เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Miscellaneoushaveasunnydae
Day07: Remain
  • 遺品 ( いひん) (i-hin) 
    (n.) articles or things that are left or once belong to the deceased










    เคลย์ตัน เดอร์แรมเห็นวิญญาณมาตั้งแต่จำความได้ หรืออย่างน้อย เขาก็คิดแบบนั้น
    เพราะตอนที่ยังเด็กอยู่นั้น เขาไม่รู้ หรือไม่อย่างนั้นก็คงแยกไม่ออกว่าสิ่งที่เห็นนั้น คนไหนคือคนเป็น คนไหนคือคนตาย เลือนรางจำได้เพียงว่าบางครั้งจะรู้สึกแปลก ๆ หรือหนาวไร้ที่มาเวลาที่เดินผ่านคนท่าทางพิลึก กว่าจะรู้ว่าตนมองเห็นสิ่งมีอยู่จากโลกอื่นก็ราว ๆ ห้าขวบได้


    เขาจำได้ว่าเป็นตอนนั้น
    เพราะถึงจะอายุห้าขวบ เขาก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือความตาย อะไรคือการจากไปโดยไม่กลับมาอีก พ่อไม่ได้บอกเขาด้วยคำพูดเช่นว่าแม่ไปอยู่ในที่ไกล ๆ หรือขึ้นไปอยู่บนฟ้า บนดวงจันทร์ ไปเป็นดวงดาว เรื่องหลอกเด็กอะไรก็แล้วแต่  พูดเพียงแค่ว่าแม่ตายแล้ว แม่ไม่มีชีวิตอยู่อีก แล้วเขาก็เข้าใจ จากการเห็นแม่นอนนิ่ง ตัวเย็นชืดอยู่ในโลง ไม่หายใจ ไม่เคลื่อนไหว ไม่มีแม้แต่สัมผัสตุบ ๆ เบา ๆ ที่ข้อมืออย่างที่เคยมี

    ในคืนหลังจากที่พวกเขาส่งแม่สู่ผืนดิน เขาเห็นแม่นั่งอยู่ข้างเตียงนอนเขา และมองมาด้วยสายตาว่างเปล่า
    ร่างของแม่เป็นสีขาว โปร่งบาง



    พ่อไม่เชื่อคำพูดของเขาในตอนนั้น หาว่าเป็นความฝัน หาว่าเสียใจจนเห็นภาพหลอน
    เขาคิดว่าพ่อคงเสียใจเรื่องแม่มากเกินกว่าจะรับได้ หรืออะไรสักอย่าง
    แต่โจนาธาน ปู่ของเขาเชื่อ
    ปู่เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ซักถาม ไม่คิดว่าเขาแต่งเรื่องโกหกปลอบใจตัวเองอย่างที่ป้า ๆ น้า ๆ ทางฝั่งแม่คิดกัน (เคลย์ตันรู้ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ก็ทุกคนมองเขาด้วยสายตาสมเพชปานนั้น)

    ปู่บอกเขา ปู่เชื่อ เพราะปู่ได้ยินเสียงของวิญญาณเช่นกัน
    (เขาลองพิสูจน์แล้ว ปู่ได้ยินจริง ๆ)



    ช่วงชีวิตหลังจากนั้นเคลย์ตันจึงอยู่กับปู่ที่บ้านถัดไปสองช่วงถนนเสียส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพียงเพราะโจนาธานได้ยินในสิ่งที่เขาได้ยินแม้ไม่เห็นในสิ่งที่เขามองเห็น แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพ่อของเขากลายเป็นคนติดเหล้าอยู่พักใหญ่หลังจากไม่มีแม่
    พ่อไม่เชื่อว่าเขาเห็นวิญญาณได้ -- พ่อไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจึงไม่เห็น นานเข้าก็กลายเป็นการปฏิเสธ (มีอยู่หนหนึ่ง เคลย์ตันคิดว่าพ่ออาจจะทำร้ายเขา หากไม่ใช่ว่าปู่เข้ามาที่บ้านเสียก่อน)

    ปู่บอกเขาว่า บางที ความสามารถในการเห็นวิญญาณอาจเป็นมรดกของตระกูลที่สุ่มให้สมาชิกก็ได้ เพราะพ่อของปู่ก็เห็น พี่ชายพ่อของปู่ก็เห็น สมาชิกของบ้านพี่ชายพ่อของปู่ทั้งเห็น ได้ยินเสียง และได้กลิ่น ส่วนปู่กับพี่สาวน้องสาวของปู่เพียงแค่ได้ยินเสียง -- ทว่าพ่อของเคลย์ตันกลับไม่แม้แต่จะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่  จังหวะสะดุดของความสามารถที่ถ่ายทอดผ่านพันธุกรรม
    คงเพราะแบบนั้นทำให้พ่อเชื่อว่าวิญญาณไม่มีอยู่จริง ผีไม่มีอยู่จริง เรื่องเล่าของปู่ระหว่างเข้าร่วมสงครามโลกทั้งสองครั้งเป็นแค่นิทานสยองขวัญก่อนนอนสำหรับเด็ก
    และพ่อ ก็เชื่อว่าเคลย์ตันเป็นแค่เด็กโกหก


    หลังจากแม่ตายราวสี่ปี พ่อก็แต่งงานใหม่
    เคลย์ตันไม่รู้ว่าตนเองเฝ้ารอขนาดไหน เพื่อให้น้อง ๆ เกิด และโต
    เพียงเพื่อมาพบว่าในบ้านของเขา ก็ยังมีแต่ตัวเขาเองคนเดียวที่มองเห็นวิญญาณได้อยู่




    สมัยที่อายุยังน้อย เคลย์ตันคิดว่ามันยากมากที่จะแบ่งแยกคนตายออกจากคนเป็น เพราะหลายครั้ง คนตายก็ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ที่ไม่ต่างอะไรจากตอนยังมีชีวิต แสดงออกเหมือนเดิม พูดคุยด้วยวิธีการแบบเดิม ไม่มีกรีดร้อง ไม่มีเสียงก้อง เสียงยานคางอะไรอย่างที่วิดีโอเทปภาพยนตร์เกรดบีที่พ่อชอบเช่ากลับบ้านมาดูในคืนวันศุกร์
    ก็แค่สิ่งตกค้างที่เหลืออยู่ของคนที่เคยมีชีวิตอยู่
    จนหลายครั้งเขาเผลอไปคุยกับสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเป็นอากาศว่างเปล่า หรือเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเรื่องยุ่งยากอย่างรู้เท่าไม่ถึงการ เกือบตายไม่ต่ำกว่าสามหน
    (ไม่รวมถึงเรื่องแกล้งกันที่โรงเรียนเพราะหลายคนคิดว่าเขาเป็นบ้า -- โชคดีที่ตอนยังเป็นเด็กชาย เคลย์ตันมีปู่เป็นทหารเก่า และเขาตัวใหญ่กว่าคนในวัยเดียวกัน)

    เมื่อโตขึ้นอีกสักหน่อย ตอนที่เป็นวัยรุ่น เคลย์ตันจึงรู้ ว่าคนตายกับคนเป็นเหมือนกันและกันมากกว่าที่เขาคิด
    ห่วงแบบเดียวกัน ความกังวลแบบเดียวกัน ความกลัวแบบเดียวกัน (อ้อ ยกเว้นกลัวตาย ตายไปแล้วจะมีอะไรให้กลัวอีก)
    -- หลายคนทำให้เขาสะท้อนใจในชีวิต ส่วนอีกหลายคนก็น่าสงสารพอที่จะทำให้อยากช่วยเหลือ

    เขาเอาตัวเองกลับไปสู่วังวนของเรื่องวุ่นวายอีกครั้งหนึ่ง
    อย่างรู้แน่ชัดดีว่าตนเองกำลังทำอะไร



    เรื่องช่วยเหลือวิญญาณให้ไปสู่สุขคติ ตามความเชื่อใด ๆ ก็แล้วแต่เป็นเรื่องยาก
    บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองมีบ่วงอาวรณ์อะไรอยู่ และเคลย์ตันไม่ได้เรียนจิตวิทยามาเพื่อให้คำปรึกษาของคนที่ไม่รู้ว่าการปล่อยวางคือต้องปลดตรงไหน (ให้ตาย ตอนนั้นเขาเพิ่งสิบห้า)
    เขาพยายามสุดความสามารถ เขาพากเพียร

    และหลายครั้ง การมีอยู่ของเขา แค่การมีอยู่  ก็เรียกวิญญาณร้าย ๆ ให้เข้ามา แบบที่เคลย์ตันอยากหมุนตัวแล้วซัดเกลือข้ามไหล่ให้เข้าหน้า เฮ้ ฉันไม่ได้เชิญพวกแก มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย 
    (ส่วนใหญ่ไม่ได้จบง่าย ๆ น่ารักน่าชังแบบนั้นหรอก)



    พ่อหาว่าเขากำลังต่อต้านครอบครัวใหม่ที่กำลังสร้าง ต่อต้านแม่เลี้ยง -- ภรรยาใหม่ -- และน้อง ๆ ที่เกิดมาและกำลังจะเกิดอีก ด้วยการทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา ก่อเรื่องสารพัด เรียกร้องความสนใจ
    เคลย์ตันเบื่อคำพูดพวกนั้น เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะส่ายหน้าหรือกลอกตา ที่แน่ ๆ เด็กหนุ่มในเวลานั้นคร้านใจเกินกว่าจะเอ่ยอธิบายอะไรกับคนที่ยึดติดกับความคิดตัวเองจนไม่สนใจอะไรอื่นอีก
    (ลึก ๆ เคลย์ตันวัยหนุ่มก็คงจะเสียใจที่พ่อไม่เคยเชื่อในสิ่งที่ตัวเขาพูดเลย ไม่แม้แต่จะทดลอง แต่เคลย์ตันวัยกลางคนก็เก็บความทรงจำพวกนั้นไว้ในเรื่องชวนรำคาญไม่น่ารื้อมาคิดใหม่เสียมากกว่า -- เพราะถ้าเป็นเขาเอง ถ้ามองไม่เห็น และไม่มีหลักฐานพิสูจน์มากพอ เขาก็คงไม่เชื่อลูกเหมือนกัน แต่น่าหงุดหงิดนิดหน่อยที่เผอิญเขามี และพ่อไม่เคยสนใจ)



    เขาอดทนกับโรงเรียนมัธยม กับบรรยากาศย่ำแย่ในบ้านอยู่จนจบปีสุดท้าย
    ประสบการณ์กับวิญญาณทำให้เขาทนโลกคนเป็นได้ง่ายขึ้น เขากลายเป็นคนสบาย ๆ ในโรงเรียน ที่พร้อมซัดทุกคนที่เข้ามาหาเรื่องต่อหน้าโดยที่ไม่ต้องลังเลหรือคิดกลัวอะไรอีก
    วิญญาณหลายคนก็ทำตัวเป็นคนแก่ สอนในสิ่งที่รู้ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีอะไรนอกจากประสบการณ์กับการบ่นระบายตามประสานาน ๆ ทีจะได้เจอคนที่คุยกับตัวเองได้หรือเห็นการมีอยู่ --  เคลย์ตันก็ทำไขหูบ้าง ฟังบ้าง เอาไปคิดต่อบ้าง ตามแต่อารมณ์ช่วงนั้น
    แต่ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องติดค้าง เสียดายในสิ่งที่ยังไม่ทำ อยากเจอคนที่คิดถึง เพราะมีอะไรบางอย่างที่ไม่มีโอกาสพูด ไม่มีโอกาสบอก
    หรือไม่อย่างนั้น ก็ไม่สามารถให้อภัยตัวเอง ไม่สามารถให้อภัยคนอื่นในบางเรื่อง


    หลายอย่างก็น่าเสียดาย
    เป็นความน่าเสียดาย ที่ทำให้คนเหล่านั้นไม่สามารถไปจากโลกคนเป็นได้



    เคลย์ตันเองก็ไม่รู้ว่าหากตนเองไปอยู่ตรงจุดนั้น จะปล่อยวางได้ ละมือจากได้ อย่างที่เขาพยายามช่วยคนพวกนั้นหรือเปล่า -- ให้ตาย ตอนนี้เขาเพิ่งจะสิบเจ็ด เขายังอยากโกรธ อยากยึดติด อยากหวงแหน
    เขายังมีสิทธิ์ที่จะทำมันอยู่



    โจนาธาน ปู่ของเขาเองก็พูดอย่างนั้น
    เป็นสิทธิ์ และเป็นโอกาสให้เรียนรู้ไป เรียนรู้และเติบโต
    สิทธิ์พิเศษของคนยังมีชีวิตอยู่

    เพราะเมื่อตายไปแล้ว อะไรอะไรก็ยากลำบากกว่าครั้งยังคือคนเป็น






    ตอนอายุย่างสิบแปด เคลย์ตันหนีออกจากบ้าน มาทำงานที่ร้านเด็น ออฟ แอนทิควิตี้ส์ของวินสตัน เดอร์แรม ญาติผู้พี่ของปู่ วิญญาณในร้านหลายดวงก็ทำให้เขาเข้าใจมากขึ้น นอกเหนือไปจากที่เคยได้เรียนรู้มา ว่าความลำบากที่ว่านั้นคืออะไร















    (Inspired by Solve - Asinay     http://archiveofourown.org/works/8119696)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in