เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลิงอ่าน/2016imonkey7th
#41 The Alchemist "ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า"


  • -1-
    เป็นเรื่องน่าแปลกที่ผมมาปรากฏตัวที่แห่งนี้ ณ ร้านอาหารญี่ปุ่นใจกลางกรุง ด้วยพื้นเพ นิสัย รายได้ และวิถีชีวิตของผมแล้ว ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้ พื้นที่ที่ภายในอึมครึม สลัว สวยงาม เมนูอาหารเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมายที่ผมไม่รู้จัก 

    คงเพราะผมมาเช้าเกินไป บรรดาพนักงานกำลังจัดร้านที่ยังไม่ค่อยเข้าที่มากนัก 
    จึงปล่อยให้ผมนั่งรอ 'เพื่อน' พร้อมกับอ่านหนังสือลำพัง
    ---------------------------------

    41/2016
    The Alchemist 
    "ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า"  
    Panlo Coelho

    เป็นนิยายที่อัดแน่นด้วยความเข้มข้นของความเชื่อ พลังลึกลับของจิตใจ สัญญาณ และเสียงของโลก น่าจะเป็นตำราที่สนับสนุนให้มนุษย์เดินทางตาม"ตำนานของโลก" มากกว่านิยาย 

    เชื่อว่าทุกคนทำได้ทุกอย่าง เรื่องเล่าผ่านตัวละคร เด็กเลี้ยงแกะไร้ชื่อ ที่ฝันว่าพบสมบัติ และตัดสินใจออกตามหา เขาเชื่อว่ามันจะเป็นจริง ผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามา ตามคำชี้แนะของ"แมลคิซีเดค"ชายชราผู้เป็นกษัตริย์ 

    "ให้แกะหนึ่งในสิบแล้วฉันจะสอนให้ว่าจะไปถึงขุมทรัพย์ได้อย่างไร" ชายชราผู้มั่งคั่ง ขอแกะจากเด็กหนุ่ม "หนึ่งในสิบของขุมทรัพย์ไม่ได้เหรอ" เด็กเลี้ยงแกะต่อรอง
     
    "หากเธอจากไปด้วยการสัญญาสิ่งที่เธอไม่มี
    เธอก็จะไม่มีความอยากที่จะได้มันมา"


    ผมปิดหนังสือแล้วครุ่นคิด


    อาจจะเป็นเพราะประโยคนี้ที่ทำให้ผมมานั่งตรงนี้
    หรืออาจเป็นเพราะผมมานั่งตรงนี้ ผมจึงเจอประโยคนี้ 



    -2-

    "การแสวงหาเริ่มต้นด้วยโชคของผู้เริ่มต้นเสมอ
     และมักจบลงด้วยการพิสูจน์ตนเองของผู้ชนะ"

    ผมจับเครื่องบิน แหกตารางเวลาที่แน่นและยุ่งเหยิง ปลีกกายมาร่วมงานของเว็บไซต์ Fictionlog.co ที่จัดขึ้นเป็นกึ่ง ๆ สัมมนา มีผู้มีชื่อเสียงและประสบการณ์ด้านงานเขียนนิยาย บทความ บทหนัง กำกับ และอื่น ๆ อีกมากมายมาให้ความรู้และแชร์ประสบการณ์

    อาจเป็น"โชคของผู้เริ่มต้น" แบบที่นิยายในมือผมกล่าวถึง หรืออะไรบางอย่างที่ผลักดันให้ผมได้มีโอกาศเข้าร่วมงานนี้ 

    ผ่านเพื่อนสองคนที่ผมรอคือ "บุช" นักเขียนมือรางวัล Young Artist Award และ "ลูกศร" Community Manager ของ 'Storylog'  

    ย้อนไปเมื่อสักปีที่แล้ว ผมกด Publish ส่งงานเขียนเรื่องแรกของผมลง Storylog เป็นงานเขียนบันดาลใจตามแบบสมัยนิยมขณะนั้น งานง่อย ๆ ที่กึ่ง ๆ ลอกแบบจากโมเดลของคนดัง ถือเป็นก้าวแรก ในโลกอักขระอักษรที่ทับซ้อน และลึกล้ำ ที่ผมเริ่มต้นเรียนรู้ ผ่านมาแล้ว 1 ปี 170 เรื่อง 

    วันหนึ่งมีข้อความ "สนใจเข้าร่วมงานด้วยกันมั้ยคะ" ผุดขึ้นในสมาร์ทโฟนผม พร้อมรายละเอียด มือสั่นสะท้านของผมค่อย ๆ เลื่อนและอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

    โอกาสที่มาถึงกลายเป็นคำถามที่สำคัญอันหนึ่งของชีวิตผม 
    "ผมจะทำมันได้ไหม?"


    -3-

    บุชกับศรเดินเข้ามาในร้าน กลิ่นหอมประหลาดลอยเข้ามาแทรกบรรยากาศ อาจเป็นกลิ่นปรุงแต่งของร้านผมไม่ค่อยคุ้นกับมันมากนัก พยายามนึกให้ออก... เสียงบุชเอ่ยทัก กล่าวสวัสดี ผมปรับสมาธิกลับมาเบื้องหน้า ยิ้มรับและทักตอบ  หลังจากทั้งสองเริ่มต้นสั่งอาหาร บทสนทนาง่าย ๆ ใช้ทักทายและปรับจูนเริ่มขึ้น แน่นอนเราเคยคุยกันมาแล้ว แต่ไม่ใช่ในสถานะการณ์แบบนี้ ส่วนใหญ่เราสื่อสารผ่านข้อความ เราไม่รู้จักน้ำเสียงของกันมากนัก ไม่รู้ท่าทาง และบริบท การวางตัวช่วงต้นจึงค่อนข้างตะกุกตะกัก

    ทั้งสองมีความเป็นกันเองสูงมาก (กว่าที่ผมจินตนาการไว้ตอนแรก) เราพูดคุยกันสักครู่อาหารถูกยกมาหลากอย่าง บ้างก็เคยลิ้มมาก่อนบ้างคือความแปลกใหม่ ความเป็นญี่ปุ่นถูกหยิบโรยบนโสตประสาท แซลมอน มิโซะ สเต๊กเรียงราย ตรงหน้าผมเป็นข้าวหน้าหมูสามชั้นกรอบเกรียม ตรงข้ามเป็นรอยยิ้มของลูกศร และที่กำลังเคี้ยวหงุบหงับพร้อมคำกล่าว "ฟินตาย ฟินตาย" คือบุช ตะเกียบในมือขวาของผมทำหน้าที่คนผสมสัดส่วนให้เข้ากัน ก่อนตะกุยเข้าปาก "อาหารญี่ปุ่นอร่อยมั้ยเฮีย" ลูกศรถามผม ความร้อนของข้าวและจำนวนที่ถูกโกยเข้าปากทำให้ผมทำได้แค่พยักหน้า 




    -4-

    "ในช่วงของชีวิต ทุกอย่างชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ และคนไม่กลัวที่จะฝันและอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขา เห็นว่าตัวเองได้ลงมือทำในชีวิต  แต่เมื่อเวลาผ่านไปพลังลี้ลับอย่างหนึ่งจะเริ่มพิสูจน์ให้
    เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสืบสานตำนานชีวิต"
    --แมลคิซีเดค-- 

    "ครืด ครืด" 

    เสียงรถวอลโว่สีเขียวเข้มครางโอดโอยราวกับว่าเราทั้งสามสร้างความลำบากให้ตัวมันอย่างใหญ่หลวง ตอนที่พยายามเลื้อยไปบนถนนที่คับคั่งไปด้วยรถรา ผมนั่งอ่านหนังสือต่อในรถที่มีบุชเป็นคนขับ พวกเราเคลื่อนตัวจากร้านอาหารไป 'ฮับบา-โตะ' สถานที่จัดงาน พอมาถึงคุณปิ๊ปโป้ CEO สายฮาก็มากอดต้อนรับ มีสามสหายเนิร์ด อาร์ม พัท นั่งพูดคุยกันด้วยภาษาเครื่องจักรกลราวกับร่วมกันวางแผนและวัดผลความเป็นไปได้ในการสร้างกันดั้ม ส่วนเต้ก็ยังวางตัวทรงภูมิตามแบบนักเขียนสายวรรณกรรมจ๋าทำกัน รอบ ๆ มีแม็ค( Mcpitch จอมโรแมนติกที่สาว ๆ กรี้ด) มีโอมผู้อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ คุณวิค วิกรานต์ ปอแก้ว นั่งเล่นอยู่กับคุณตาลแฟนสาว จากนั้นบรรดา คุณปิง คุณอ้น พี่อ๋อง พี่โย ลุลลา จิล และคนอื่น ๆ ก็ทยอยกันเข้ามา 

    งานเริ่มจริงจังตอนบ่ายสองครึ่ง ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเป็นกันเอง เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นแผนการดำเนินการเปิดตัวเว็บไซต์ Fictionlog.co ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตามด้วยการแชร์ประสบการณ์อันมีค่าของคุณปิง ผู้กำกับฮอร์โมน ซีซัน 2-3 คุณอ้นผู้เขียนนิยายมาแล้วกว่าสามสิบเล่ม 

    ผมไร้ซึ่งคำถามใด ๆ เมื่อพิธีกรถามว่าใครมีคำถามอะไรไหม ตั้งใจนั่งฟัง สงบเงียบปานฟองน้ำที่ค่อยดูดซึมทุกอย่างเข้าร่างกาย ไม่รู้หรอกอันไหนจะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ยังไง แต่ก็ขอรับไว้ด้วยความตื่นเต้น บรรยายไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้คืออะไร สนุกกับความเป็นไปได้ที่มีในตัวของทุกคน หลังเลิกงานเราเดินลงมาร้านกาแฟ April-Story เพื่อนั่งพูดคุยกัน 

    โอมสาธิตเว็บไซต์ที่พัฒนา ข้อมูลต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นและโชว์แอปพลิเคชั่นให้ได้เห็น มีกลุ่มพูดคุยกันสองสามกลุ่ม ภาษาที่พวกเขาพูดคุยกันเป็นภาษาที่แปลกแปร่งฟังแล้วรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างตามกลุ่มก้อนที่รวมตัวกันพบปะแลกเปลี่ยนเรื่องที่ตนสนใจ 

    ยิ่งผมเข้าไปใกล้ ตั้งใจฟังผมกลับพบระยะห่างที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว มือที่จับ ทักทาย สอบถามผมกลับทำให้รู้สึกว่าพวกเขาห่างออกไปเรื่อย ๆ ความกลัวทำให้ตัวผมหดเล็กลง หรือนี่จะเป็นบททดสอบของพลังลี้ลับที่กษัตริย์เฒ่าพูดถึงในหนังสือที่ผมอ่าน มันค่อย ๆ กรีดกัด แบ่งแยกตัวเราออกเป็นเสี่ยง ๆ ยิ่งเราเข้าหาคนเก่งมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรับรู้ถึงการมีตัวตนของเราน้อยลง

    "เรามาทำอะไรที่ ตรงนี้มันเหมาะกับเราจริงหรือ?"


    -5-

    "เพราะชีวิตคือช่วงเวลาแค่เพียงที่เรามีชีวิตอยู่เท่านั้น"
    --ชายนักเล่นแร่แปรธาตุ-- 


    ผมอ่านหนังสือจบเล่ม พร้อมกับพบความหมายที่ซ่อนอยู่ แม้มันจะเป็นในแบบของผมเอง ทุกคนแยกย้ายกลับ ผมไปทานข้าวต่อกับกลุ่มทีมงาน Storylog นั่งฟังภาษาของพวกเขา ความสนุกสนานที่แผ่มาให้ผมสัมผัส แน่นอนความไม่คุ้นยังปิดกั้นบางอย่าง 'แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา' ผมคิด 'มันจะสลายไปเมื่อเราให้เวลาแก่กันและกันมากพอ' 

    เราจากกันด้วยมายากลระดับโลกของปิ๊ปโป้ ผมตัดสินใจไปพักบ้านบุช โดยมีลูกศรและไข่เดินทางไปด้วย เสียง ครืด ครืด ของรถสูงอายุของบุชยังขับกล่อม ภายในรถอบอวลไปด้วยความเป็นกันเอง ตลอดทางเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะหยอกล้อ คิดอีกทีเสียงครืดของรถเขียวขรึมของบุช อาจไม่ได้โอดโอย แต่อาจกำลังหัวเราะ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กับพวกเรา และยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางความฝันของพวกเราก็ได้

    ไข่ให้บุชจอดรถเพื่อผมกับไข่จะลงไปหาเครื่องดื่มและพูดคุยกัน ไข่เป็นนักเดินทางและนักเล่าเรื่องที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง มีอะไรหลายอย่างที่ทำผมอิจฉา เรานั่งแลกเปลี่ยนกันจนกระทั่งห้าทุ่ม บุชข้อความมาตามตัว เรากลับโดยแท๊กซี่ เมื่อถึงบ้านบุช ไข่โอบกอดผม อกด้านซ้ายของเราชิดกัน ส่งต่อความรู้สึกของเพื่อนให้กัน 

    จากนั้นผมขึ้นบ้าน บุชจัดที่นอนให้อย่างดี ก่อนขอตัวเข้านอนโดยที่ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย ผมแอบรื้อหนังสือบุชมาอ่านสองสามเล่ม ก่อนอาบน้ำ ปิดไฟ กระโดขึ้นเตียง

    ไม่มีอาการเหนื่อยล้า มีแต่คำถามที่ท้าทายตัวผมเอง
    ผมใคร่ครวญสิ่งที่ตนเองได้จากการตัดสินใจเดินทางมาวันนี้
    มันแปลกใหม่น่ากลัว แต่หอมหวล

    เส้นทางฝัน เดินทางมาหา
    และเราก็เดินอยู่บนทางนั้น
    เหตุการณ์วันนี้ ราวกับฝันที่ซ้อนอยู่ในฝันมันรู้สึกได้
    แม้ยังจับต้องมันไม่ได้ก็ตาม 

    ผมนอนหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นสุข 
    ห้วงเวลานี้ไม่ว่าผมจะหลับหรือตื่นอยู่
    ผมก็อยู่ในฝัน 


    -6-

    ผมตื่นตีสี่ ล้างหน้า ไร้ซึ่งอาการง่วงใด ๆ หยิบหนังสือมาอ่านต่ออีกเล็กน้อย ก่อนมั่นใจแล้วว่าบุชคงไม่ตื่นแน่ๆ ก็ดีเหมือนกันเพราะตลอดเมื่อวานผมรบกวนบุชอย่างไม่เหลืออะไรให้รบกวนแล้ว 

    ผมค่อย ๆ ออกจากบ้านราวกับขโมยผู้ช่ำชอง เดินบางเบาเพื่อไม่ให้บุชตื่น ออกจากบ้านมาเดินคิดนั่นนี่โน้นตามประสา ก่อนโบกแท๊กซี่เดินทางไปดอนเมือง เช็คอิน เดินไปเกต พร้อมกาแฟแก้วหนึ่ง นั่งรอเวลา ส่งข้อความบอกบุชว่ามาถึงแล้ว หวนคิดเรื่องเมื่อวานอย่างกับว่ามันเป็นรักแรกของเด็กวัยรุ่น กลิ่นบรรยากาศยังติดอยู่ปลายจมูก และคำถาม 'มาทำอะไร?' ถูกคลี่คลาย

     ผมแน่ใจว่า ความไม่เหนื่อยล้าจากการเดินทางไม่ได้มาจากกาแฟที่ผมกินเข้าไปตะกี้ กลิ่นหอมประหลาดลอยล่องเข้าจมูกขณะเคี้ยวอาหารที่ร้านอาหารญี่ปุ่นหาใช่กลิ่นปรุงแต่งในร้าน ความอร่อยที่ปลายลิ้นของผมไม่ได้มาจากอาหาร เสียงหัวเราะเหล่านั้นไม่ได้มาจากมุขตลกห้าบาทสิบบาทของปิ๊ปโป้ แต่ 'มิตรภาพ' ที่ทั้งสองแอบใส่มาตอนที่ก้าวเข้าในร้านอาหาร ความตั้งใจของทีมงานที่โยนมาให้ และสายตาเชื่อมั่นที่ไข่มอบให้มา สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างรอบตัวของผม ไม่ได้เป็นสิ่งน่ากังวลอย่างที่ผมกลัวอีกแล้ว

    ขุมทรัพย์ที่ผมคิดว่าจะได้มันในตอนแรกกลับไม่ได้
    สิ่งที่ผมได้มันซ่อนอยู่ในการเดินทาง 

    เจ้าหน้าที่เรียกผู้โดยสารให้ขึ้นเครื่อง ผมจ้องมองดูลมแม้จะมองไม่เห็น พยายามพูดคุยกับธรรมชาติราวกับเด็กเลี้ยงแกะในหนังสือที่อ่านจบไป สื่อสารกับสิ่งรอบกาย 

    ขุมทรัพย์ที่แท้จริงอยู่ในที่ ๆ 
    เราเท่านั้นจะหาเจอ


    "สมบัติอยู่ที่ไหน หัวใจอยู่ที่นั้น"

    ผมอ่านทวนหนังสือ


    ขอบคุณทุก ๆ คน
    ลิง
    6.7.16
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in