แอฟริกา ในจินตนาการของผมคือดินแดนแห่งค.ยากจน ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร แล้วก็มีแต่สัตว์ป่า มนุษย์กินคน แต่พอไปจริงๆแล้วภาพที่ผมเจอกับสิ่งที่ผมคิดมันไม่เหมือนกันเลย การไปอยู่ที่แอฟริกามา1 ปีกับอีก 7 เดือน มันทำให้รู้ว่าจริงๆแล้ว แอฟริกาคือ ดินแดนที่มีแต่ความตื่นเต้นและความสนุกมากมายที่ผมคาดไม่ถึง
ก่อนไปแอฟริกาผมเคยเห็นโฆษณา TV เกี่ยวกับอาสาสมัครก็แบบ โห! ไปสร้างบ้านดิน ไปแจกของ ไปพูดคุย บำเพ็ญประโยชน์ เขาเก่ง เขาเจ๋ง เขาอยู่ได้ยังไงกันเนี่ย? แต่พอมากับ IYF ทุกอย่างมันตรงข้ามกับคำว่าอาสาสมัครที่ผมเคยรู้ทุกอย่าง
เพราะตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองไปอยู่ที่นั่นในฐานะ “ประชากร” ของเขาคนหนึ่งเลย เพราะต้องกิน ต้องอยู่ ต้องใช้ชีวิตแบบเขาทุกอย่าง ซึ่งความเป็นอยู่ก็ไม่ค่อยอำนวยความสะดวกเราเท่าที่ควร บางทีได้ลงพื้นที่ไปอาศัยอยู่กับคนแอฟริกาหรือชนเผ่าด้วย แม้จะลำบาก ตอนนั้นผม happy นะ
ปิ๊ง คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา (จบปี 4 แล้วไป)
อาสาสมัครโครงการ IYF Good News Corps รุ่นที่ 12
ระยะเวลา 1 ปี 7 เดือน
ค่าใช้จ่าย: ไม่เกิน 67,000 บาท
(ค่าตั๋ว ค่าวีซ่า บริจาค,ส่วนเอกสาร ขั้นตอนการขอวีซ่าพี่ๆ สต๊าฟ IYF ช่วยเตรียมให้)
แต่ก่อนจะเล่าเรื่องผมอยากอธิบายว่า IYF คืออะไร?
I Y F คือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร และจัดตั้งโดยมีพื้นฐานมาจากคริสเตียนองค์กรนี้จะที่รับสมัครเยาวชนที่มีใจอาสาไปเป็นอาสาสมัครที่ต่างประเทศมีการสอนภาษาจริงตามที่โฆษณาไว้และให้ไปต่างประเทศจริง ผู้ก่อตั้งคือ Pastor มีชื่อว่า Ock Soo Park ผู้ก่อตั้งมีจิตใจที่อยากจะเปลี่ยนเยาวชนที่อยู่ในความมืดและความโดดเดี่ยวผ่านทางพระคัมภีร์"ไบเบิล"
ผมขอตอบแบบใจๆ เลยว่า
" ตอนอยู่ที่ Tanzania ตลอด 1 ปีและ 7 เดือน ผมก็ไปอยู่ที่เซ็นเตอร์ของ IYF ที่นั่นเป็นโบสถ์คริสต์ อาจารย์ที่คอยดูแลฝึกฝนผมก็เป็น Pastor สอน Bible ที่โบสถ์เช่นกัน วันอาทิตย์ก็มี Service ปกติมีการทำกิจกรรมของทางคริสเตียนด้วย แต่ในช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่นผมก็ได้รับสิ่งมากมายจากพวกเขา แบบที่ไม่เคยได้รับหรือเคยเป็นมาก่อน
และวิถีชีวิตที่นี่เปลี่ยนชีวิตผมไปเลยเพราะมันค่อนข้างอยู่ยากสำหรับเราแต่พออยู่ไปเรื่อยๆร่างกายก็ปรับตัวได้ครับ บางทีก็มีน้ำไม่ไหลไฟฟ้าไม่ติดเป็นเดือนบ้างบางทีผมต้องเดินเป็นชั่วโมงกับน้องคนออสเตรเลียไปแบกน้ำมาใช้กันก็มี
What's Africa?
ถ้าพูดถึงแอฟริกาบางคนอาจจะคิดว่าอากาศร้อนกันดาร ไม่มีอาหาร มีแต่ทุ่งหญ้าสัตว์ป่าเดินเพ่นพ่านผู้คนอดยากใช่ไหมครับ ?
ภาพจาก google ตัวอย่าง แอฟริกาในจินตาการของใครหลายคน
ความจริงแล้วอากาศที่นี่หนาวกว่าไทยหลายเท่าเลยเพราะ Tanzania ประเทศที่ผมอยู่มันอยู่ใกล้กับภูเขาคิลิมันจาโร(MountKilimonjaro) ข้างบนยอดเขาจะมีหิมะ เวลาลมพัดจะมีความเย็นของหิมะมาด้วย การใช้ชีวิตประจำวันต้องใส่เสื้อกันหนาวด้วยเพราะตอนที่ผมไปอยู่ก็อากาศประมาณ 16 ไม่เกิน 20 ร้อนสุดที่เคยเจอคือ 35
ข้าวเย็นตอน 5-4 ทุ่มเป็นอย่างต่ำ คนที่นี่ค่อนข้างจะแปลกๆ นิดนึง กินข้าวช้า ทำอาหารช้า อาหารที่ทำก็ไม่ค่อยถูกปากเราเท่าไร ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกันอยู่เช่น เริ่มทำอาหารกัน 1 ทุ่มแต่อาหารจะเสร็จอีกทีคือ 4 ทุ่ม กว่าจะได้กินอาหารเย็นทีนี่คือ รอออออออออออออออออออ
ส่วนอาหารเช้าจะเป็นการดื่มชาและขนมปัง 2 ก้อน แล้วความหวานของชาที่นี่เนี่ย หวานยิ่งกว่าชานมไข่มุกบ้านเราหลากเท่า เหมือนแบบกินนี่แก้วเดียวแล้วไม่ต้องกินน้ำตาลอีกทั้งชีวิต 5555
TANZANIA ใช้ภาษา “คิสวาฮีรี” (Swahili) ภาษาท้องถิ่นแอฟริกา ซึ่งติด 1ใน 10ภาษาที่ยากที่สุดในโลกด้วยตอนนั้นผมค่อนข้างไม่ชอบมาก ไม่อยากเรียนด้วยลำพังภาษาอังกฤษยังจะไม่รอดแล้วมาให้เรียนภาษาอะไรเนี่ยแต่สุดท้ายผมก็ยอมลองเปิดใจแล้วก็เรียนจากคนแอฟริกาดู ตอนนั้นมันทำให้เราสนิทกับพวกเขามากขึ้นด้วย
นิสัยของแอฟริกา ส่วนดีจะน่ารัก ใสใส เป็นมิตร เป็นกันเอง บางทีอาจจะมีกวนๆบ้างนิดๆ เฮฮา ชอบเต้นมากเรียกได้ว่าอยู่ในสายเลือดเลย ได้ยินเพลงเป็นต้องเต้น แล้วสเต็ปของเขาจะเป็นเอกลักษณะที่เราเต้นเลียนแบบไม่ได้เลย
อาหารพื้นเมือง และอาหารที่ได้กินตอนเป็นอาสาสมัคร
YES! NO! เปลี่ยนชีวิต
เขาคาดหวังกับเรามากเวลาผมพูดคำว่า “YES” เขาจะคิดว่าผมทำได้ ฝากงานให้ผมไว้ทำแต่ถ้าเกิดพูดว่า “YES”แล้วทำไมไม่ได้เนี่ยเขาจะผิดหวังกับผมมากๆ และไม่มอบหมายงานให้ผมอีก
ผมเจอประจำเลยปัญหานี้ ซึ่งมันทำให้ผมรู้ว่า การที่จะพูดว่า “NO”ออกมาเนี่ยมันดีกว่าคำว่า “YES” แต่ทำไม่ได้ซะอีก
ถ้าไม่รู้ ถ้าทำไม่ได้ก็พูด “NO” ออกมาเลย!เขาไม่ได้จะว่าอะไรเราเลย ตอนนั้นเขาถามผมกลับว่า “คุณไม่ได้ตรงไหน?” แล้วก็สอนผมตรงนั้นด้วย พอเล่ามาถึงตรงนี้อยากจะแชร์เรื่องการเรียนด้วย ที่แทนซาเนียผมต้องใช้ 2 ภาษาในเวลาเดียวกัน คือ ภาษาอังกฤษ และ คิสวาฮีรี
แล้วสภาพที่ผมไปคือ ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้อยู่แล้ว มันเลยสื่อสารกับใครก็ยากลำบากไปหมด แต่มันมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ต้องร่วมงานกับเพื่อนต่างชาติแล้วเขาพูดคุยกันสนุกสนาน หัวเราะกันแต่ผมกลับไม่รู้เรื่องเลย มันก็หงุดหงิดใจมากแล้วก็อยากจะรู้ด้วยว่าเขาพูดอะไรกัน ??
ณ จุดนั้นมันทำให้ผมเริ่มผลักดันตัวเอง ผมเริ่มเข้าหาพวกเขา เพื่อที่ "เราจะไปเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขา" ตอนนั้นผมเปลี่ยนใจที่ท้อแท้กับภาษา แล้วมันก็สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดความสามารถได้ เริ่มด้วยการอ่านหนังสือ ท่องศัพท์ และวิธีที่ได้ผลที่สุดคือ "การพูดออกมา"
ยกตัวอย่างเพื่อนคนเกาหลี คนนี้เป็นที่ไม่ค่อยพูดอะไรเลย พูดยากพูดไม่ได้ สุดท้ายอาจารย์ที่เราอยู่ด้วยก็จับเขาไปอยู่กับชนเผ่า สุดท้ายเขาก็ต้องเริ่มพูดกับคนรอบข้างเพราะถ้าไม่พูดก็ไม่ได้กินข้าว บอกไม่ได้ว่าหิวจริงๆผมก็คิดว่าเขาก็น่าจะลำบากตอนที่ต้องต่อสู้กับตัวเองแต่ตอนหลังก็ได้เห็นว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in