I.
วันนี้จะต้องเป็นวันที่ดี
ถนนที่เดินผ่านอยู่ทุกวัน เช้านี้ดูสดใสกว่าเคย ลมเย็นโกรกไม่ระคายผิว แผ่นหลังที่ปกติแล้วชุ่มไปด้วยเหงื่อกลับแห้งสนิท กลิ่นข้าวหมูปิ้งร้านประจำโชยมาแตะจมูกหลังจากที่พี่คนขายหายกลับบ้านไปนานหลายอาทิตย์ เสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์และกีต้าร์ของ เทรซี่ แช็ปแมน คลออยู่ในหูฟัง
ทุกอย่างราวฟ้าเป็นใจ
วันนี้ต้องเป็นวันที่ดี
-
“เฮีย อย่าลืมนะว่าคืนนี้ต้องกลับไปกินข้าวบ้าน” เสียงน้องสาวคนเล็กของบ้านดังขึ้นมาผ่านโทรศัพท์มือถือที่เขาเหน็บไว้ข้างหู มือทั้งสองของเขากำลังวุ่นกับการควานหาบัตรพนักงานในกระเป๋าสะพายใบโตเพื่อขึ้นไปยังตึกที่ทำงาน
“รู้แล้วครับ ๆ ไม่โดดแน่นอน เดี๋ยวตอนเย็นเฮียไปซื้อของขวัญก่อนแล้วจะกลับเลย” เขาตอบ พลางเร่งมือหา เพราะเหลือบไปเห็นพี่ยามที่เริ่มมองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความอนาถใจแล้ว
อยู่ไหนวะ เมื่อวานก็ใส่ไว้แล้วนี่
“เอาให้จริงนะ ไม่ใช่เจโทรไปตอนสองทุ่มแล้วยังอยู่สตูนะ” เจถามย้ำ น้ำเสียงของน้องแสดงถึงไร้ความเชื่อมั่นในคำสัญญาของเขาโดยสิ้นเชิง
“ไม่เบี้ยวหรอก วันเกิดม๊านะเว่ย เฮียจะลืมได้ไง”
อ่า เจอแล้ว
“ถ้าผิดนัดเจโกรธจริง ๆ ด้วย”
“ไม่ผิดหรอกน่า เชื่อใจเฮียหน่อยดิวะ” เขาตอบซ้ำ ก่อนเอื้อมมือไปกดลิฟท์
“อย่าสายก็แล้วกัน” เจยังคงย้ำด้วยเสียงจริงจัง ภาพน้องสาวถือโทรศัพท์แนบหูหน้ามุ่ยโผล่เข้ามาในหัวอย่างชัดเจน
ตอนนี้คิ้วต้องขมวดอยู่แน่ ๆ
“รู้แล้วน่า เฮียจะขึ้นลิฟท์แล้วนะ ต้องวางสายแล้ว” เขาบอกน้องก่อนสัญญานจะถูกรบกวน
“โอเค ๆ อย่าลืมนะเฮีย ทุ่มตรงนะ”
“นั่นแหละ แค่นี้นะ เดี๋ยวตอนเย็นเฮียโทรไป”
-
ตอนเป็นเด็กเขาเคยคิดว่า ไม่ว่ายังไง ก็จะต้องเติบโตเป็นคนที่พิเศษ
ไม่จำเป็นต้องเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ไม่ใช่คนที่เดินไปตามถนนแล้วมีคนมองตาม ไม่ต้องริเริ่มการปฏิวัติที่เปลี่ยนโลกทั้งใบ แต่พิเศษสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง มีความหมาย มีความสำคัญ จะต้องทำอะไรที่มีคุณค่า และเป็นประโยชน์ จะไม่เป็นมนุษย์เงินเดือนที่เดินคอตกเหมือนที่เขาเห็นเวลานั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน ใช้ชีวิตทำงานไปวัน ๆ เพื่อรับเงินเดือน ดูราวกองไฟที่กำลังจะมอดดับอยู่รอมร่อเป็นอันขาด
เขามองเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกลิฟท์
ใครจะไปรู้ว่าพอโตขึ้นมาจริง ๆ การเลี้ยงไฟตัวเองไม่ให้ดับมันจะยากขนาดนี้วะ
-
“ทำไมวันนี้แต่งตัวดีจังวะ” กานต์หันมาถามเขาหลังปรายตามองชุดของเขาในวันนี้ เพื่อนสนิทของเขากำลังนั่งหมุนเก้าอี้ทำงานเขาไปมากลางสตูดิโอที่ต้องใช้ร่วมกัน
เขาก้มลมดูเสื้อผ้าตัวเอง เสื้อเชิ้ตพับแขน กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ
ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
“ก็ธรรมดารึเปล่าวะ” เขาถาม
กานต์หัวเราะในลำคอ “หวีผม เสื้อเชิ้ตคอจีน รองเท้าไม่ขาด” นิ้วของเพื่อนค่อย ๆ ไล่ชี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าตามคำบรรยาย
“รองเท้ากูไม่ได้ขาดทุกคู่ไหมล่ะ” คู่ที่ขาดมันเป็นลูกรักหรอก เขาถึงยังใส่อยู่เรื่อย ๆ
“เหรอ กูเห็นมึงใส่แต่คู่เดิมจนคนทั้งบริษัทเขาจะลงขันซื้อให้มึงใหม่แล้วเนี่ย”
“ไอ้สัด ไม่ได้มีคู่เดียวโว้ย”
“แล้วสรุปยังไง ทำไมวันนี้ถึงได้หลุดคอนเซ็ปต์นักดนตรียาจก? มึงไปแอบนัดใครที่ไหนไว้ใช่ไหม?” กานต์เริ่มซัก ก่อนยื่นมือมาแย่งถุงหมูปิ้งร้อน ๆ ในมือของเขา
“ไอ้ตะกละ” เขาแขวะ
“กูรู้มึงซื้อมาเผื่อกู ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง”
เขาถอนหายใจเบา ๆ ถ้าไม่ตอบวันนี้คงไม่ได้เริ่มทำงานสินะ
“วันนี้วันเกิดม๊า ตอนเย็นกูต้องออกไปกินเข้ากับที่บ้าน”
ปากที่กำลังเคี้ยวหมูอยู่ตุ้ย ๆ หยุดเคี้ยวทันทีที่ได้ยินคำตอบของเขา ดวงตากลมโตเบิกกว้าง
“เฮ้ย วันเกิดม๊า? ทำไมไม่เห็นเตือนในเฟซบุ๊กเลยวะ กูจะได้เตรียมของฝากไปให้”
“...มึงไปเป็นเพื่อนกับแม่กูในเฟสตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?”
“ตั้งนานแล้ว ก่อนมึงอีกมั้ง มัวแต่ทำตัวติสเป็นมนุษย์ยุคหินไม่ยอมเปิดเฟส แล้วเป็นไง สุดท้ายก็แพ้กระแสสังคม ไอ้คนอุดมการณ์ไม่มั่นคง” กานต์บ่นเป็นชุดแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาไล่หาข้อความแจ้งเตือนในเฟสบุ๊ก “เนี่ยดูดิ ไม่เห็นมีบอกเลย”
“ม๊าอาจจะไม่ได้ใส่ไว้ก็ได้ แล้วมึงอ่ะ จะซื้อของให้แม่กูทำไม? จะมาแย่งแม่กูเหรอ? แค่นี้ก็แย่งกับไอ้เจจะตายอยู่แล้ว ไม่แบ่งนะโว้ย” เขากรอกตาพลางเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์
“ไม่ต้องแย่งม๊าก็จะรับกูเป็นลูกอยู่แล้ว มึงไม่ต้องห่วง” กานต์พูดอย่างหน้าตาเฉย
หน้าไม่อายจริง ๆ เพื่อนคนนี้
“พอ ทำงาน ๆ เย็นนี้กูรีบกลับ ต้องไปหาของขวัญให้ม้าด้วย ยังไงเพลงนี้ก็ต้องเสร็จก่อนกูกลับ” เขานั่งลงบนเก้าอี้ของเพื่อนสนิทที่โดนเจ้าของทอดทิ้ง มือข้างหนึ่งคว้าหูฟังประจำตัวมาครอบไว้ที่คอ
“โห่ ของขวัญแม่บังเกิดเกล้ายังไม่เตรียม มัวแต่ทำไรอยู่ครับ”
“ก็อยู่สตูกับมึงไงครับ” เขาแยกเขี้ยวใส่เจ้าเพื่อนตัวดี “จะทำไหมเพลงเนี่ย เมื่อวานโดนคุณเจ้านายเรียกไปแล้วยังไม่รีบอีก”
ตามตารางคร่าว ๆ ที่คุณเจ้านายบอกมาเมื่อต้นปี อัลบั้มควรจะเสร็จภายในเดือนหน้า
นี่ยังไม่ถึงครึ่ง
กานต์หัวเราะร่าแล้วค่อย ๆ เขยิบเก้าอี้เลื่อนมาใกล้เขาที่โต๊ะทำงาน โยนถุงหมูปิ้งไปยังถังขยะตรงมุมห้อง สีหน้าของเพื่อนสนิทยังคงไร้ความกังวลอย่างเช่นที่เป็นมาเสมอ กานต์เป็นคนอารมณ์เย็น เย็นจนบางครั้งเขาก็สงสัยว่ามันบ้าหรือเปล่า ทุกครั้งที่พวกเขาสองคนอยู่ในช่วงวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นตอนเลือกสายม.ปลาย ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนหางาน หรือตอนคิดเพลงไม่ออก มันก็ยังคงมีอารมณ์ขัน ทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผิดกับเขาที่มีความคาดหวังค้ำคอจนเครียด ไม่เป็นอันหลับนอน
“มา ๆ กูไม่กวนตีนมึงแล้ว” ชายหนุ่มเบียดตัวมาที่หน้าคอมพิวเตอร์ของเขาก่อนจะหยิบยูเอสบีไดรฟ์ของตัวเองมาเสียบ และเปิดไฟล์เสียงไฟล์หนึ่ง “นี่ เมื่อวานกลับบ้านแล้วนอนไม่หลับ เลยลองเอามาแก้เล่น ๆ ดู กูว่าได้อยู่ มึงลองเอาไปฟัง”
แต่นั่นแหละ
ต่อให้ใจเย็นหรือกวนตีนแค่ไหน ยังไงมันก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักครั้งเดียว
-
เขากับกานต์เจอกันครั้งแรกตอนป. 3
ครอบครัวของกานต์ย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังใหญ่ข้าง ๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่เอี่ยม เข้ามาได้หนึ่งวันคุณแม่ของกานต์ก็จูงมือลูกชายผิวคล้ำมากดกริ่งหน้าบ้านเขาพร้อมขนมปั้นสิบถุงใหญ่
“เจ้าตัวแสบนี่ชื่อกานต์ค่ะ อายุเท่าลูกคุณนุ้ยเลย อีกหน่อยคงได้เล่นด้วยกันตลอด”
หลังจากวันนั้น กานต์ก็กลายเป็นหนึ่งในคนที่เจอบ่อยที่สุดในชีวิต ที่บ้าน ที่โรงเรียน เจอกันทุกวันจนกลายเป็นหนึ่งในคนถาวรในชีวิตของเขา ไม่ต่างจากม๊า เฮีย เจ หรืออาอี๊อากู๋ในครอบครัว
ครั้งแรกที่เขาได้ฟังเสียงกีต้าร์ของบี. บี. คิง แล้วรู้สึกว่าการเล่นกีต้าร์มันโคตรเท่ห์ก็ไอ้กานต์นี่แหละเป็นคนเปิดให้ดูในยูทูป ช่วงที่ไล่ฟังเพลงเก่า ๆ ของเดอะอิมพอสซิเบิ้ลแล้วอยากได้แผ่นอัลบั้ม มันก็เป็นคนไปขอป้ามันที่เป็นแฟนเพลงมาให้ โปสเตอร์เดอะบีเทิลส์ที่ติดอยู่บนผนังห้องนอนที่คอนโดก็ของขวัญวันเกิดที่ได้มาจากมัน
โดยรวมแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีอิทธิพลในชีวิตเขาอยู่มากโข
-
ถ้าพูดกันตามจริง ช่วงเวลาที่งานเดือดแบบนี้ เขาไม่ควรจะมีเวลาโผล่หัวออกไปไหน ต้องใช้ชีวิตทั้งวันทั้งคืนอยู่ที่สตู กินนอนอยู่ที่นั่น
การมายืนเก้ ๆ กัง ๆ หน้าร้านเครื่องครัว ไม่กล้าเปิดประตูเข้าไปสักทีเพราะกลัวเด๋อด๋า แต่ก็อยากซื้อชุดกระทะใหม่ให้ม๊านี่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยสักนิด
เขาเป็นคนเกลียดสถานการณ์กระอักกระอ่วน โดยมากคนอาจมองว่าการหยิบจับซื้อของไม่น่าถูกจัดเป็นสถานการณ์กระอักกระอ่วนได้ ซึ่งเขาไม่เถียง หากสถานที่แห่งนี้เป็นร้านหนังสือ ร้านแผ่นเสียง เขาคงเดินดุ่ม ๆ เข้าไปโดยไม่สนใจอะไร และรู้สึกตื่นเต้นกับการได้มาสำรวจหาขุมทรัพย์ใหม่มาประดับคลังที่บ้านโดยไม่มีข้อกังขา
แต่นี่ไม่ใช่
สำหรับคนที่ลิ้นชักเครื่องครัวประกอบด้วยหม้อ กระทะ ตะหลิว พื้นฐานอย่างละหนึ่งชิ้น และทั้งหมดยังถูกขนมาให้โดยมารดาสุดที่รักของเขา พร้อมกับประโยคบ่นกลาย ๆ ว่า “บ้านที่ไม่มีเครื่องครัวมันน่าอดสูนะ เจ้าลูกคนนี้” นั้น การจะย่างกรายเข้าไปในร้านเครื่องครัว ไม่ต่างจากการไปเหยียบถิ่นแดนประหลาดเลยแม้แต่น้อย
นาฬิกาบนข้อมือบอกเขาว่าเขามีเวลาอีกไม่มาก ก่อนโทรศัพท์จะดังพร้อมเสียงบ่นจากเจ้าน้องสาวตัวแสบ ถ้าเขาไม่เข้าไปในร้านตอนนี้ เขาก็จะไม่มีของติดมือไปให้ม๊า
เขาสูดหายใจลึก ๆ เสียงหวานทรงพลังของฮิบาริ มิโซระเบา ๆ จากหูฟังเป็นกำลังใจ และผลักประตูเข้าไป
ภายในร้านบรรยากศอบอุ่น มีกลิ่นหอมที่เขาไม่ทราบชื่ออบอวนไปทั่ว ผนังทั้งสองฝั่งเรียงรายไปด้วยตู้โชว์ หม้อ กระทะ ตะหลิว ทัพพี สารพัดเครื่องครัวหลากหลายราคา กินพื้นที่เกือบแทบจะทั้งร้าน เหลือเพียงเคาน์เตอร์คิดเงิน กับพนักงานสาวใหญ่ที่ตอนนี้กำลังพุ่งความสนใจมาที่เขานั่นแหละ ที่ดูจะแตกต่างออกไป
อา สายตาที่โดนจ้อง พร้อมเจตนาเข้ามาทักถามไถ่ความต้องการนี่ กี่ครั้งก็ไม่ชินสักทีสินะ
“ยินดีต้อนรับค่ะ กำลังหาอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?” คุณน้าพนักงานถามเขาพร้อมเดินเข้ามาใกล้
แต่ไหน ๆ เป็นจุดสนใจแล้ว ถามเขาไปเลย จะได้เป็นเสร็จเร็ว ๆ
“ครับ ผมกำลังหากระทะหิน กับดัชท์โอเว่น เป็นของขวัญให้แม่ครับ รบกวนแนะนำหน่อยได้ไหมครับ” เขาตอบพร้อมพยายามปั้นหน้ายิ้ม
“โถ่ น่ารักจริง ทางนี้เลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันแนะนำให้”
หลังจากนั้นเขาก็ถูกพาไปเลือกกระทะอยู่ราวครึ่งชั่วโมง สาบานเถอะ ชีวิตเขาเกิดมา เขา 1. ไม่เคยหยิบจับเครื่องครัวมากมายขนาดนี้มาก่อน 2. ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไอ้ที่ม๊าพูดว่าอยากได้ดัชท์โอเว่น มันไม่ใช่เตาอบเป็นตู้ ๆ อย่างที่คุ้นตา 3. ไม่เคยคิดเลยว่าราคาเครื่องครัวคุณภาพดีมันจะสูงขนาดนี้
การเดินเข้าแดนต่างถิ่นนี่เปิดโลกได้น่ากลัวจริง ๆ
หยิบจับ (แม้จะไม่ทราบถึงความต่างนัก) อยู่สักพัก เขาก็ตกลงปลงใจเลือกกระทะหินทรงหลุมที่ดูแล้วมั่นคงที่สุด กับดัชท์โอเว่นสีแดงวับ จ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต และรอคุณน้า ที่เขาเพิ่งทราบระหว่างพูดคุยว่าเป็นเจ้าของร้านเครื่องครัวแห่งนี้ ห่อของขวัญอยู่หน้าเคาน์เตอร์ หยิบหูฟังขึ้นมาฟังเพลงต่อ
เสียงเพลงในหูถูกขัดจังหวะด้วยเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า เขาหยิบมือถือขึ้นมาดู
ตอนนี้น่าจะได้เวลาแล้วล่ะมั้ง
‘เฮีย อยู่ไหนแล้ว’
‘บอกเจที่ว่าออกจากสตูแล้ว’
‘ตอบน้องนะ’
นั่นไงล่ะ คิดไว้ไม่ผิด
‘ออกแล้ว’
‘บอกแล้วไงว่าไม่สายหรอกน่า’
‘ไม่ได้เพิ่งออกใช่ไหม’
‘รอเขาห่อของขวัญอยู่ ไม่เกินครึ่งชมถึงบ้าน’
‘เค’
‘เจอที่บ้านนะ’
‘เจอบ้านๆ’
เขาเงยหน้าขึ้นมาจากจอโทรศัพท์พร้อมกับเสียงของคุณน้าเจ้าของร้านที่หอบถุงใบใหญ่บรรจุกล่องของขวัญสีเหลืองอ่อน
“ของได้แล้วค่ะ” คุณน้ายิ้ม
“ครับ ขอบคุณนะครับ”
และถุงของขวัญใบใหญ่ก็ถูกโอนถ่ายมาสู่มือของเขา ถือว่าการทำภารกิจต่างแดนเพื่อมารดาเป็นอันสำเร็จ
เขาเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าเดินไปรถไฟฟ้า พร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ ใจแอบยินดีกับตัวเองเล็กน้อย เพราะแม้ตัวเลขในบัญชีจะหดลงอย่างน่าใจหาย แต่ชีวิตนี้ สำหรับเขาแล้ว การได้ซื้อของให้ม๊า จะเรียกว่าเป็นหนึ่งในความสุขอิ่มใจที่สุดก็คงจะไม่ผิด
วันนี้เป็นวันที่ดีจริง ๆ
และขาของเขาก็ชะงัก เมื่อรู้สึกถึงแรงกระตุกที่มือซ้าย
วันครบรอบวันเกิดม๊าวัย 55 ปี พร้อมถุงของขวัญใบโตเทอะทะ เสียงแหบของ Neil Young หลังการผจญภัยต่างถิ่น
นิ้วก้อยปรากฏเชือกแดงโปร่งแสง
เขาพบคู่ของเขาเป็นครั้งแรก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in