หนังดีที่ควรค่าแก่การดูในเดือนสุดท้ายแห่งปี 2016
ถ้าเอาแบบสั้น ๆ คือ หนังดี แนะนำให้ไปดู
หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นมาจากหนังสือเรื่อง A Monster Calls ที่เขียนโดย Patrick Ness (เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนเขียนบทให้กับ
Doctor Who Spin-Off: Class ทั้งแปดตอนด้วย ไปดูกันได้นะ ทั้งเรื่อง Doctor Who และเรื่อง Class) ที่วางขายเมื่อปี 2011 แปลไทยโดย วรรธนา วงษ์ฉัตร สำนักพิมพ์เวิร์ดส์วอนเดอร์ (Words Wonder Publishing) สั่งซื้อหนังสือได้ที่
READERY และร้านหนังสือทั่วไป (มีทั้งปกเก่าและปกใหม่)
ส่วนหนังเรื่องนี้ได้ สหมงคลฟิล์ม เป็นผู้นำเข้ามาฉายในประเทศไทย ฉายจริงวันที่ 1 ธันวาคม 2016
ได้ J.A. Bayona มาเป็นผู้กำกับ (เขาเคยกำกับหนังที่น่าจะรู้จักกันเรื่อง The Impossible และ The Orphanage และอื่น ๆ อีก)
- หนุ่มน้อย Lewis MacDougall (ที่เคยเล่นเรื่อง PAN [เล่นเป็น Nibs] เพิ่งฉายไปเมื่อ 2015 ยังไงล่ะ [สารภาพว่าตอนแรกจำน้องไม่ได้ น้องโตขึ้นมากเลย])
- Felicity Jones (จากเรื่อง The Amazing Spider-Man 2 , The Theory of Everything แล้วก็ Rogue One: A Star Wars Story ที่กำลังจะเข้าฉายเดือนนี้เหมือนกัน)
- Toby Kebbell (จากเรื่อง Dawn of the Planet of the Apes , Ben-Hur)
- แล้วก็ Sigourney Weaver (จากเรื่อง Avatar , Chappie , Ghostbusters)
- และได้ Liam Neeson มาเป็นอสูรกาย (จากเรื่อง Star Wars: Episode I - The Phantom Menace [Qui-Gon Jinn ของเรา] , The Chronicles of Narnia [พากย์เสียงอัสลาน] , The Dark Knight Rises)
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหนุ่มน้อย คอเนอร์ ที่อยู่กับแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแค่สองคน ส่วนตัวพ่อย้ายไปอยู่อเมริกามีครอบครัวใหม่ที่นั่น คอเนอร์ มักโดนรังแกจากเด็กตัวโตกว่าที่โรงเรียน แล้วต้องย้ายไปอยู่กับยายที่ไม่ถูกกับเขาซักเท่าไหร่ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อเขาพบกับอสูรกายที่เป็นต้นไม้ ผุดขึ้นมาจากต้นยิวที่อยู่ห่างออกไปจากบ้านเขา เพื่อเรีียกเขาให้ฟังเรื่องเล่านิทานทั้งสามเรื่อง เมื่อจบเรื่องที่สามแล้วเขาจะเป็นผู้เล่าเรื่องที่สี่ต่อ ...
ถ้าคิดว่าหนังที่ใช้เด็กเป็นตัวดำเนินเรื่องจะเป็นหนังเด็กไปซะหมด คุณคิดผิดแล้ว
สำหรับเรา เราไม่ได้มองว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเด็กเลยซักนิดนึง เพราะ ด้วยเนื้อหา และสิ่งที่ได้กลับมาจากหนังเรื่องนี้ มันมากกว่าที่คิดไว้ก่อนเข้าไปดูซะอีก
และอีกอย่างนึงที่ไม่ได้คาดคิดคือ น้ำตาท่วม ... ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ร้องไห้ ... แต่ตั้งใจไปก็เท่านั้น ฉากแต่ละฉากที่บีบให้รู้สึกว่า เห้ย ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยล่ะ
อยากให้ทุกคนลองใช้จินตนาการควบคู่กับการดูเรื่องนี้ พร้อมกับกำผ้าเช็ดหน้าในมือให้ดี
อีกอย่างคือ งานสีน้ำ งานอนิเมชั่นเรื่องนี้ทำเราตั้งใจดูมาก (อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เราติดสีน้ำรึเปล่าก็ไม่รู้)
ภาพเบื้องหลังในกองถ่าย A Monster Calls
A Monster Calls ค่อนข้างที่จะบอกให้เรารู้ว่า บางสิ่งที่เรามองเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด อาจจะไม่จริงเสมอไป และเรื่องที่เรามองว่าดี อาจจะไม่ดีเสมอไป อย่างนิทานที่อสูรกายเล่าให้คอเนอร์ฟัง สิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้ ไม่ใช่ว่ามันจะยุติธรรมหรือเสมอภาคกับเราในทุก ๆ อย่าง
คนเราต้องรู้จักที่จะปรับตัวเข้าหากัน ไม่จำเป็นจะต้องยึดมั่นถือมั่นอยู่ฝ่ายเดียว ทุก ๆ อย่างสามารถปรับกันได้ เหมือนอย่างที่คุณยายของคอเนอร์บอกเอาไว้
บางครั้งคนเราอาจจะคิดว่า เราไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลรักษา หลาย ๆ คนอาจจะคิดเพียงแค่ภายนอกร่างกายเพียงเท่านั้น แต่ภายในจิตใจ อาจจะแหลกเหลวไปแล้วก็เป็นได้
เราว่าวัยเด็กเป็นวัยที่สภาพจิตใจบอบบาง บางครั้งเขาอาจจะไม่ได้แสดงออกมา แต่สิ่งที่เขาเผชิญอยู่ หรือเคยประสบนั้น เป็นตัวบอกสภาพจิตใจของเขาได้ไม่มากก็น้อย อย่างหนุ่มน้อยคอเนอร์ (ที่ไม่ยอมให้เรียกว่า kid อาจจะเพราะเขาไม่ต้องการให้คนอื่นมองว่าเขาเป็นเด็กก็เป็นได้) ทั้งเรื่องแม่ของเขาที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เรื่องที่โดน Bully ที่โรงเรียน เรื่องของครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน เขายังเด็กเกินกว่าที่จะรับได้ แต่เขาก็สามารถที่จะอยู่กับสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นได้ แม้ว่าสภาพจิตใจของเขาจะไม่ได้ดีอย่างที่เขาคิดก็ตาม
บางครั้งความเชื่อเป็นครึ่งหนึ่งของการรักษาทั้งหมด ความเชื่อในการเยียวยา ความเชื่อในอนาคตที่รออยู่
และบางครั้ง คนเรายอมตาย ดีกว่าที่จะพูดความจริงนั้นออกมา
ใช้เวลาในตอนนี้ให้มีคุณค่ามากที่สุด อยู่กับคนที่คุณรักให้มาก และอย่าคิดว่าเด็ก ๆ ไม่รู้อะไรเลย เขารู้ทุกอย่าง เพียงแค่เขาไม่อยากที่จะพูดมันออกมา
-----
TEZ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in