เชียงดาวเมืองแห่งขุนเขา
เชียงดาวเป็นอำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ 72 กิโลเมตร เป็นเมืองที่มีภูเขาสูงและทิวเขาโอบรอบ มีทิศเหนือติดกับชายแดนรัฐฉาน ประเทศพม่า และเชียงดาวมีอายุครบ 110 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งเมืองมาเมื่อปีพุทธศักราช 2452
เชียงดาวมีป่าต้นน้ำอันเขียวชอุ่ม ที่ช่วยกักเก็บและรองรับปริมาณน้ำฝนโดยมีต้นไม้และผืนดินคอยดูดซับและค่อยๆปล่อยน้ำให้ไหลลงมาทีละน้อย กลายเป็นแม่น้ำปิงสายใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงทุกชีวิตที่นี่ คนเชียงดาวเชื่อว่าธรรมชาติมีชีวิตและจิตวิญญาณ ตั้งแต่ภูเขา ต้นไม้ และสายน้ำหรือแม้กระทั่งก้อนหิน พวกเราจึงอาศัยอยู่กับธรรมชาติด้วยความเคารพ
เราเคยได้ยินคำพูดของนายลี กวน ยู มหาบุรุษผู้เป็นนายกรัฐมนตรีในหัวใจของคนสิงคโปร์ ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่า “ผมมีความเชื่อว่าเมืองที่มีภูมิทัศน์เสื่อมโทรมและป่าคอนกรีตทำลายจิตวิญญาณของมนุษย์พวกเราต้องการพื้นที่สีเขียวของธรรมชาติ เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของเรา” นี่เป็นวาทะของนายลีกวนยูเมื่อปี 1995 ซึ่งปัจจุบันกาลเวลาล่วงเลยมาจนถึงปี 2019 แต่คำพูดของเขาไม่เคยล้าสมัย การพัฒนาในความหมายของเขา คือการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นเมืองสีเขียวที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีราว 50% ของพื้นที่ทั้งหมด
แน่นอนว่าในแง่ความเจริญ อำเภอเชียงดาวเองไม่อาจเทียบกับประเทศสิงคโปร์ได้ แต่สิ่งที่เรามีเหมือนกัน นั่นคือความผูกพันต่อใบไม้ทุกใบ ต้นไม้ทุกต้นและผืนป่าอันเขียวขจี มนุษย์สามารถอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติคำนึงถึงสัตว์น้อยใหญ่ที่พึ่งพาพื้นที่สีเขียวเช่นเดียวกัน
หนึ่งในสิ่งที่ดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลเข้ามาที่นี่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความยิ่งใหญ่ของดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นดอยที่มีความสูงถึง 2,275 เมตรหรือ 7,136 ฟุต จากระดับน้ำทะเลเป็นยอดเขาที่มีความสูงเป็นอันดับสามของประเทศไทยซึ่งไม่ว่าเราจะยืนอยู่ตรงจุดไหนในอำเภอเชียงดาว เราจะมองเห็นดอยหลวงที่ตั้งตระหง่านเสมอให้ความรู้สึกมั่นคงและอบอุ่นในใจ แต่ไม่ใช่แค่คนในท้องถิ่นเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้แต่ไม่ว่าใครที่ได้มาเยือนที่นี่มักจะอยากกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง
เชียงดาวเป็นเมืองที่ต้อนรับทุกชีวิตด้วยไมตรีไม่ว่าจะเชื้อชาติใด จึงถือเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมค่อนข้างสูงจะเห็นได้จากผู้คนจากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ร่วมกันในอำเภอเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งเป็นพี่น้องชาวปกาเกอะญอ ลีซู ม้ง ล่าหู่ อาข่า ดาระอั้ง รวมไปถึงชาวคะฉิ่นและจีนฮ่อที่อพยพเข้ามาเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนด้วย
แต่คนเชียงดาวรุ่นใหม่ที่ออกโบยบินสู่โลกกว้าง ออกไปใช้ชีวิตเล่าเรียน และทำงานในตัวเมืองเชียงใหม่หรือในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครก็มีมาก บางคนมีแรงปรารถนาเป็นสิ่งผลักดันในชีวิต แต่บางคนต้องจากถิ่นที่อยู่ไปด้วยความจำเป็น ทุกคนหวังเพียงอยากยกระดับความเป็นอยู่ในชีวิตให้ดีขึ้น หลายคนได้รับโอกาส หากอีกบางคนต้องผิดหวังกลับมา เมื่อพบว่าตลาดแรงงานไม่ได้อ่อนโยนกับเราอย่างที่คิด ในโลกที่มีการแข่งขันสูง คนที่พ่ายแพ้ก็แค่ต้องเป็นฝ่ายถอย แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไปเล่าเรียนแล้วนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาบ้านเกิดร่วมไปกับภูมิปัญญาท้องถิ่นของบรรพชน เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและเป็นแรงขับเคลื่อนชุมชนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืนโดยไม่พึ่งพารัฐมากจนเกินจำเป็น
ฉันเองก็ฝันถึงเชียงดาวในลักษณะนั้นเสมอ
แต่การปลูกจิตสำนึกรักบ้านเกิดการกลับมาพัฒนาถิ่นเกิด ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในโลกแห่งทุนนิยมเราต้องต่อสู้กับค่านิยมและค่าตอบแทนที่สูงลิบสวนทางกับวิถีชีวิตอันเรียบง่าย คนบ้านเรากว่า 80% เลือกที่จะเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ในเมืองหลวงเพราะได้รับค่าแรงที่สูงกว่า บางรายขายที่ดินที่นาทำกิน พอเงินหมดก็ไม่มีที่ทางให้ทำกิน ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน กลายเป็นวงจรแห่งความยากจนไม่จบสิ้น
มีคนกรุงเทพและต่างถิ่นรวมไปถึงชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่เข้ามากว้านซื้อที่ดินเพื่อทำธุรกิจที่เชียงดาว มีทั้งธุรกิจที่สอดคล้องไปกับวิถีชีวิตของคนในชุมชน และธุรกิจที่มุ่งหวังผลกำไร ในช่วง 4-5 ปีหลังมานี้ เชียงดาวกลายเป็นเมืองที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในความงามของธรรมชาติผู้คนต่างถิ่นมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาอยู่เสมอ เชียงดาวเองก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นกันร้านสะดวกซื้อมากมายผุดขึ้นมาแทนที่ร้านขายของชำ
แต่ประเด็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในไม่กี่เดือนมานี้คือการเดินหน้าโครงการขยายถนนในตัวเมืองเชียงดาวบ้านที่อยู่ติดถนนก็ถูกรื้อถอน ได้ค่าเวนคืนกันไป แน่นอนว่ามีทั้งคนที่เห็นด้วยและคนที่คัดค้าน คนที่เห็นด้วยกับการขยายถนนก็ว่ากันไปถึงการพัฒนาและความสะดวกในการรองรับจำนวนรถที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคตคนที่ไม่เห็นด้วยก็ต่างก็บอกว่าจำเป็นไหมกับการขยายถนนทั้ง ๆ ที่มีทางเลี่ยงเมืองอยู่แล้ว ฉันในฐานะคนเชียงดาวและเพื่อน ๆ ที่รักเชียงดาวเหมือนบ้าน เราต่างไม่ต้องการถนนสี่เลน แปดเลนอะไรเลย สิ่งที่เราต้องการคือระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดการใช้รถเป็นการแก้ปัญหารถติดที่ยั่งยืน มากกว่าการสร้างถนนเพื่อมารองรับรถที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคตสิ่งที่เราต้องเรียนรู้คือการปรับภูมิทัศน์ให้เข้ากับผังเมือง เข้ากับโครงสร้างของชุมชนไม่ใช่การรื้อถอนสิ่งเก่า สร้างสิ่งใหม่มาแทนที่ แล้วเรียกสิ่งนั้นว่าการพัฒนา การที่ใครจะอนุรักษ์อะไรไม่ได้หมายความว่าติดยึดอยู่กับอดีตและไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าจะพัฒนาแล้วละทิ้งอัตลักษณ์และคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ไม่สนใจระบบผังเมืองและความสัมพันธ์กับชุมชนสิ่งนี้น่าเสียใจมากกว่า
เชียงดาวเองก็ถูกทดสอบด้วยคำว่าพัฒนาอยู่บ่อยครั้ง เคยมีโครงการสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปสู่ดอยหลวงเชียงดาว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และนั่นหมายถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจะสะพัดในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ซึ่งโครงการนี้ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ได้พยายามผลักดันให้มีการสร้าง แต่โครงการก็ได้หยุดชะงักไป เนื่องจากมีเสียงคัดค้าน
เราเองก็เป็นหนึ่งในเสียงนั้น จนมีหลายคนมองว่าเป็นพวกล้าหลังไม่ยอมรับการพัฒนา แต่พวกเขาจะรู้ไหม ว่าการสร้างกระเช้าลอยฟ้าต้องทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติไปมากน้อยเท่าไร ต้นไม้หรือพืชพันธุ์บางชนิดต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าสิบปีกว่าจะเจริญงอกงามอย่างที่เห็น เช่นพืชกึ่งอัลไพน์ สัตว์ป่าสงวนอย่างกวางผา เลียงผาไก่ฟ้าหางลายวางที่พบได้เฉพาะที่ดอยหลวงเชียงดาวเท่านั้น และสัตว์น้อยใหญ่อื่น ๆ
เมื่อทำลายแผ้วถางป่า ก็ย่อมกระทบกับระบบนิเวศน์ไปด้วย ในขณะที่ท้องถิ่นวิ่งวุ่นเพื่อจะให้เกิดโปรเจคต์พันล้าน เจ้าหน้าที่ป่าไม้และเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าต่างก็ออกระเบียบจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อป้องกันไม่ให้ดอยหลวงเชียงดาวบอบช้ำมากไปกว่านี้ หากมีการสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นจริง เราจะรับได้ไหมกับการที่เห็นนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่ไม่ได้ตระหนักและใส่ใจในธรรมชาติมากไปกว่าแค่อยากยลความงามแล้วเบียดเบียนธรรมชาติโดยที่ไม่รู้ตัว เรารับได้ไหมกับการที่ต้องตัดต้นไม้บางส่วนที่อาจเป็นพันธุ์หายากเพื่อสร้างกระเช้าลอยฟ้า เมื่ออยากได้ความสะดวกสบายก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสูญเสียเป็นธรรมดา
แต่ความเจริญมักมาพร้อมกับความเสื่อมมีบางสิ่งก้าวหน้าไปมาก แต่ก็มีบางอย่างเสื่อมถอยคนเชียงดาวเองก็เริ่มมีความคิดที่แตกออกเป็นสองเสียง เราจึงมีคำถามว่า เราสามารถที่จะอนุรักษ์ควบคู่ไปกับการพัฒนาได้ไหมทั้งในเรื่องของการขยายถนน และเรื่องการสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นดอยหลวงเชียงดาว เราสามารถสร้างสิ่งใดโดยไม่ทำร้านสิ่งใดได้หรือเปล่านี่เป็นสิ่งที่คนเชียงดาวทุกคนต้องช่วยกันหาทางออกไม่ใช่ปล่อยให้นายทุนหรือกลุ่มคนที่มีอำนาจเข้ามาจัดการได้ตามอำเภอใจ
เชียงดาวเป็นของพวกเราทุกคน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง หากเราร่วมมือกัน ปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นรักถิ่นที่อยู่เข้าใจในภูมิปัญญาท้องถิ่น ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ช่วยกันปกปักรักษาผืนป่าอันเป็นป่าต้นน้ำ ชุมชนนั้นย่อมเข้มแข็ง แล้วเราก็จะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอรัฐเข้ามาจัดการเลย
ไม่ใช่แค่เชียงดาว แต่เราอยากให้ทุกคน ไม่ว่าจะมีบ้านเกิดอยู่ตรงไหน อยากให้รักและภูมิใจในถิ่นที่เกิดหากมีความรู้ก็สามารถเอากลับมาพัฒนาบ้านเกิดได้ ให้เกิดความเข้มแข็ง ยั่งยืนและสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยที่ไม่ต้องไปใช้ชีวิตแออัดอยู่ในเมืองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in