เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
poetry in motiondaisyintheskywithdiamonds
[แปล&วิเคราะห์เพลง] battle, deaths and former feud in Taylor Swift's my tears ricochet
  • "It is a truth universally acknowledged that Swift's track 5 in each of her album is often the most emotional, vulnerable and heartbreaking."         เป็นความจริงที่ทราบกันดีว่าเพลงลำดับที่  5 ในแต่ละอัลบั้มของสวิฟต์มักจะสะเทือนอารมณ์ เปราะบางและปวดใจที่สุด

    แม้คำพูดที่ยกมาจะไม่ได้แต่งขึ้นโดยนักเขียนขึ้นหิ้งอย่างเจน ออสติน (Jane Austen) ผู้ที่ฉันได้ถือวิสาสะดัดแปลงประโยคเปิดเรื่อง Pride and Prejudice ของเธอมาใช้ในบทความนี้ แต่สวิฟตี้ (swifties กลุ่มบุคคลผู้ชื่นชอบเทย์เลอร์ สวิฟต์เป็นชีวิตจิตใจและยกเธอเป็นศาสดา ส่วนพวกเราเป็นสาวกผู้เลื่อมใสศรัทธา) คงจะไม่เห็นต่างจากข้อความนี้นัก 

    ตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงอัลบั้ม Lover แฟนคลับตั้งข้อสังเกตว่าบทเพลงลำดับที่ 5 ในอัลบั้ม มักจะเป็นเพลงที่สะเทือนอารมณ์ เจ็บปวดและเศร้าจนทำให้ผู้ฟังน้ำตาไหลได้ง่ายที่สุด เช่น White Horse (อัลบั้ม Fearless), Dear John (อัลบั้ม Speak Now), The Archer (อัลบั้ม Lover) และเพลงที่หลายๆ คนยกให้เป็นเพลงที่เจ็บปวดร้าวรานมากที่สุดอย่าง All Too Well (อัลบั้ม Red) ซึ่งในอัลบั้มล่าสุดอย่าง folklore นี้ แม้ว่าเนื้อเพลงและดนตรีในหลายๆ เพลงฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายความเศร้า การจากลาและความผิดหวัง การที่เทย์เลอร์เลือกให้เพลง my tears ricochet เป็นแทร็ค 5 (แม้อาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม) เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าอย่างน้อยเพลงนี้ก็เล่าเรื่องประสบการณ์ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสะเทือนอารมณ์เธอที่สุดเหมือน เพลงอื่นๆ ในลำดับเดียวกันจากอัลบั้มก่อนหน้า นอกจากนี้ my tears ricochet ยังเป็นเพลงที่เทย์เลอร์แต่งเองทั้งหมดและแต่งเป็นเพลงแรกของอัลบั้มนี้ด้วย

    *หมายเหตุ: บทแปลและบทวิเคราะห์นี้เป็นเพียงสิ่งที่ผู้แปลได้ตีความจากความเข้าใจของตนเองและการหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่มีแนวคิดคล้ายกันเท่านั้น อาจเป็นการตีความที่ตรงหรือไม่ตรงกับความคิดของผู้แต่งเพลงก็ได้ เพราะผู้แปลเชื่อว่าสามารถตีความได้หลากหลายแบบค่ะ :)


    ในแง่หนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า my tears ricochet เป็นเรื่องราวของความรักที่จบไม่สวยขนาดที่ว่าฝ่ายหนึ่งบอกกับอีกฝ่ายว่า "เธอได้ตายจากฉันไปแล้ว" เทย์เลอร์เองก็กล่าวว่าเพลงนี้เป็นเรื่องราวของความรักวัยหนุ่มสาวที่เลือนหายไปกับกาลเวลาและรักเช่นนี้มักทิ้งรอยแผลอันไม่อาจลบเลือนได้ (source)  สำหรับผู้แปลแล้ว เมื่อได้ฟังเพลงและอ่านเนื้อเพลงกลับทำให้ชวนคิดถึงความรักและมิตรภาพอีกแบบที่อาจจะไม่ใช่แนวโรแมนติก แต่ก็มีความหมายลึกซึ้งกินใจไม่ต่างกัน กล่าวคือ ความผูกพันของเทย์เลอร์ในฐานะศิลปินของค่าย Big Machine Records (BMR) และหัวเรือใหญ่ของค่ายอย่างสก็อตต์ บอร์เชตตา (Scott Borchetta) และการหักหลังของสก็อตต์เมื่อเขาขายผลงานของเทย์เลอร์ให้กับคนที่สก็อตต์เองก็รู้ดีว่าใช้อิทธิพลข่มเหงรังแกเทย์เลอร์และเป็นสาเหตุที่เธอต้องหายหน้าไปจากสื่ออยู่ช่วงหนึ่ง

    - สรุปเรื่องราวระหว่างเทย์เลอร์ สก็อตต์และสกูตเตอร์ ฉบับ one night miracle - 

    เทย์เลอร์เซ็นสัญญาเป็นศิลปินคนแรกของค่าย BMR ตั้งแต่เธออายุ 15 ปี เทย์เลอร์ได้รังสรรค์อัลบั้ม 6 อัลบั้ม (ตั้งแต่ Taylor Swift จนถึง reputation) เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงเมื่อปี 2018 เทย์เลอร์เลือกที่จะย้ายค่ายจาก BMR ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากเนื่องจากในสัญญาระบุไว้ว่าสิทธิ์ใน masters (เสียงอัดต้นฉบับ) รวมไปถึงรูปภาพและวิดีโอทั้งหมดจะตกเป็นของค่าย ไม่ใช่ของเทย์เลอร์ แต่เธอก็เลือกย้ายค่ายไปอยู่ Universal Music Group ที่จะให้เธอเป็นเจ้าของผลงานทั้งหมดของตนเอง เทย์เลอร์ต้องทำใจกับการที่สก็อตต์น่าจะขายผลงานทั้งชีวิตของเธอให้กับคนอื่น แม้ตัวเธอเองจะขอซื้อหลายครั้ง แต่สก็อตต์ก็ไม่ขายให้ สุดท้ายสก็อตต์กลับขายค่าย BMR รวมถึงสิทธิ์ในผลงานและศิลปินให้กับค่าย Ithaca Holdings ซึ่งเป็นของสกูตเตอร์ บรอน (Scooter Braun) ผู้ที่เทย์เลอร์เรียกว่าเป็นฝันร้ายที่เลวร้ายที่สุด ("worst nightmare") สกูตเตอร์เป็นผู้จัดการคานเย่ เวสต์ (Kanye West)  และเป็นผู้มีส่วนกับการตัดต่อและปล่อยคลิปเสียงที่เธอคุยกับคานเย่และคิม คาร์เดเชียนเกี่ยวกับเนื้อเพลง Famous ของคานเย่จนทำให้เทย์เลอร์ดูเหมือนคนโกหก (จนหลักฐานปรากฏเมื่อเดือนมีนาคม 2020 นี้เองว่าเธอพูดความจริงมาโดยตลอด) (source) & (source)

    Taylor Swift by Beth Garrabrant

    my tears ricochet เป็นการร้อยเรียงความรู้สึกของเทย์เลอร์ที่มีต่อการหักหลังอย่างเลือดเย็นของค่ายเพลงเก่าของเธอผ่านการใช้ภาพ (imagery) ของความตาย การสูญเสีย ความขัดแย้งและสงคราม

    I. the title

    my tears ricochet น่าสนใจตั้งแต่ชื่อเพลง เพราะเป็นการนำสองคำที่ปกติไม่พบเจอด้วยกันหรือแม้แต่ขัดแย้งกันมาใช้ด้วยกัน คำว่า ricochet แปลว่า การสะท้อนกลับหรือย้อนกลับจากพื้นผิว ปกติแล้วมักใช้คู่กับคำว่ากระสุน ricochet จึงมักใช้บรรยายสิ่งที่สามารถมุ่งหรือวิ่งตรงไปยังจุดที่ต้องการด้วยความเร็วค่อนข้างสูงและความแรงค่อนข้างมาก การเลือกใช้คำนี้คู่กับคำว่าน้ำตาซึ่งมักผูกติดกับความเสียใจ ความผิดหวังและความเปราะบางจึงสร้างภาพความขัดแย้งแรก นอกจากนี้ ยังช่วยให้เราได้เห็นภาพความเสียใจที่ท่วมท้นและน้ำตาที่หลั่งออกมามากและแรงเสียจนกระทั่งเมื่อไหลไปเจออะไรก็สะท้อนกลับ แต่แทนที่เธอจะจมกับน้ำตาและความเสียใจนี้ เธอกลับใช้ความเจ็บปวดเป็นเกราะป้องกันและทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น 

    ricochet (v.) - (of a bullet, shell, or other projectile) rebound one or more times off a surface.

    การสะท้อนกลับยังสอดแทรกความคิดว่าหากเคยทำสิ่งใดไว้กับใครไว้ก็ตาม สิ่งนั้นก็จะสะท้อนกลับมาสู่ตัวผู้กระทำตามแนวคิดกฎแห่งกรรม ตัวเทย์เลอร์เองเคยพูดถึงแนวคิดนี้ในเพลง Look What You Made Me Do จากอัลบั้ม reputation ในท่อนที่ว่า All I think about is karma. ซึ่งหลายๆ คนวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นเพลงที่แต่งเกี่ยวกับเรื่องราวดราม่าระหว่างเทย์เลอร์และคานเย่กับคิม สุดท้าย เวลาก็พิสูจน์ความจริงให้เห็นแล้วว่าสองคนนั้นเป็นคนอย่างไร เช่นเดียวกับใน my tears ricochet ความเลวร้ายที่เธอได้เคยรับมาตลอดจะย้อนกลับสู่ตัวคนหวังร้ายต่อเธอในที่สุด

    หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเพลงนี้มีการพูดถึงความตาย (สีน้ำเงิน) และสงคราม (สีแดง) เป็นระยะๆ ทำให้เห็นภาพว่าความบาดหมางระหว่างเทย์เลอร์และ BMR เป็นการต่อสู้ที่เหน็ดเหนื่อย กินระยะเวลายาวนานและทั้งสองฝ่ายมีแต่เสียกับเสียราวกับสงคราม การต่อสู้นี้ยังกระทบกระเทือนใจเธอโดยตรงเพราะศัตรูคือผู้ที่เธอเคยมองว่าเป็นครอบครัว ความตายที่สงครามนี้ก่อรวมไปถึงมิตรภาพที่ขาดสะบั้น การสูญเสียสิทธิ์ในผลงานของผู้ที่รังสรรค์มาด้วยสองมือ และการสูญเสียเพชรเม็ดงามเมื่ออำนาจเงินอยู่เหนือมิตรภาพ

    II. the lyrics, translation and interpretation

    We gather here, we line up, weepin' in a sunlit room
    And if I'm on fire, you'll be made of ashes, too
    Even on my worst day, did I deserve, babe
    All the hell you gave me?
    'Cause I loved you, I swear I loved you
    'Til my dying day

    เรารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ ยืนเรียงกันร่ำไห้ในห้องที่แสงแดดส่อง
    และถ้าหากฉันถูกเพลิงแผดเผา คุณก็ไม่ต่างจากเถ้าธุลี
    แม้แต่ในวันที่แย่ที่สุดของฉัน สมควรแล้วหรือ
    ที่คุณปฏิบัติกับฉันอย่างเลวร้าย
    เพราะฉันรักคุณ สาบานได้ว่าฉันรักคุณ
    จวบจนวันสุดท้าย

    วินาทีแรกที่เสียงคอรัสขึ้น อดคิดไม่ได้ว่าลักษณะช่างคล้ายกับเสียงเพลงคณะประสานเสียง (choir) ที่ได้ยินในพิธีทางศาสนาต่างๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมบรรยากาศของฉากงานศพ ยิ่งย้ำแนวคิดการสะท้อนกลับหรือกรรมที่ผูกติดกับแนวคิดศาสนา เรายังได้เห็นอิทธิพลที่เทย์เลอร์มีต่อค่าย BMR เนื่องจากเทย์เลอร์เป็นศิลปินหลักของค่ายและเมื่อไม่มีเธอ ค่ายก็แทบจะสูญเสียรายได้เกินครึ่ง  ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เทย์เลอร์รักค่ายนี้และสก็อตต์มากจากการเน้นย้ำให้คำสาบาน เพราะเขาเป็นคนที่เห็นความสามารถของเธอตั้งแต่เธอเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเพียงกีตาร์หนึ่งตัวและความฝัน และทั้งสองก็ร่วมงานมาเป็นเวลาสิบกว่าปี เทย์เลอร์ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Rolling Stone เมื่ิอปี 2019 ว่าเธอคิดจริงๆ ว่าสก็อตต์มองเธอเป็นเหมือนลูกสาว (source) จึงไม่น่าแปลกใจที่การหักหลังครั้งนี้จะทำให้เธอรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น

    [chorus]
    I didn't have it in myself to go with grace
    And you're the hero flying around saving face
    And if I'm dead to you why are you at the wake?
    Cursing my name, wishing I stayed
    Look at how my tears ricochet

    ฉันไม่เข้มแข็งพอที่จะจากไปอย่างสง่างาม
    และคุณก็ทำตัวเป็นวีรบุรุษที่ทำทุกวิถีทางเพื่อกู้หน้าตัวเอง
    ถ้าฉันตายจากคุณไปแล้ว คุณจะมางานศพฉันทำไม
    สาปส่งชื่อฉัน หวังว่าฉันยังคงอยู่
    ดูสิว่าหยดน้ำตาฉันสะท้อนกลับไปหาคุณได้อย่างไร

    wake (n.) - การพบปะพูดคุยกันหลังจากที่มีเหตุการณ์ที่สำคัญผ่านไป โดยมากหมายถึงการไปชุมนุมกันที่บ้านของผู้ที่เสียชีวิตก่อนพิธีฝังศพ
    dead to someone - ความรังเกียจ เกลียดชังหรือผิดหวังกับคนๆ หนึ่งจนปฏิเสธการมีอยู่ของคนนั้นบนโลกนี้

    การจากไปอย่างสง่างามที่เทย์เลอร์เขียนถึงเป็นไปได้ว่าเป็นการจบเรื่องนี้อย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีฝ่ายใดต้องออกมาป้ายสีใส่กันหรือเป็นเรื่องราวจนสื่อเล่นข่าว แต่การกระทำหลายๆ อย่าง ทั้งการไม่ยอมขายอัลบั้มกลับให้เธอ การไม่อนุญาตให้เทย์เลอร์ใช้เพลงในอัลบั้มเก่าเพื่อประกอบสารคดี Miss Americana หรือการไม่อนุญาตให้เทย์เลอร์ร้องเพลงจากอัลบั้มเก่าในงานประกาศผลรางวัล AMAs เมื่อปี 2019 ล้วนบีบให้เทย์เลอร์ต้องออกมาพูดถึงเรื่องนี้ ผลสุดท้าย เรื่องนี้จึงกลายเป็นมหากาพย์ความขัดแย้งที่คนทั้งโลกรับรู้

    การใช้คำว่าวีรบุรุษน่าจะมีความหมายไปทางประชดประชันมากกชื่นชม เนื่องจากปกติแล้ววีรบุรุษต้องช่วยเหลือคนอื่น (save people) แต่วีรีบุรุษในที่นี้กลับทำไปเพราะไม่อยากเสียหน้า (save face) เทย์เลอร์น่าจะตำหนิสก็อตต์ที่คิดว่าตนเองกำลังทำสิ่งที่กล้าหาญราวกับวีรบุรุษ แต่ความจริงแล้ว ทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น

    แนวความคิดเรื่องความตายยังคงส่งต่อมาถึงท่อนคอรัส เทย์เลอร์เคยพูดถึงความตายของตัวเองแบบอุปมา (metaphorical death) แล้วในเพลง Look What You Made Me Do ในท่อนที่เธอพูดว่า "The old Taylor can't come to the phone right now. Why? Oh, 'cause she's dead." ตอนนั้นคนที่ตายคือเทย์เลอร์ "คนเก่า" ภาพจำของสาวน้อยบริสุทธิ์ผู้ไม่เคยมีข่าวเสียหาย แต่ความตายในที่นี้ คือมิตรภาพอันแตกหักระหว่างเทย์เลอร์และสก็อตต์ แต่แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าเธอได้ตายจากเขาไปแล้ว เขาก็ยังคงลืมเธอไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเขารักและเอ็นดูเธอ แต่เพราะเธอบ่อเงินบ่อทองของเขา


    We gather stones, never knowing what they'll mean
    Some to throw, some to make a diamond ring
    You know I didn't want to have to haunt you
    But what a ghostly scene
    You wear the same jewels that I gave you
    As you bury me

    เราเก็บก้อนกรวด โดยไม่รู้ว่าพวกมันหมายความว่าอะไร
    บ้างเอามาขว้าง บ้างเอามาเจียระไนเป็นแหวนเพชร
    คุณก็รู้ว่าฉันไม่อยากมาหลอกหลอนคุณ
    แต่ช่างเป็นฉากที่น่าสยดสยอง
    คุณสวมใส่อัญมณีที่ฉันให้คุณ
    เมื่อคุณฝังร่างฉัน

    หากตีความตามตีมเรื่องความขัดแย้ง จะเห็นได้ว่าการหยิบก้อนหินเหมือนเป็นการเตรียมตัวที่จะต่อสู้ ในกรณีนี้ ทั้งสองฝ่ายเตรียมอาวุธ อาจเป็นคำพูดที่ใช้ หลักฐานหรือเงิน แต่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าก้อนกรวดเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ขว้างใส่อีกฝ่าย หรือนำมาสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างเพชร ซึ่งอาจหมายถึงเมื่อทั้งสองฝ่ายปรับความเข้าใจกันได้แล้ว อีกการตีความที่อาจเป็นไปได้คือ stones อาจหมายถึงผลงานที่เทย์เลอร์และค่ายร่วมกันสร้างสรรค์ เมื่อเริ่มทำอัลบั้ม ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ 

    เทย์เลอร์ใช้คำว่า jewels หรืออัญมณีแทนอัลบั้มทั้งหกอัลบั้มที่เป็นของ BMR การใช้คำว่า jewels แสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้มีค่า ไม่ใช่กับแค่ตัวเทย์เลอร์เอง แต่กับคนอื่นๆ ด้วย เพราะผลงานของเธอหมายถึงเม็ดเงินมหาศาล รวมไปถึงรางวัลอีกมากมาย คำว่า jewels อาจมีความหมายลึกซึ้งไปถึงการรับรองยอดขายอัลบั้มจาก Recording Industry Association of America (RIAA) ในสหรัฐอเมริกา โดยวัดตามจำนวนอัลบั้มที่ขายได้ตามลำดับ โดยแบ่งเป็น Gold, Platinum และ Diamond โดยอัลบั้ม Fearless และ 1989  ทำยอดขายได้มากกว่า 10 ล้านอัลบั้มทั่วโลก ไม่รวมไปถึงรางวัลแกรมมีอีก 10 ตัว ระหว่างสก็อตต์และ BMR พยายามที่จะ "ขุดหลุมฝัง" เทย์เลอร์ด้วยการใส่ร้ายป้ายสีเธอ ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็หากินกับ "อัญมณีล้ำค่า" ของเธอเช่นกัน

    [chorus]
    I didn't have it in myself to go with grace
    'Cause when I'd fight, you used to tell me I was brave
    And if I'm dead to you why are you at the wake?
    Cursing my name, wishing I'd stayed
    Look at how my tears ricochet

    ฉันไม่เข้มแข็งพอที่จะจากไปอย่างสง่างาม
    เพราะเมื่อฉันสู้ คุณเคยบอกว่าฉันกล้าหาญ
    ถ้าฉันตายจากคุณไปแล้ว คุณจะมางานศพฉันทำไม
    สาปส่งชื่อฉัน หวังว่าฉันยังคงอยู่
    ดูสิว่าหยดน้ำตาฉันสะท้อนกลับไปหาคุณได้อย่างไร

    การกระทำของสก็อตทำให้เทย์เลอร์เจ็บปวดมาก เพราะเธอคิดว่าทั้งสองเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอต้อง "ต่อสู้" อาจหมายถึงเมื่อเทย์เลอร์ใช้เสียงของเธอในการสู้เพื่อสิทธิ์ของศิลปินกับ streaming platform อย่าง Spotify และ Apple Music เมื่อเทย์เลอร์ดึงเพลงของเธอออกจาก Spotify เมื่อปี 2014 เนื่องจากเธอไม่เห็นว่าบริการสตรีมมิ่งดังกล่าวให้คุณค่าศิลปะ หรือเมื่อปี 2015 เธอเขียนจดหมายเปิดผนึกลงใน Tumblr ถึง Apple Music เทย์เลอร์เรียกร้องให้ Apple Music จ่ายค่าตอบแทนให้ศิลปินในช่วงทดลองใช้ 3 เดือนจน Apple Music ยอมเปลี่ยนนโยบาย หรือแม้แต่เมื่อตอนที่เธอโดนคานเย่และคิมตัดต่อการสนทนาทางโทรศัพท์จนเธอถูกตราหน้าว่าเป็นงูพิษ เป็นไปได้ว่าตอนนั้นสก็อตต์น่าจะชื่นชมว่าเทย์เลอร์กล้าหาญและเคยอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ แต่ตอนนี้ เมื่อเธอจะสู้เพื่อสิทธิ์ของตัวเธอเองบ้าง สก็อตต์กลับกลับคำและผันตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามเธอ

    [bridge]
    And I can go anywhere I want
    Anywhere I want, just not home
    And you can aim for my heart, go for blood
    But you would still miss me in your bones
    And I still talk to you (When I'm screaming at the sky)
    And when you can't sleep at night (You hear my stolen lullabies)

    และฉันไปได้ทุกที่ดังใจปรารถนา
    ฉันไปได้ทุกที่ เว้นแต่บ้าน
    และคุณเล็งไปที่หัวใจฉัน หวังให้ฉันหลั่งเลือดก็ได้
    แต่ในใจลึกๆ แล้ว คุณจะคิดถึงฉันเสมอ
    และฉันก็ยังคุยกับคุณ (เมื่อฉันกรีดร้องขึ้นไปบนห้วงอากาศ)
    และเมื่อคุณหลับไม่ลง (คุณจะได้ยินเสียงเพลงกล่อมของฉันที่ถูกปล้นไป)

    การเดินทางที่เทย์เลอร์พูดถึงอาจเป็นการเดินทางจริงๆ เพื่อพักใจหรือเพื่อออกจากพื้นที่สื่อ การเดินทางอาจมีความหมายแบบอุปมาว่าเป็นการย้ายค่ายเพลงของเธอ ตอนนี้เทย์เลอร์เป็นศิลปินที่มีอิทธิพลในวงการเพลงมากที่สุดคนหนึ่ง นั่นทำให้เธอย้ายไปค่ายไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่บ้านซึ่งสื่อถึงค่ายเพลงเก่า (เธอเขียนแคปชั่นว่า "My new home" ในโพสต์อินสตาแกรมที่ประกาศย้ายค่าย) เทย์เลอร์เคยออกมาเผยว่า BMR ยื่นข้อเสนอให้เธอว่าเธอสามารถซื้ออัลบั้มเก่าๆ เป็นของตัวเองได้ แต่เธอต้องทำอัลบั้มใหม่มาแลก นั่นหมายความว่า เทย์เลอร์ต้องทำอัลบั้มอีกถึง 6 อัลบั้มจึงจะได้เป็นเจ้าของอัลบั้มเก่าของตัวเอง แต่อัลบั้มใหม่ที่ทำขึ้นมาก็จะตกเป็นของ BMR อยู่ดี เธอจึงตัดสินใจออกจากสถานที่นี้ที่เธอเคยเรียกว่าบ้าน 

    ในขณะที่เธอผิดหวัง เสียใจและโกรธจนไม่อาจปริปากพูดชื่อเขาโดยไม่กรีดร้องออกมาได้ เทย์เลอร์พยายามแสดงภาพว่าในขณะที่ฝ่ายนั้นทำร้ายเธอ การกระทำของเขาก็ย้อนกลับไปทำร้ายตัวเองเช่นกันและไม่ว่าเธอจะตายไป แต่ลึกๆ แล้วเธอไม่มีวันตายไปจากใจเขาได้ เพราะเธอเคยเป็นศิลปินใหญ่ที่สุดของค่าย ท่อน stolen lullabies เป็นคำใบ้ที่ชัดที่สุดว่าเพลงนี้น่าจะเกี่ยวกับความบาดหมางกับสก็อตต์ไม่มากก็น้อย บทเพลงกล่อมแทนอัลบั้มทั้ง 6 อัลบั้มแรกของเธอที่เธอไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ แต่กลับถูก "ขโมยไป" เป็นความสูญเสียที่แทบไร้เสียง แต่ก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน

    [chorus]
    I didn't have it in myself to go with grace
    And so the battleships will sink beneath the waves
    You had to kill me, but it killed you just the same
    Cursing my name, wishing I stayed
    You turned into your worst fears
    And you're tossing out blame, drunk on this pain
    Crossing out the good years
    And you're cursing my name, wishing I stayed
    Look at how my tears ricochet

    ฉันไม่เข้มแข็งพอที่จะจากไปอย่างสง่างาม
    ด้วยเหตุนี้ เรือรบเลยจมดิ่งลงสู่ห้วงสมุทร
    คุณต้องฆ่าฉัน แต่ไม่ต่างอะไรจากคร่าตัวเอง
    สาปส่งชื่อฉัน หวังว่าฉันยังคงอยู่
    คุณกลายเป็นสิ่งที่คุณกลัวที่สุด
    และคุณกล่าวโทษทุกสิ่งอย่าง มัวเมาไปกับความเจ็บปวด 
    หลงลืมช่วงเวลาดีๆ 
    สาปส่งชื่อฉัน หวังว่าฉันยังคงอยู่
    ดูสิว่าหยดน้ำตาฉันสะท้อนกลับไปหาคุณได้อย่างไร

    ในท่อนสุดท้าย เทย์เลอร์ยังคงใช้คำที่สื่อภาพสงครามอย่าง battleships และ kill ซึ่งสื่อให้เห็นถึงความรุนแรงของเหตุการณ์นี้จากมุมมองของเธอ สก็อตต์ "ฆ่า" เธอด้วยการอ้างว่าสิ่งที่เธอพูดไม่เป็นความจริง และแย้งว่าสกูตเตอร์หวังดีกับเธอมาตลอด ทั้งยังเสริมว่าพ่อของเทย์เลอร์ถือหุ้นในบริษัท จึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่ทราบเรื่องนี้ แต่การออกมาโต้ตอบกับเธอก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของสก็อตต์ดูแย่ลง จนเขากลายเป็นภาพฝันร้ายของตัวเอง ผู้ละทิ้งช่วงเวลาดีๆ ตอนที่ทั้งสองทำงานด้วยกัน สุดท้าย ความเสียใจสุดท้าย หยาดน้ำตาแห่งความผิดหวังของเธอจากการต่อสู้อันน่าเหนื่อยหน่ายก็สะท้อนกลับไปหาผู้ที่ทำให้เธอหลั่งน้ำตานั้นเอง

    Taylor Swift by Beth Garrabrant
    ***********************************
    จากผู้แปล
    ตั้งแต่อัลบั้ม folklore ออก หัวใจดวงนี้ที่เคยห่อเหี่ยวก็กลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง เป็นอัลบั้มแรกที่เรารู้สึกว่าทุกเพลงเพราะหมดเลย เพราะแล้วความหมายยังดีอีก ภาษาดีมาก เหมือนเราอ่านกลอน ไม่ก็เรื่องสั้นอยู่ แล้วทั้งอัลบั้มมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกันอย่างมาก เราตั้งใจเขียนบทแปลนี้มากๆ นะคะ อยากให้ได้อ่านกัน เรารู้สึกว่าเพลงนี้มีหลาย layer มากๆ ตีความได้หลายแบบแล้วแต่ว่าเราจะใช้เลนส์อะไรในการหาความหมาย เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยถ้าเราอ่านข้อความเดียวกันแต่คิดไม่เหมือนกัน ถ้าใครมีข้อสงสัย ข้อแย้ง คำแนะนำติชมอย่างไรก็บอกมาได้เลยนะคะ เรายินดีรับฟังทุกอย่างเลย ในทวิตก็ได้นะ @bbueemo ฮะ
    ขอให้เป็นค่ำคืนที่สวยงามค่ะ :)
    เนื้อเพลง https://genius.com/20418413

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
sharyown (@sharyown)
ดู+อ่านมาเยอะพอควรสำหรับการแปลเพลงนี้ของเทย์ คุณอธิบายได้เข้าใจง่ายมากค่ะ พาไปหาหลายมุมมองเลย บางท่อนที่เราเคยเชื่อว่ามันหมายถึงแบบนี้ พอมาอ่านความคิดของคุณ มันก็แบบ "เอ่อ แบบนี้ก็ได้นี่หว่า" ตลอดเวลาที่อ่านงานเขียนนี้ ประโยคนี้โผล่เข้ามาบ่อยอยู่ค่ะ555

เราหวังว่าในอนาคตทั้งสองฝ่ายจะกลับมาคืนดีกันได้นะคะ (หวังจริงจริ๊ง) แหะๆ
#ขอบคุณสำหรับคำแปลและมุมมองความหมายในเพลงนี้ของคุณค่ะ
ไม่แน่ใจว่าเพลงอื่นในอัลบั้มนี้จะมามั้ย แต่ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ :))))
daisyintheskywithdiamonds (@fb1797812303865)
@sharyown ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ??? ได้อ่านความเห็นของผู้อ่านก็ชื่นใจค่ะ เพลงอื่นอาจจะไม่มาแล้วค่ะเพราะนี่ก็หลายเดือนแล้ว 55555555 ยังไงก็ขอบคุณที่อุตส่าห์เข้ามาเม้นนะคะ เราจะพยายามเขียนบทวิเคราะห์ออกมาอีกนะคะ
Pattarakorn Jan (@fb3145920885460)
ชอบการแปลแบบนี้มากๆเลยค่ะ มีการตีความ บอกเรื่องราว ที่มาของเนื้อเพลง เรียบเรียงความหมายดีงาม เป็นกำลังให้แปลอีกหลายๆเพลงนะค้า??
daisyintheskywithdiamonds (@fb1797812303865)
@fb3145920885460 แงงงงง อยากจะขอโทษที่เราไม่ได้แปลเพลงอื่นเลยค่ะ ;-; ยังไงก็ขอบคุณคอมเม้นนี้มากๆ เลยนะคะ ทำให้มีกำลังใจมาก ???
TK (@fb8395285927604)
ผมไล่อ่าน เว็บแปลเพลงทั้งหมดที่แปลเพลงนี้ไม่เจอเว็บไหนแปล ใจความที่ซ่อนอยู่เหมือนเว็บนี้ได้เลย ขอบคุณมากครับที่ ตั้งใจ เขียนบทความอย่างดี แบบนี้สิถึง เรียกว่าแปลจากใจจริงๆ ❤️ ผมยอมกด login เพื่อกด ไลค์ให้เลยครับ
daisyintheskywithdiamonds (@fb1797812303865)
@fb8395285927604 ขอบคุณมากๆ นะคะ ใจฟูเลยค่ะ ???