ยายของผมเป็นนักเล่าเรื่อง
ไม่ได้หมายถึงแกหาเลี้ยงชีพจากการเล่านิทานให้ใครฟังหรอกครับ แต่หมายความว่าตลอดชีวิตของแก แกมักจะหยิบเรื่องราวจากสารพัดสารพันแหล่ง -ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแกเอง หรือเรื่องอื่นๆ ที่แกไปได้ยินมา- เอามาเล่าให้คนรอบตัวแกฟังเสมอ ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้ฟังเรื่องเล่าของยายมานับครั้งไม่ถ้วน จนกลายเป็นว่าหลากหลายเรื่องเล่าของยายเริ่มปะติดปะต่อกลายเป็นเรื่องเล่าอันยาวเหยียดเรื่องเดียวกัน ที่บางช่วงบางตอนก็แปลกประหลาดพิสดารไปจากทั้งเรื่อง หรือหลุดโลกราวกับไม่เคยเกิดขึ้นจริงแต่ก็ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะมันได้ถูกเล่าออกมาเป็นเรื่องราวแล้ว
เรื่องที่ยายเล่าให้ผมฟังบ่อยครั้งที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นเหตุการณ์ประหลาดที่บ้านเก่าในจังหวัดเพชรบุรีตอนแกยังเป็นสาว วันนั้นตาเพิ่งกลับมาอยู่บ้านหลังจากไปอยู่จัดการธุระในกรุงเทพถึง 3 เดือน ในบ้านตอนนั้นก็มีแค่ยาย ตา ยายทวด พี่ชายของยาย และคุณลุงลูกชายคนโตของยายที่ยังแบเบาะอยู่ตอนนั้น หลังจากกินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนก็นั่งคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบและนินทาชาวบ้านชาวช่องกันตามประสาอยู่ตรงเก้าอี้ยาวที่ลานหน้าบ้าน พอสามทุ่ม ยายก็เสร็จสิ้นภารกิจนินทาเรื่องของอีเจ๊ร้านทองที่ถูกผัวทิ้งไปอยู่กรุงเทพ แล้วแกก็พาลูกชายตัวน้อยไปเข้านอนปล่อยให้ผัวกับแม่และพี่ชายของแกนั่งคุยกันต่อไป กว่าจะกล่อมให้คุณลุงหลับได้ก็เกือบสี่ทุ่มนั่นแหละครับ
ยายออกมาจากห้องกะว่าจะมานั่งคุยกับสามีต่อให้หายคิดถึง แต่พอเดินกลับมาที่ลานก็ไม่พบใครอยู่ตรงนั้นแล้ว แกเลยคิดเองเออเองว่าแม่ของแกคงเข้านอนไปแล้ว และพี่กับผัวคงพากันออกไปซื้อเหล้าในเมือง สรุปในใจตัวเองได้ดังนั้น แกจึงเข้ามานั่งพิงเสารออยู่ใต้ถุนบ้านก่อน ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
ไฟในบ้านดับไปแล้วทุกดวงเมื่อยายสะดุ้งตื่นขึ้นมา แกจึงแอบเคืองผัวแกเล็กๆ ที่กลับมาปิดไฟปิดบ้านเสียเรียบร้อยแต่ดันลืมปลุกเมียขึ้นบ้าน ยายลุกขึ้นยืนเตรียมจะขึ้นบันไดเข้าบ้านไปนอนก่ายผัวให้สมใจอยาก แต่สายตาซุกซนของแกดันเหลือบมองออกไปนอกบ้านเสียได้ ท่ามกลางความมืดมิดของทุ่งนายามค่ำคืนนั่นเอง แกดันเห็นเงาตะคุ่มของร่างๆ หนึ่งกำลังตรงมายังตัวบ้านอย่างเชื่องช้า ความที่เป็นคนไม่กลัวผีมาแต่ไหนแต่ไร แกจึงพยายามมองให้ออกว่านั่นเป็นร่างใครกันแน่ ความคิดแรกของแกคือนั่นอาจจะเป็นผัวแกนั่นแหละ แกเลยเดินออกจากบ้านตรงไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินไกลออกไปเท่าไหร่ แกกลับไม่ได้เข้าใกล้ร่างนั้นเลยสักนิด ยิ่งเดินก็ยิ่งลึกเข้าไปในความมืดมิดของทุ่งนา และร่างดำมืดที่มุ่งตรงมาทางเธอนั้นก็ดูอยู่ไกลออกไปอย่างประหลาด
สักพักยายก็ได้ยินเสียงตาเรียกชื่อดังกังวานมาจากตัวบ้าน พอหันหลังมองกลับไปก็เห็นแสงไฟสว่างไสวจากตัวบ้านที่อยู่ไกลลิบ ยังไม่ทันที่แกจะได้รวบรวมสติหรือคิดสงสัยว่าเงาตะคุ่มตรงหน้าเป็นร่างใครถ้าไม่ใช่ผัวแก แกก็หันกลับมาเห็นพอดีเป็นผู้ชายผิวขาวร่างสมส่วนคนหนึ่งที่เปลือยล้อนจ้อนยืนอยู่ตรงหน้าแก แกมองหน้าของเขาไม่เห็นเพราะถูกความมืดบดบังแต่ที่ชัดเจนคือสร้อยที่ห้อยอยู่รอบลำคอของเขาที่คุ้นตาแกอย่างประหลาด... มันคือสร้อยพระที่ผัวของแกใส่เป็นประจำนั่นเอง!
พลันแกก็หันหลังวิ่งตรงกลับไปที่ตัวบ้าน ปากก็พร่ำร้องไม่เป็นภาษา ใจก็กลัวว่าสมองจะสร้างภาพหลอนให้แกวิ่งยังไงก็ไปไม่ถึงตัวบ้านหรือเปล่า แต่โชคดีที่มันไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อพุ่งกลับเข้ามาในบ้าน แกก็พบว่าทุกคน (ยกเว้นลูกชาย) ยังนั่งอยู่กันพร้อมหน้าตรงเก้าอี้ยาวที่ลานหน้าบ้าน แกนั่งลงข้างผัวแก หอบแห่ก หัวใจเต้นรัว ในหัวก็สับสนอลหม่านไปด้วยคำถามประดังประเด -- ชายคนนั้นคือใคร? ทำไมเขามีสร้อยของคุณตา? ถ้าเป็นผีทำไมถึงสวมสร้อยพระได้? และทำไมทุกคนยังนั่งอยู่ตรงที่ลานหน้าบ้านเหมือนเดิม? แกละล่ำละลักเล่าความเป็นมาเป็นไป มือก็แหวกคอเสื้อผัวตัวเองดูแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าสร้อยพระหาได้ห้อยอยู่ตรงนั้นแล้วจริงๆ
นี่น่าจะเป็นเรื่องเดียวในหลายๆ เรื่องเล่าของยายที่เข้าไปสังกัดอยู่ในหมวดหมู่เรื่องผี ยายไม่เคยพบเจอกับเหตุการณ์พิสดารเหนือธรรมชาติทำนองนี้อีกตลอดชีวิตอันยาวนานของแก มันเป็นเหตุการณ์ที่ตราตรึงในความทรงจำแม้คนที่อยู่ในเหตุการณ์จะบอกว่าแกแค่ละเมอเดินออกมาจากห้องนอนแล้วตรงไปในทุ่งนาอันมืดมิดก็เท่านั้น ไม่ได้มีผีเผออะไรทั้งสิ้น แต่สร้อยของตาเส้นนั้นก็หายสาบสูญไปตลอดกาลจริงๆ เมื่อถามตาก็ตอบเพียงว่าคงทำหล่นหายไว้ในห้องพักที่กรุงเทพ หลังจากนั้นมายายก็หวาดระแวงทุกครั้งที่ตาออกจากบ้านไปไหน ด้วยกลัวว่าจะไปทำอะไรให้มีผีตามกลับมาที่บ้านอีกรึเปล่า จริงอยู่ว่าผีผู้ชายเปลือยร่างตนนั้นไม่ได้ตามทำร้ายยายเหมือนในเรื่องเล่าผีสางต่างๆ นานาที่คนอื่นเค้าเล่ากัน แต่ใบหน้าในความมืดของมันที่จ้องตรงมายังยายกลับหลอกหลอนแกไปจนวันสุดท้ายที่หายใจ แกเคยบอกกับผมว่าที่ผีไม่อยู่ส่วนผีก็เพราะมันยังไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะมันยังโหยหาบางสิ่งบางอย่างจากคนเป็น ในเมื่อแกจนปัญญาจะหาคำตอบว่าสร้อยเส้นนั้นหายไปไหน และผัวแกไปทำอะไรให้ผีตนนั้นต้องตามกลับมาถึงบ้าน ความยุติธรรมที่แกพอจะมอบให้ผีได้บ้างก็คือเล่าเรื่องของมัน แม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กน้อยจากมุมมองของแกอันคับแคบและไร้ข้อมูลครบถ้วนก็ตาม แต่อย่างน้อยในเรื่องเล่าของแก ผีตนนั้นก็มีที่ให้สิงสถิตย์ ที่ให้ทวงถามความเป็นธรรม ความเป็นธรรมที่แกเชื่อเหลือเกินว่าผัวของแกต้องเข้าไปมีส่วน แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จากหนึ่งคืนใน 92 ปีของชีวิตแก แต่มันกลับบาดร้าวลงตรงกลางความสัมพันธ์ของยายกับตาอย่างไม่อาจสมานติด ความรักที่เคยชื่นหวานตามประสาคนหนุ่มสาวของทั้งสองกลับจบลงที่ความเฉยชา ด้วยยายไม่อาจทำใจยอมรับความผิดบาปที่ตาไปทำไว้ได้ แม้แกจะไม่รู้เลยว่าความผิดบาปที่ว่านั้นคืออะไร แกได้ปล่อยให้ผีตนนั้นเข้ามารังควานและสร้างความร้าวฉานในครอบครัวโดยที่มันไม่ต้องทำอะไรเลย ส่วนตาของผมก็ไม่เคยสวมใส่สร้อยใดอีกเลยหลังจากนั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in