้โอกาสใกล้ชิดกับคนที่ฉันชอบ(โดยลืมไปว่า...มันไม่ใช่ง่าย ๆ)ตอนแรกฉันทำไม่ได้ แค่ใกล้เขาก็ทำให้ใจฉันสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ จนโดนอาจารย์คุมซ้อมดุไปหลายที ฉันรู้สึกไม่ดีและเริ่มท้อแท้ แต่คนที่ฉันชอบเข้ามาปลอบใจพร้อมกับส่งยิ้มให้ ราวกับปาฏิหาริย์ ฉันกลับมีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยม...เขาช่างเกิดมาเพื่อเป็นแรงบันดาลใจฉันโดยแท้จริง(ฉันคิดในใจอย่างเพ้อฝัน) ฉันปลื้มมากและรู้สึกเหมือนตัวเองล่องลอยอยู่กลางอากาศ ช่างมีความสุขอะไรอย่างนี้ วันซ้อมใหญ่ฉันทำได้ดีมาก หลายคนชมว่าอย่างนั้น เขาแค่หันมาส่งยิ้มให้ฉันแค่นั้นก็ทำให้ฉันมีกำลังใจในวันแสดงจริงแล้ว(เฮ้อ..สวรรค์ให้ฉันตายตอนนี้ฉันก็ยอม) จนกระทั่งวันแสดงจริงมาถึงฉันตื่นเต้นแทบตั้งสติไว้ไม่อยู่ แต่เหมือนฟ้าแกล้ง... “เธอ” โผล่มาในบทของเจ้าชายส่วนเขาคนที่ฉันแอบชอบกลับติดภารกิจมาร่วมงานไม่ได้(อาจารย์ซ้อมบอกอย่างนั้น) ฉันแทบล้มทั้งยืน “เธอ” เข้ามาขัดขวางความสุขอันริบหรี่ของฉันจนได้ นี่ใช่มั้ย? สาเหตุที่ “เธอ” เสนอชื่อฉัน.. ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่บนหน้าผาสูงชันที่ข้างล่างเป็นหุบเหวลึกแล้วโดน “เธอ” ผลักให้ตกลงไปซะงั้น... (ฉันจะทำยังไงดี)
>>> ฉากจบเจ้าชายต้องจุมพิตเจ้าหญิงให้ฟื้นจากการหลับใหล นั่นนับเป็นฉากที่ฉันกลัวที่สุด พอ“เธอ” ก้มหน้ามาใกล้ความตกใจมันทำให้ฉันเอี้ยวตัวหลบ ทำให้ “เธอ” เสียหลักล้มลงบนฉันทั้งตัว ฉันตกใจแต่สายไปเสียแล้วเมื่อริมฝีปากของเราประกบกันพอดี (โลกทั้งโลกเหมือนจะหยุดหมุนในทันใด)เสียงโห่ร้องดังไปทั่วหอประชุมพร้อมกับผ้าม่านที่เคลื่อนตัวลงปิด ในที่สุดก็จบการแสดง...แต่....มันเกิดอะไรขึ้น?เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของ “เธอ” เบา เบา หรือ ฉันหูฝาดไปเอง?? เมื่อตั้งสติได้ฉันรีบยกมือขึ้นดันตัว “เธอ” ออกและลุกขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้หัวเราโขกกัน ต่างคนก็ต่างยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองด้วยความเจ็บ ฉันรู้สึกสะใจที่ได้แก้แค้น “เธอ” แต่กลับเห็นรอยยิ้มที่ไม่เคยเห็นและที่สำคัญ “เธอ”ยิ้มให้ฉัน(ใจฉันเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว) “เธอ” ยื่นมือมาฉุดให้ ฉันลุกขึ้นพร้อมกับกระซิบเบา ๆ“....สโนไวท์คนนี้ซุ่มซ่ามที่สุดในโลกเลย...แต่ก็น่ารักดี^^.....”“เธอ” พูดด้วยน้ำเสียงบางเบาและอบอุ่นพร้อมกับส่งยิ้มที่แสนอ่อนโยนให้ ฉันกระพริบตาอย่างอึ้ง ๆ (นี่เธอ...ตัวจริงหรือเปล่า?) ฉันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้า ชาวาบไปทั้งตัว ยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองไว้เพื่อปกปิดมันจาก “เธอ” พร้อมกับเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนมากหน้าหลายตากำลังจ้องมองมาที่เราสองคน ฉันพาตัวเองออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็วเท่าที่ขาสั้น ๆ ของฉันจะทำได้ รู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ... ฉันเกลียด “เธอ” ที่สุด ทำไมต้องทำให้ฉันรู้สึกแบบนี้นะ? ‘ก้อเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น...(ไม่ใช่เหรอ?)’ >>> วันรุ่งขี้น... เรื่องของเราก็ดังกระหึ่มไปทั่วสถาบันมีสายตามองมาที่ฉันมากมายทั้งยิ้ม ๆ เฉย ๆ จนไปถึงทำท่าทางเหมือนจะฉีกฉันออกเป็นชิ้น ๆ ฉันต้องคอยตอบคำถามซ้ำซากและคอยหลีกเลี่ยงกองทัพสายตาอันแหลมคมราวกับจะจิกเจ้าไปในเนื้อของฉัน วันที่แสนสงบของฉันหายวับไปเพียงชั่วข้ามคืน ความเบื่อหน่ายเริ่มเกาะกินฉันทีละนิดอาการไมเกรนเริ่มถามหา ฉันต้องปลีกตัวไปกินยาและนอนพักที่ห้องพยาบาลและด้วยความเงียบทำให้ฉันเผลอหลับไปนานเท่าใดไม่รู้ พอตื่นขึ้นมา..สิ่งแรกที่เจอก้อคือ“เธอ” (แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง??) ฉันขยี้ตาเพื่อขับไล่ความพล่ามัวและรีบปรับโฟกัสมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ...ใช่ “เธอ” จริง ๆ ด้วย “เธอ” สวมแว่นตานั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่างแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทำให้ฉันหรี่ตาไปมองภาพนั้นใหม่...ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริง ๆ เหมือนฝัน “เธอ” หันมามองที่ฉันก่อนจะถอดแว่นตาวางไว้บนหนังสือที่วางไว้บนโต๊ะ แล้วค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฉันช้า ๆ “ถึงขั้นป่วยเลยเหรอ?” เธอถามเสียงกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ประโยคนั้นทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ในทันที
“นายมาทำอะไรที่นี่??” เธอไม่ตอบแต่กลับส่งยิ้มให้
“เธอไม่ได้อ่อนแอขนาดนี้นี่..หึหึ” (หัวเราะทำไม?? ก้อเรื่องยุ่ง ๆ เนี่ยมันเกิดเพราะใครกันล่ะ?) ฉันสลัดผ้าห่มออกเมื่อคิดขึ้นได้ว่าเลยชั่วโมงเรียนวิชาสุดท้ายของวันนี้มาแล้ว..(แล้วใครห่มผ้าให้ล่ะ?)แต่ไม่มีเวลาคิดแล้ว ฉันรีบลุกอย่างรวดเร็วและเป็นเหตุให้หน้ามืดนิดหน่อย เลยทำท่าจะเซเกือบจะล้มอยู่แล้ว ดีที่ “เธอ” เข้ามาพยุงไว้ทัน
“ไม่หายดี จะลุกทำไม?” เสียงเธอเอ็ดเบา ๆ
“ฉันบอกอาจารย์ให้แล้วว่าเธอลาป่วย..นอนพักต่อก้อได้..จะได้มีแรง อีกสักพักถึงจะเลิกเรียน” ฉันมองเธออย่างนึกประหลาดใจ...นี่คงเป็นประโยคแรกที่เราพูดกันยาว ๆ
“ฉันไม่ได้เป็นไรซะหน่อย...ทำไมต้องลาให้?” ฉันเถียงก่อนสะบัดตัวถอยห่างจาก “เธอ” เพื่อรักษาระดับความห่างไว้สีหน้าไม่ไว้ใจ “เธอ” มองมาที่ฉันยิ้ม ๆ (เอาอีกแล้ว...ยิ้มทำไม?) ฉันเริ่มรู้สึกหงุดหงิดคงยิ้มเยาะเย้ยฉันอีกเหมือนเคยสินะ...ก็มันเป็นงานประจำ “เธอ” ไปแล้วนี่ แล้วฉันจะห้ามได้ยังไงล่ะ?..
“บ้านอยู่ไหน?” ห๋า..ฉันตกใจ “เธอ” ถามพร้อมกับชูประเป๋าของฉันที่อยู่ในมือ ฉันรีบเข้าไปยื้อแย่งกระเป๋าคืน .. แต่ไม่สำเร็จ
“ฉันจะส่งเธอกลับบ้านเอง” เธอบอก
“ไม่ต้อง!!” ฉันสวนทันควัน แต่ “เธอ” ถือกระเป๋าเดินนำลิ่วออกจากห้องไป ฉันเดินตามอย่างจนใจ ใครจะเอาแต่ใจได้เท่า “เธอ” มั้ยนะ..(ฉันคิดปลง ๆ ) ฉันเกลียด “เธอ” ที่สุด ..แล้วความรู้สึกแปลก ๆ นี้ล่ะ..คืออะไร?? ‘หรือเป็นเพราะเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็นนะ?’
>>> หลังจากวันนั้น “เธอ” ก้อไปส่งฉันที่บ้านทุกวัน แน่นอน...ฉันไม่พอใจ แต่ไล่ยังไง “เธอ” ก้อไม่ไปยังคงทำอยู่อย่างนั้น น่าแปลกที่เราคุยกันได้นานขึ้น ในหลาย ๆ เรื่องแล้ววันนี้ก้อเป็นวันสุดท้ายของพวกเรา ณ สถาบันแห่งนี้ ทำไม..เวลาเดินเร็วจัง (ฉันอดคิดไม่ได้)พวกเพื่อน ๆ ผลัดกันเขียนละเลงบนเสื้อของเพื่อน ๆ เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำในวันข้างหน้า จู่ ๆ “เธอ”ก้อยื่นกล่องกำมะหยี่สีแดงให้ฉันพร้อมส่งยิ้มที่ดูดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา(อีกแล้ว...รู้สึกวูบวาบไปทั่วใบหน้าอีกแล้ว)...ทำไมฉันต้องหวั่นไหวไปกับรอยยิ้มนี้ด้วยนะ? ก่อนที่จะมีใครสังเกตเห็นอาการผิดปกติทีเกิดขึ้นฉันถามกลับในทันที
“ให้ฉัน..ทำไม??” เธอมองตรงมาที่ฉันพร้อมส่งกล่องใบนั้นใส่มือฉัน
“มันเป็นของเธอ” ฉันมองกล่องนิ่ง... มันคืออะไร?..ความกลัวและความระแวงมันแล่นเข้ามาในความรู้สึกอย่างไม่ได้ตั้งใจ “เธอ” เดินออกจากห้องไปกับเพื่อน ๆ แต่ก้อไม่วายจะหันมาตะโกนบอกฉัน
“เปิดดูที่บ้านนะ” ทำไมรู้สึกแปลก ๆ อีกแล้ว... ฉันเกลียด “เธอ” ไม่ใช่เหรอ? ‘ก้อเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็นนี่..ใช่มั้ย??’
>>>> หลังจากวันนั้นฉันและเพื่อน ๆ รวมทั้ง “เธอ” ด้วย เราไม่ได้เจอกันเลยเพราะทุกคนวุ่นวายกับชีวิตตัวเองที่ต้องก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ฉันทุ่มเทกับมันมากเรียกได้ว่าจดจ่อกันเลยทีเดียวกว่าจะได้มาซึ่งคณะที่ฉันอยากเรียน ชีวิตก้อยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนว่าหลงลืมอะไรบางอย่างไป แต่ก็นึกไม่ออกจริง ๆ ว่ามันคืออะไร? และหลายครั้งที่ฉัน คิดถึง “เธอ” อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย..และก็รีบไล่ความรู้สึกแปลก ๆ นั้นออกไปอย่างรวดเร็วจนวันหนึ่งแม่เอาเสื้อที่เพื่อน ๆ เขียนให้วันสุดท้ายมาให้ฉันแล้วบอกว่าตกอยู่คิดว่าไม่เอาแล้วฉันรีบคว้ามันมาอย่างรวดเร็ว แม่ยิ้มให้อย่างเอ็นดูก่อนจะเดินออกไป แม่น่ารักที่สุด ... ฉันหยิบมันขึ้นมาดู นึกถึงความทรงจำครั้งเก่าแล้วอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้...แต่เอ๊ะ!! ..ตรงนี้ใครเขียนอ่ะฉันเพิ่งสังเกตเห็นบางอย่างด้านหลังของเสื้อ มันคือ ...รูปกล่องสีแดง แล้วเขียนข้อความด้านล่างกำกับไว้ว่า...
”มันเป็นของเธอ” ไม่ลงชื่อ...คุ้น ๆ นะ...อ๊ากก....กล่องกำมะหยี่สีแดงที่ “เธอ” ให้วันนั้น...
ฉันรีบพลิกห้องเพื่อหากล่อง ๆ นั้นอย่างบ้าคลั่ง ฉันนี่โง่จริง ๆ เลยทำไมต้องลืมเรื่องนี้ด้วยนะ... ฉันหามันสักพักก็เจอ..รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก... ฉันเปิดกล่องนั้นดูช้า ๆ มีพวกกุญแจหมีตัวโปรดของฉัน รูปภาพที่ฉันวาด กลอนที่ฉันแต่ง และไดอะรี่เล่มแดงอยู่นั้น..ของทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ “เธอ” แย่งไปจากฉันนี่นาแล้วมันมาอยู่รวมกันที่นี่ได้ไง? แน่นอนฉันเปิดไดอะรี่อ่านด้วยความอยากรู้...นี่มันลายมือ “เธอ” นี่น่า..ฉันรีบเปิดหน้าถัดไปทันที llllV.... คุณเชื่อในรักแรกพบมั้ย?? ....
.... ‘คุณเชื่อในรักแรกพบมั้ย?’ ..สำหรับผมไม่เชื่อเลย และไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ แต่...วันแรกที่ผมได้เจอเธอ ผมกลับเชื่อได้อย่างสนิทใจเลย..นั่นเป็นเพราะว่าผมหลงรักเธอในทันที ผมเข้าใจในตอนนั้นเลยว่า... ความหมายของคำว่า “รักแรกพบ” มันคืออะไร…
.... ‘เธอ’ เป็นแค่ผู้หญิงผอมบาง ไม่โดดเด่นในเรื่องใด ๆ แต่เธอยิ้มสดใสมาก มันทำให้โลกนี้ยิ้มไปกับเธอด้วย ผมหลงรักรอยยิ้มนั้นตั้งแต่แรกเห็น ดวงตากลมโตที่มองมุ่งมาที่ผม บ่งบอกชัดเจนว่าเธอไม่ชอบผมและเกลียดหน้าผมด้วยซ้ำ แต่กระนั้นผมก็ยังรักเธออยู่ดี..
.... ‘เธอ’ ซุ่มซ่ามเกินใคร ชอบพูดแต่คำว่า “ขอโทษ” และ “ขอบคุณ” เสมอ ผมยังนึกสงสัยว่า..เธอคงพูดเป็นแค่สองคำนี้เท่านั้น เธอคุยกับเพื่อน ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะรวน แต่พอเห็นหน้าผมเธอกลับทำหน้าบึ้งตึงใส่..เธอคงไม่ชอบหน้าผมจริง ๆ แต่ทำไงได้ผมละสายตาจากเธอไม่ได้ ...เธอคือรักแรกพบของผมนี่นา..ยังไงเธอก็คือคนที่ใช่สำหรับผม...คิดแค่นั้นก็ทำให้ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ..
…. ‘เธอ’ ชอบฟังเพลงและรักสันโดษ ไม่ชอบความวุ่นวาย เพราะบ่อยครั้งที่ผมสังเกตุเห็นเธอจะชอบอยู่กับเสียงเพลงและหลีกหนีสังคมและการสังสรรเป็นประจำ เธอชอบวาดรูปเป็นชึวิตจิตใจ และผมคิดว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านนี้อย่างเปี่ยมล้น
.... ‘เธอ’ ชอบน้ำแอปเปิ้ลเป็นที่สุด เพราะผมสังเกตเห็นว่าเธอพกมันทุกวัน และคิดว่าเธอคงชอบทำอะไรซ้ำ ๆ เวลาอ่านหนังสือได้ไม่กี่หน้าเธอก็จะหลับ...จนผมรู้สึกขำ เธอเรียนไม่เก่งแต่ขยันสุด ๆ...จนผมอดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ เธอชอบทำโน่นทำนี่ให้คนอื่นอยู่เสมอ...จนผมรู้สึกประทับใจ แค่ได้คิดถึงเธอก็ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวทุกที...มันรู้สึกมีความสุขอย่างบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก..
ฉันหยุดอ่านสักครู่ รู้สึกอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งจะรู้ ใจเต้นรัวอย่างหยุดไว้ไม่อยู่ นี่ฉันคิดผิดมาตั้งแต่ต้นหรือนี่..
... รูปภาพที่เธอวาด ผมกะว่าจะขอเธอดี ดี แต่คิดว่าเธอคงไม่ให้คนอย่างผมง่าย ๆ ก็ผมมันแสดงความรู้สึกอย่างใครเขาไม่เป็นนี่..กับคนอื่นผมคุยได้ปกติแต่กับคนที่ชอบมันต่างกัน ทุกทีที่เอ่ยปากมันทำให้ผมรู้สึกกลัว กลัวว่าเธอจะเกลียดผมมากว่าเดิม ทุกครั้งที่เข้าใกล้ผมรู้สึกประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สรุปผมก็คือคนขึ้ขลาดคนหนึ่งที่กลัวแม้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เช่นเธอ ...ผมยอมรับโดยไม่มีคำปฏิเสธใด ๆ
... รูปถ่ายของเธอ ผมเพิ่งได้กล้องมาใหม่และคนที่ผมอยากถ่ายคนแรกก็คือเธอ แต่แน่นอนว่า ถ้าเดินเข้าไปขอถ่ายรูปด้วยมันคงดูแปลก ๆ และผมไม่กล้า ส่วนเธอก็คงไม่ยอม ผมก็เลยได้แต่แอบถ่าย
...ทุกที่ที่เธอไป ทุกรอยยิ้มที่เธอยิ้มออกมา ทุกอิริยาบถ ผมอยากเก็บเธอไว้ในความทรงจำ..เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมจะกล้าบอกรักเธอ..
… พวงกุญแจตัวโปรดของเธอที่ผมถือวิสาสะปลดมันออกมาโดยที่เธอไม่อนุญาต แต่ทำไงได้ผมมันความรู้สึกไม่ตรงกับใจ ปากอย่างใจอย่างมันคงทำให้เธอไม่ชอบเอามาก ๆ
… การที่ผมคอยวนเวียนอยู่ใกล้เธอนั่นก็เพราะว่าอยู่ใกล้เธอแล้วผมมีความสุข เธอทำให้ผมยิ้ม เธอทำให้ผมหัวเราะ และเธอทำให้ผมสบายใจอย่างประหลาดเหมือนตัวเธอจะปล่อยรังสีแห่งความอบอุ่นออกมาให้คนรอบข้างได้สัมผัสโดยที่เธอก็ไม่รู้ตัว แม้ว่าการอยู่ใกล้ ๆ ของผมมันทำให้เธอมองเป็นว่า ผมหัวเราะเยาะหรือยิ้มเยาะใส่เธอก็ตาม...
... มีใครบางคนเข้ามาบอกชอบเธอ แน่นอนผมไม่ชอบเอามาก ๆ เหมือนผมรู้สึกหวงเธอ แต่ผมก็คิดว่าการที่เธอตกลงคบใครไปสักคนยังดีซะกว่า ในเมื่อผมไม่มีความกล้าเท่าหมอนั่น แสดงว่าเขาต้องกล้ามากที่เข้ามาบอกชอบเธออย่างนั้น เป็นการดีหากเธอตกลงผมคิดอย่างนั้นแต่ทำไมใจผมมันเจ็บปวดแบบนี้
… ‘เธอ’ ยังคงเย็นชากับผมเหมือนเดิมแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หลายครั้งที่ผมรู้สึกท้อ..แต่ก็ไม่เคยถอย รอยยิ้มของเธอยังคงเป็นดั่งกำลังใจของผมเหมือนเดิม เหมือนวันแรกที่เราเจอกัน..ผมคิดว่าการที่ผมชวนทะเลาะจะทำให้เรารู้สึกถึงกันได้มากกว่าที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย และผมใช้วิธีนี้ในการเข้าเธอ...ระยะนี้เธอรู้สึกจะผอมลงไปกินน้อยลงแต่ก็ยังคงยิ้มง่ายเหมือน เดิม ผมรู้สึกว่าเธอกำลังไม่สบาย เวลาที่เธอลุกขึ้นเร็ว ๆ เธอจะหน้ามืดจนผมรู้สึกเป็นห่วง
นี่ “เธอ” ไม่ได้เกลียดเราเลยหรือนี่? ฉันอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกสงสาร “เธอ” จับใจนี่ ฉันใจร้ายกับ “เธอ” มากเกินไปใช่มั้ย?? มันเป็นเพราะฉันเองความผิดทุกอย่างเกิดจากฉันคนเดียว...ทำไมฉันถึงได้งี่เง่าขนาดนี้นะ..
... วันที่แสดงละครเวทีผมดีใจเป็นที่สุด เราได้ใกล้ชิดกันอย่างไม่คาดฝัน ที่จริงก่อนหน้านั้นผมไปขอร้องเพื่อนสนิทที่เธอแอบชอบ ผมรู้ว่ามันเป็นการใจร้ายกับเธอมาก ๆ แต่เพื่อนผมกลับเข้าใจมันหลีกทางให้อย่างไม่ต้องให้พูดซ้ำ อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่เคยขอร้องใครไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็ตามแต่ผมกลับขอร้องมันด้วยเรื่องของเธอ
.....ใจหนึ่งผมก็รู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้เธอตกเป็นเป้าหมายของพวกชอบนินทามากมาย แต่อีกใจหนึ่งมันวิเศษมากสำหรับผม...จนผมตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าใกล้และพยายามทำดีกับเธอให้มากที่สุด เพื่อลดระยะห่างของเราและถ้ามีโอกาสผมจะบอกเธอถึงความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจของผมมานานให้เธอฟัง อีกอย่างเวลาของเราก็กำลังจะหมดลงไปเรื่อย ๆ เวลามันช่างเดินเร็วอะไรเช่นนี้...
...ผมไม่รู้ว่าเธอจะคิดเหมือนผมหรือเปล่าหรือเป็นเพราะระยะหลัง ๆ มานี่เราคุยกันได้มากขึ้นในหลาย ๆ เรื่อง ผมไม่รู้ว่าเธอจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่เธอเริ่มหัวเราะและยิ้มให้กับผมบ่อยขึ้นมันทำให้ผมมีความสุขมาก......
...ผมตัดสินใจส่งไดอะรี่เล่มนี้ให้เธอในวันนี้... เพราะอยากให้เธอได้อ่านมันก่อนวันที่ผมต้องเดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกาตามกำหนดการที่ครอบครัวของผมได้วางแผนเอาไว้ ผมอยากบอกเธอถึงความรู้สึกที่ผมมีทั้งหมดแต่ไม่กล้า ผมไม่สามารถขอให้เธอรอผมได้ เพราะนั่นมันเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป เธออาจมีคนที่ดีกว่าผมเข้ามาในชีวิตอีกมากมาย...แต่ผมจะรอคำตอบจากเธอในวันนั้น...ถ้าเธอไม่มานั่นคงเป็นคำตอบแล้วว่า..ผมจะปล่อยเธอไป เพราะเราไม่ได้ถูกลิขิตมาให้เป็นคู่กัน..ผมจะเก็บเธอไว้ในความทรงจำตลอดไป...……………….
... ฉันกลายเป็นคนใจร้ายไปได้ยังไง?... ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้...? ฉันปิดไดอะรี่ลงด้วยความรู้สึกเศร้าน้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่ใช่เพราะเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น แต่เป็นเพราะฉันมองเห็น “เธอ” ตั้งแต่แรกต่างหาก...... นี่ฉันเพิ่งรู้หัวใจตัวเองหรือนี่?
....การบอกตัวเองว่าเราไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็นนั่นเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธความรู้สึกในส่วนลึกของใจฉัน ที่จริงมันไม่ใช่เลย..ตรงกันข้ามต่างหาก
...ฉันพลิกดูที่อยู่แล้วรีบโทร.ไปที่นั่นทันที แต่เขาตอบกลับมาว่า “เธอ” ออกไปสนามบินครู่ใหญ่ ๆ แล้ว ฉันรีบคว้าโทรศัพท์แล้ววิ่งออกไปทันที ...
...ที่สนามบิน..ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ แล้วฉันจะหา “เธอ” เจอได้ยังไง(ฉันคิดด้วยความร้อนใจ) ฉันวิ่งหา“เธอ” ไปทั่วเหมือนคนบ้า..ใช่ฉันกำลังจะเป็นบ้าจริง ๆ ฉันอยากเจอ “เธอ” อีกครั้งแล้ว ฉันจะบอกความในใจของฉันให้ “เธอ” ฟัง พระเจ้าโปรดเห็นใจฉันด้วย..(ฉันได้แต่ภาวนาในใจ)
....ฉันหยุดมองไปรอบ ๆ เหมือนโลกมันหมุนรอบตัวอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่... ฉันหา “เธอ” ไม่เจอ... ถ้าฉันเปิดมันอ่านเร็วกว่านี้มันจะไม่จบลงแบบนี้ใช่ไหม? ฉันนี่มันงี่เง่าจริง ๆ ฉันอดนึกโทษตัวเองไม่ได้ ร่างกายฉันเริ่มสั่นเหมือนจะอ่อนแรงทำท่าจะทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น
....แต่ทว่า..มือใครบางคนฉุดฉันไว้ให้ยืนขึ้นอีกครั้ง ฉันหันไปมองด้วยน้ำตานองหน้า...เป็น “เธอ” ใช่ “เธอ” คนที่ฉันกำลังตามหาจริง ๆ ด้วย
....“เธอ” ดึงฉันไปกอดอย่างรวดเร็วอ้อมกอด “เธอ” มันช่างอบอุ่นจริง ๆ แล้วฉันก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นด้วยความโล่งใจ น้ำตาที่ไหลไม่ใช่ความเสียใจแต่มันคือความตื้นตันใจที่เราได้เจอกันอีกครั้ง..ขอบคุณพระเจ้า
“ฉันดีใจที่เธอมา…” คำพูดเบา ๆ ที่แสนจะอบอุ่นมันกลับดังก้องอยู่ในหัวของฉันแล้วมันก็กระตุ้นให้ต่อมน้ำตาของฉันทำงานไม่หยุด
“ฉันขอโทษ...” ไม่มีคำพูดใดที่จะใช้ได้นอกจากคำนี้
“ไม่เป็นไร..ยังไงเธอก็มาแล้ว” เธอตอบพร้อมกับลูบผมฉันเบา ๆ เป็นการปลอบใจ ฉันเพิ่งรู้เดี่ยวนี้เองว่า ฉันเกือบทำสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตหล่นหายไปด้วยความสะเพร่าของตัวเอง
“ขอบคุณ..” ฉันพูดเบา ๆ รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เธอเช็ดน้ำตาให้และส่งยิ้มให้ฉัน
“ฉันรักเธอ..เธอรอฉันได้ไหม?” เธอจับไหล่ฉันไว้มองตรงมาที่ฉันอย่างมุ่งมั่น ฉันนิ่งอึ้งไปสักพัก ตอนอ่านไดอะรี่ฉันรู้สึกดีกับคำ ๆ นี้มากแต่การได้ยินด้วยคำพูดมันวิเศษกว่านั้นอีก
“ฉันบอกกับตัวเองตอนวิ่งมาที่นี่ว่า ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้งฉันจะไม่ปล่อยให้สิ่งมีค่าที่สุดของฉันหลุดมือไป ดังนั้น..ฉันจะรอเธอกลับมา” ฉันตอบอย่างมั่นใจ เธอยิ้มและสวมกอดฉันอีกครั้ง
“ขอบคุณมาก ฉันสัญญาว่าจะกลับมาให้เร็วที่สุด” เธอพูดก่อนเดินจากไปช้า ๆ การจากลามันไม่ง่ายสำหรับเรามากนัก ฉันยืนมองเธอเดินจากไปด้วยน้ำตาแต่ในหัวใจกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่เราต่างมีให้กัน
“ฉันรักเธอ” เธอหยุดเดินแล้วหันมาหาฉันระยะห่างของเราไม่ไกลนักแต่ฉันก็ได้ยินชัดเจน ฉันส่งยิ้มให้ก่อนจะตะโกนกลับไป
“ฉันก็รักเธอ”
.... มาถึงตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจความหมายของมันมากขึ้น คิดถึงครั้งแรกที่เราเจอกันมันทำให้ ฉันสุขใจทุกครั้ง อย่างน้อยฉันก็รู้แล้วว่า
...เราไม่ได้ไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น..แต่เราตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็นต่างหาก..
...ขอบคุณโชคชะตาทำให้เราเจอกัน ….
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in