เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[#SunshineOfMartinIsyou #RabbitAnnaIsMine] It's my life.milan_loveless
3 Powerful :: (Ep.3) Blast

  • __________________________________

    3 Powerful :: ( Ep.3 ) Blast
                       
    Writer :: Milan_loveless
    Paring :: #SunshineOfMartinIsYou
                 #RabbitAnnaIsMine
    Rate :: 13 +
    Note ::


    - ฉากบู๊เป็นไรที่เครียดที่สุดเลยแม่จ๋า orz.

    - จะพูดไรนะ ลืม



    __________________________________


    ซันคิดว่าวันนี้ตัวเองฆ่าคนได้บรรลุเป้าหมายมาก..


    เป็นสถิติที่ถึงเกณฑ์ที่เขากำหนดไว้เลยล่ะ เกณฑ์ที่เรียกว่า ฆ่าคนได้จำนวนมาก แต่บางทีก็มีพวกมันแหล่ะที่เผลอโง่ยิงกันเอง ไม่แปลกพอถึงสภาวะที่คนเราถูกอะไรสักอย่างที่รับมือไม่ได้ ก็จะเกิดการรวนเพราะไม่มีสมาธิ


    ซันนี่คืออะไรสักอย่างที่ว่านั้น


    เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากที่วิ่งและวิ่ง อาจเป็นเพราะทางแยกที่แยกออกไป เอมิลสามารถช่วยเหลือคนทั้งหมดได้ อาจเหลือเพียงแค่จัดการกับตัวปัญหาที่สุดในตอนนี้ที่อาจหลบซ่อนอยู่ตรงไหนสักที่


    ขาของซันนี่ก้าวต่อไป มือข้างหนึ่งถือกระบอกปืนเอาไว้ ส่วนอีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกง ปากคาบบุหรี่เอาไว้สูบไม่ให้ตัวเองเครียดมากจนเกินไปกับการลุยภารกิจที่ทางเขาได้เปรียบกว่า


    ที่ฆ่าๆมาก็พวกตาลุงแก่ๆ


    ถ้าไม่ได้ยิงก็ล็อกตัวไว้แล้วหักคอไว้ พอมาคิดดูแล้วเขาเองก็ต่อสู้มือเปล่าได้พอสมควรเลย อาจเพราะถูกปลูกฝังให้สู้มาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้


    “แกเป็นใครกัน!”


    ซันนี่ได้ยินคำถามจากตาลุงที่ตัวเองกำลังล็อกคอเอาไว้ เขากระตุกยิ้มร้ายออกมา ไม่ได้ตอบคำถามออกไป แต่จับคอของอีกฝ่ายหักมันจนได้ยินเสียงกระดูก กร๊อบ


    เขายังคงเดินต่อไป แต่อาจเพราะลืมระวังตัวก็เป็นได้ทำให้แรงจากข้างหลังเข้ามาล็อกตัวจนร่างของซันนี่ล้มลงไปกระแทกกับพื้นเรือ เขาเงยหน้าให้เหนือพื้น เห็นตัวเองกำลังถูกกดและกระบอกปืนจ่อเข้ามาที่หัว


    “แกเป็นใคร!”


    “หึ..”ซันนี่ไม่ตอบแต่ส่งเสียงร้องตอบออกไปแทนเป็นเชิงกวนประสาท “เรื่องไรที่จะต้องรู้ล่ะ เดี๋ยวพวกแกก็ต้องตายอยู่ดี”


    “เหอะ ไอ้หนู อยากรู้เหมือนกันว่าปากของแกกับกระสุนอะไรมันจะเร็วกว่ากัน”


    ปัง


    “อ๊ากกก”


    เสียงแหวกอากาศที่เขาคุ้นเคยดังออกมาพร้อมเสียงร้อง เลือดที่กลางหลังของคนๆนั้นถูกยิงกระฉูดออกมาแตะกับพื้นรอบข้าง ร่างนั้นล้มลงไป ซันนี่ค่อยๆยกตัวลุกขึ้นมาจากพื้น มองเห็นเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลที่ดูเหนื่อยๆคล้ายอาจเพราะออกแรงวิ่งตามศพที่เกลื่อนกลาดตามทาง


    “จัดการพวกตัวประกันเรียบร้อยแล้วเหรอ?”


    “ค่ะ”เธอตอบอย่างแข็งขัน เอมิลก้มมอง “ฆ่าไปเยอะเลยนะคะ”เขามองร่างที่พื้นตามที่เธอทัก


    ซันเดินต่อไปขณะที่มีเอมิลเดินตามมา ภารกิจในครั้งนี้คงไม่ยากเท่าไร อุปกรณ์สื่อสารของพวกมันเขาก็ทำลายไปเยอะพอสมควร เดินตามทางไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดเดิน


    กึกๆๆๆๆๆ


    “ได้ยินไหม?”


    เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมามีมากกว่าหนึ่งเสียง


    เอมิลเงียบลง “.....คิดว่าได้ยินไม่ผิดนะคะ”


    .



    .



    .




    .




    .



    มาร์ตินเดินออกมาจากเรือ เขามองชายแก่ที่ยืนอยู่ข้างนอก ก่อนจะวิ่งไล่ตามอีกฝ่ายที่พยายามวิ่งหนี ตาลุงเฒ่าตรงหน้าดูมีพิรุธอะไรสักอย่างตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว มาร์ตินก้าวขาของตัวเองวิ่งตามต่อ


    จังหวะนั้นเขาดึงเสื้อของอีกคน ออกแรงดึงและกระแทกตัวอีกคนให้ล้มลงไปกับพื้น


    ดวงตานิ่งสนิทของมาร์ตินมองไป


    “ปล่อยฉัน!”อีกฝ่ายกัดฟันกรอดส่งเสียง


    “คุณหนีอะไร?”เขาถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว หมอหนุ่มไม่คิดจะปล่อยออกไปง่ายๆ มันผิดปกติเกินไปที่จะไว้วางใจ สายตาไล่มองคนที่ตัวเองจับไว้อยู่นิ่งๆก่อนจะเห็นเครื่องมืออะไรบางอย่างคล้ายกับมีอะไรมาต่อเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย


    .



    .



    .




    .



    “บอสของพวกแกอยู่ไหน!”ซันนี่ถามลูกน้องที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายเอมิลฟังเงียบๆไม่ได้ลงมืออะไรมากเลย ศพรอบข้างแทบทั้งหมดคนอายุมากกว่าจัดการเองหมดทั้งสิ้น “จะตอบไหมฮะ?”ว่าแล้วก็เสยหมัดใส่หน้าจนหน้าหัน


    มันเงียบเกินไปรึเปล่านะ?


    เอมิลคิดออกมา คาดว่านี่ก็คงเป็นสิ่งที่ซันนี่สงสัยเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วก็ไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนใดๆขึ้นมา ถึงแม้อุปกรณ์สื่อสารจะพังไปหมดแล้วก็เถอะ แต่มันสงบเกินไป


    แต่ความเงียบก็เข้าปกคลุมสามคน


    ก่อนคนเสียเปรียบจะปากดีพูดออกมา “พวกแกคือสายของตำรวจใช่ไหม?”มันถามพร้อมหัวเราะออกมาอย่างสะใจ “พวกแกมันโง่จริงๆ”พูดจบหมัดก็ลอยไปอีกหมัด ซันนี่ไม่ตลกกับคำพูดบ้าๆของมันซะเท่าไร ปากดีจะตายยังคิดเล่นลิ้นออกมา


    “แกไม่ฉุกใจคิดบ้างรึไงว่าเรื่องขนาดนี้กลับไม่มีอะไรแจ้งเตือนบอสใหญ่ของเราเลย”


    “เรื่องมันก็ง่ายๆเลย ในเมื่อเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้…”


    เสียงโทรศัพท์ของซันนี่ดังขึ้นมา เขารับมันขณะที่มืออีกข้างเปลี่ยนเป็นการบีบคอแทน


    เอมิลได้ยินเสียงสถบ


    “ระเบิดเหรอ?!”



    .



    .




    .




    .



    มาร์ตินมองระเบิดเวลาในมือของอีกฝ่ายที่มันจับเวลาเหลือแค่สองนาทีสุดท้าย เป็นจังหวะเดียวกับที่มันผลักร่างของเขาออก ตาเฒ่าลุกขึ้นจากพื้นพยายามออกแรงวิ่งอีกครั้ง มาร์ตินหายใจเข้าลึกๆและออกแรงวิ่งตามอีกครั้ง


    จังหวะที่จับได้อีกครั้งเป็นจังหวะเดียวกับเสียงดังลั่นสนั่นทั่วบริเวณ


    ตู้ม!


    เรือตรงท่าเรือระเบิดลงมาตกลงสู่น้ำแถวๆนั้น


    เป็นจังหวะเดียวกับที่ความอดทนขาดผึง มาร์ตินหยุดวิ่งไล่ตาม ยกกระบอกปืนขึ้นมา ลั่นไกให้แหวกผ่านอากาศตรงไปที่ขา ยิงซ้ำไปขาอีกข้าง จนร่างของไอ้บ้าที่มีระเบิดอยู่ในมือเมื่อครู่ล้มลงกองกับพื้นลงไป


    ใบหน้านิ่งสนิทและเงียบสงบก้าวเข้าไปหาด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ หนึ่งในนั้นคือโกรธเอาเสียมากๆ


    เขาออกแรงกดให้กระสุนปืนออกมาอีกครั้งราวปลิดชีวิตใครสักคนไป


    หันหลังกลับไปจะกลับไปดูว่าอีกสองทายาทขั้วมหาอำนาจยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ มาร์ตินกลับได้พบชายหนุ่มผมสีทองที่เปียกลู่น้ำคนนั้นที่ก้าวเข้ามาใกล้ มือกำเป็นหมัดแน่นต่อยเข้าที่ใบหน้านิ่งสนิทของเขาจนหันไปตามแรง


    ซันนี่หอบหายใจกับการรอดตายมาอย่างหวุดหวิด โชคดีที่โดดออกจากเรือมาทันและว่ายน้ำเป็นด้วย


    ยังไม่ได้ถามอะไรก็โดนต่อยซะแล้ว นั่นคือสิ่งที่มาร์ตินคิด


    “ต่อยเมื่อกี้สำหรับที่แกมาสาย”


    คนต่อยบอกเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นจนดูไม่ใช่เหตุผล


    มาร์ตินไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ถามไปถึงผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าที่ควรอยู่ด้วยกันกับอีกฝ่าย


    “แล้ว?”


    “มันยังไม่ขึ้นมาเหรอ?”


    คิ้วของซันนี่ขมวดขึ้นถามเป็นการรู้ดีว่าตอนนี้หมายถึงอะไร ขาสองคู่ของสองคนหันกลับไปที่ตรงบริเวณนั้น…


    .



    .



    .



    .


    บ้าเอ๊ย..


    เอมิลพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาให้เหนือน้ำหลังจากที่ตัวเองรู้สึกว่าลมหายใจจะหมดลงทุกที ตาลืมตาขึ้นมาขณะที่ตัวเองพยายามจะเอาตัวขึ้นฝั่งให้ได้


    ถึงจะว่ายน้ำไม่ค่อยเป็นแต่ก็พอลอยตัวได้อยู่บ้าง ดวงตาสีน้ำตาลพยายามลืมมองท้องฟ้ามืดเพราะเวลายามค่ำคืน


    คาดว่ากลับไป ไข้แดกแน่

    แย่ชะมัดเลย !!!!!!!











เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in