1.อย่าให้ใจเราเจ็บ (Don't get my Heart Hurt)
อย่าให้ใจเราเจ็บ หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องโดยผ่านเจ้ากระต่ายที่ชื่อซอลโท ซอลโทเป็นกระต่ายที่มีความทุกข์ในชีวิตเยอะมาก และความทุกข์ของซอลโทก็มาจากการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเพื่อน เรื่องความรัก หรือแม้แต่การอยู่เฉยๆก็ทำให้ซอลโทเศร้าได้
"ฉันทุกข์ใจแล้วก็หายดี ค่อยยังชั่วได้หน่อยก็เศร้าอีก พอดีขึ้นก็ดันหวนไห้เรื่องอดีต... คิดว่าฉันแปลกหรือเปล่า"
"แสดงว่าหัวใจมีเรื่องอยากบอกน่ะสิ"
ซอลโทเหมือนกับฟองน้ำที่ดูดซับความเศร้าเอาไว้ บางความเศร้าซอลโทไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จู่ๆหัวใจก็หนักอึ้งจนเหมือนจะล่วงหล่น แต่สิ่งที่ซอลโททำไม่ใช่แค่การกอดตัวเองร้องไห้ แต่ซอลโทยังสำรวจตรวจสอบความเศร้าของตัวเองว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดขึ้นเพราะอะไร และค้นหาวิธีรับมือ
อ่านๆไปชีวิตของซอลโทก็เหมือนกับชีวิตเรานั่นแหละ ไม่มีใครสมหวังทุกอย่างในชีวิต ให้ซอลโทเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนภาพของเรา หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ห้ามให้คุณเศร้า แต่จะตั้งคำถามแล้วชี้แนะวิธีอยู่ร่วมกับความเศร้าเหล่านั้น หลังจากนั้นเราจะมองความเศร้าเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถรับมือได้
"เอาน่า คนเราก็มีวันแบบนี้กันบ้าง"
ผู้แต่ง/ภาพประกอบ : Seolleda (ซอลเลดา)
ผู้แปล : ตรองสิริ ทองคำใส
สำนักพิมพ์ :Springbooks
2.แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นจริง ๆ นะ
แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นจริง ๆ นะ เป็นภาคต่อจากอย่าให้ใจเราเจ็บ ตัวเอกที่ดำเนินเรื่องยังคงเป็นเจ้ากระต่ายซอลโท ดูเหมือนความเศร้าของซอลโทจะไม่มีวันจบสิ้น และครั้งนี้ซอลโทจะพาเราไปทำความรู้จักกับหัวใจตัวเอง ในส่วนที่ลึกที่สุดว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่ บางทีเราอาจซ่อนความรู้สึกแท้จริงของตัวเองเอาไว้ การยอมรับตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด ลองทำความเข้าใจหัวใจตัวเองดูสักครั้งสิ
"ถึงเป็นกล่องใส่หัวใจของตัวเอง เราก็ไม่รู้ว่ามีอะไรในกล่องจนกว่าจะเปิดดู"
เล่มต่อถูกแบ่งเป็นพาร์ทเพื่อให้เราทำความรู้จักกับหัวใจตัวเองได้ง่ายขึ้น ค่อยๆคุยกับหัวใจไปทีละเรื่อง เป็นเหมือนสารบัญอารมณ์ก็ว่าได้ อีกสิ่งที่ต่างจากเล่มแรกคือเล่มนี้พูดถึงเรื่องความรักมากขึ้น เมื่อเริ่มรัก เมื่อให้หัวใจไป และเมื่อต้องเจ็บเพราะความรัก ซอลโทจะรับมือกับความเศร้านี้ยังไง
นอกจากนั้นเรายังพบการจิกกัดเล็กๆแต่เจ็บจี๊ดในหนังสือเล่มนี้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจิกกัดตัวเองที่ปล่อยปละละเลยหน้าที่ หรือการจิกกัดคนอื่นที่ทำอะไรขัดแย้งกับคำพูด บางหน้ายังมีสอดแทรกอารมณ์ขันเอาไว้ด้วย ทำให้การคุยกับตัวเองไม่เคร่งเครียดจนเกินไป
หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนตัวแทนหัวใจที่อยากบอกอะไรกับเรา และเป็นเหมือนเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจเรา หากต้องการคนรับฟังไปพร้อมๆกับชี้แนะว่าจะอยู่ร่วมกับความรู้สึกมากมายพวกนี้ยังไง ลองหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านสิ หรืออย่างน้อยใช้มันเป็นประตูเข้าไปคุยกับหัวใจตัวเองก็ได้นะ
"ที่สุดแล้วคนทำให้เราขยับคือตัวเราเอง"
ผู้แต่ง/ภาพประกอบ : Seolleda (ซอลเลดา)
ผู้แปล : ตรองสิริ ทองคำใส
สำนักพิมพ์ :Springbooks
3.ไม่ได้ขี้เกียจแค่กำลังชาร์จพลัง
อาการหมดไฟหรืออาการหม่นหมองซึมเศร้าเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกวัย อาการคือจู่ๆก็ไม่อยากทำอะไรเลย แม้แต่การออกไปร้านสะดวกซื้อที่เดินไม่กี่นาทีถึงยังดูห่างไกล พอคิดว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้างก็ได้แต่ถอนใจแล้วทิ้งตัวลงนอนตามเดิม
หลายคนมองว่าอาการแบบนี้ของตัวเองคือปัญหา แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มองว่าอาการนี้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะเวลาไม่อยากทำอะไรก็มีการไม่ทำอะไรนี่ละที่ช่วยได้
ไม่อยากทำอะไรเลยงั้นหรอ? งั้นก็ไม่ต้องทำสิ ไม่ได้สนับสนุนให้เป็นคนเอื่อยเฉื่อยแต่บางครั้งการนอนเฉยๆแล้วปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน อย่างน้อยวันนั้นก็ถือเป็นการพักร่างกายและหัวสมองที่ถูกใช้งานมาเนิ่นนาน หรือเรียกว่าชาร์จพลังอย่างที่ในหนังสือบอก
หนังสือไม่ได้พูดถึงแค่อาการหมดไฟหรืออาการซึมเศร้าเท่านั้น แต่ยังตัดพ้อถึงเหตุการณ์แย่ๆในชีวิตอีกด้วย หลายเหตุการณ์ยังชักนำไปสู่อาการหมดไฟและซึมเศร้า อย่างเช่นเจอคนพูดแย่ๆใส่จนไม่อยากไปทำงาน หรือเวลาที่ปัญหารุ่มเร้ามากๆจนคิดไม่ตก ช่วงท้ายของหนังสือได้นำเสนอมุมมองดีๆให้เรา ความคิดดีๆบางทีก็ช่วยเราได้เหมือนกันนะ
บทบรรยายในหนังสือต้องอาศัยตีความนิดหน่อย แต่ภาพประกอบที่เป็นเอกลักษณ์อ่านแล้วเพลินดี อ่านแล้วจะพบว่าในชีวิตเรามีหลายอย่างที่ตรงกับในหนังสือ แสดงว่าไม่จำเป็นต้องเป็นโรคซึมเศร้าก็พบเจอเหตุการณ์อย่างในหนังสือได้ ใครพบเจอเหตุการณ์แย่ๆก็ลองเอามุมมองดีๆที่นักเขียนนำเสนอไปปรับใช้ดูนะ เล่มนิยมก็จะนำไปลองใช้เหมือนกันจ้า
ผู้แต่ง/ภาพประกอบ : Dancing Snail
ผู้แปล : ตรองสิริ ทองคำใส
สำนักพิมพ์ :Springbooks
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in