เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นิทานก่อนนอนOrraphansilp
หน่อไม้ในป่ายักษ์
  •             กาลครั้งหนึ่ง... แม่ของฉันไม่มีนิทานเล่าให้ฟัง ทั้งที่นิทานกับเด็กวัยอนุบาลเป็นของคู่กัน แต่แม่ก็ไม่เคยมีนิทานเรื่องใดเล่าให้ฉันฟังเลย แม้จะรบเร้าเอาเท่าใด ๆ แม่ก็มักจะบอกปัดว่า ‘ไม่มีเวลา’ ‘ไปเล่นตรงโน้น’ ‘คนกำลังเฮ็ดเวียก’ ทำให้ฉันต้องเดินคอตกออกมาและไปหาเล่นเฮือนน้อยคนเดียวใต้ถุนบ้าน

                ฉันไม่มีความฝัน... อาจเป็นเพราะฉันไม่เคยฟังนิทานกระมัง ฉันจึงไม่คิดฝันอยากเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายและไม่เคยรู้ว่าโลกในนิทานเป็นอย่างไร แม่มดมีจริงหรือไม่ หมาป่าน่ากลัวเพียงใด คุณครูที่โรงเรียนก็ไม่เคยเล่านิทานให้ฟัง นอกจากสอนท่อง ก ข ค และบวกเลขจากนิ้วมือนิ้วเท้าแล้ว คุณครูก็ไม่เคยสอนอะไรอีกเลย

                 ฉันไม่มีความคิด... แม่กับพ่อและคนรอบข้างมักบอกอย่างนี้เสมอ ฉันเรียนหนังสือไม่เก่ง และออกจะขลาดเขลา ไม่กล้าแสดงออก เด็กวัยเดียวกัน ว่ายน้ำเป็น ขับมอเตอร์ไซค์ได้ ยิงนกตกปลาเก่ง จับกบจับเขียดเป็นสิบตัวในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ฉันทำไม่ได้สักอย่าง แค่ออกไปหาหน่อไม้กับแม่ฉันยังกลัวเลย

                 แต่แม่ก็ไม่สนใจ ยังคงลากตัวฉันออกไปหาหน่อไม้ด้วยทุกวัน บางทีก็ไปแหย่ไข่มดแดง ขุดปู ทลายกองขี้ควายกองใหญ่เพื่อจะหาแมงกุดจี่สักตัว ซึ่งฉันไม่ชอบเอาซะเลย ฉันชอบที่จะวิ่งเล่นคนเดียวใต้ถุนบ้าน ก่อกองทรายและปั้นไข่ดินมากกว่า
     
                วันนี้แม่ปลุกฉันแต่เช้ามืด กลิ่นควันไฟลอยคละคลุ้งผสมกับกลิ่นดินชื้นหมาด ๆ เพราะฝนตกปรอย ๆ ตลอดคืน หลังจากล้างหน้าและไปวัดกับแม่เสร็จแม่ก็ยื่นเสียมอันหนาหนักกับตะกร้าใบเก่าให้ฉันทันที

                “ ไปหาหน่อไม้กัน ” แม่พูดก่อนเดินไปหยิบหมวกมาใส่
                “ บ่ไปได้บ่ ” ฉันแย้งเบา ๆ “ ข้อยย่าน ”
               “ ย่านหยัง ”
               “ ย่านหนามตำตีน ” ฉันเสตอบอีกอย่างหนึ่ง แต่ความจริงแล้ว ฉันกลัวผีต่างหาก
              “ ใส่เกิบแล้วมันบ่ตำดอก ที่บ่อยากไป ย่านผีแม่นบ่ ” แม่อ่านความคิดฉันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง    เสมอ “ ผีบ่มีจริงดอก แต่ความจนมันมีจริง บ่ไปหาหน่อไม้สิเอาหยังกิน สิเอาเงินไสใช้ ”
             แม่ดุนหลังฉันให้เดินนำหน้า “ ไป ๆ กลับมาเดี๋ยวสิเล่านิทานให้ฟัง ”
             แม่จะเล่านิทาน ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม?

             ++++++++++++++++++++++++++++++

              แม่พาฉันเดินไปตามทางลูกรัง ลัดเลาะคันนา เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนฉันงงไปหมด ในที่สุดก็ถึงที่หมาย ข้างหน้าฉันเป็นป่าขนาดย่อม (แต่ฉันว่ามันเป็นป่าขนาดยักษ์และน่ากลัวยิ่งนักในความรู้สึก) ที่คนในหมู่บ้านใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมายมหาศาล นอกจากเป็นแหล่งอาหารแล้วยังเป็นแหล่งขับถ่ายชั้นดีอีกด้วย ต้นไม้ในป่านี่ก็แปลกชอบกินอาหารที่มีกลิ่นเหม็น

              แม่หยุดอยู่ที่กอไผ่กอแรก ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนเดินต่อไปยังกอที่สอง คราวนี้แม่มุดเข้าไปในกอไผ่และหายไปนานจนฉันเริ่มกลัว เหงื่อซึมออกมือข้างที่จับเสียมจนเปียก ฉันวางตะกร้า นึกในใจ จะเข้าไปตามแม่ดีไหมหนอ ในนั้นจะมีสัตว์ประหลาดหรือเจ้าแม่ไผ่นี (คล้าย ๆ เจ้าแม่ตานี) ไหมนะ ถ้ามีจริง ๆ จะทำอย่างไร ฉันมองเสียมในมือ เสียมนี้คงใช้ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายได้ ฉันกำด้ามเสียมแน่นขึ้นก่อนสูดลมหายใจลึก ๆ และเข้าไปตามแม่...

             เสียงสวบสาบดังทุกครั้งที่ฉันเหยียบย่างลงไป กอไผ่มืดกว่าที่คิด ลำไผ่แต่ละต้นใหญ่กว่าตัวของฉันอีก มันสูงเสียจนมองไม่เห็นยอด แม่อยู่ไหน ฉันสอดส่ายสายตาแต่ก็ไม่เห็นแม้เงา อยากจะส่งเสียงเรียกแต่ก็กลัวผีไผ่นีจะได้ยินแล้วมาลากเอาตัวไป ฉันกลัวมากขึ้น ๆ เกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว แต่พลันหางตาเหลือบไปเห็นอะไรแวบ ๆ รูปร่างสามเหลี่ยม ไม่เล็กไม่ใหญ่ แทงขึ้นมาจากดินสูงประมาณหนึ่งศอกของฉัน หน่อไม้นี่นา ฉันร้อง (ในใจ) อย่างลิงโลด ก่อนเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ หน่อไม้อ่อนกำลังแกงแซ่บ ฉันเผลอกลืนน้ำลาย ด้วยว่าแกงหน่อไม้ไม่ได้มีให้กินบ่อย ๆ หน่อไม้จะเกิดเฉพาะตอนหน้าฝนเท่านั้น ฉันรีบใช้เสียมสับโคนหน่อไม้ทันที นั่น! ลึกเข้าไปในกอ มีหน่อไม้อวบใหญ่กว่าหน่อแรกอีก ฉันมุดเข้าไปโดยไม่สนหนามไผ่ที่ขูดแขนจนเลือดซิบ พอได้หน่อที่สอง หน่อที่สาม สี่ ห้า ก็ตามมา ฉันสับ ๆ ๆ ๆ จนกระทั่ง...

            มีมือหนาหนักจับไหล่ของฉัน ฉันสะดุ้งวาบไปทั้งตัว แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ลอยมากระทบหูฉัน “ หลบมาขุดหน่อไม้อยู่นี่เอง มิน่า แม่ออกไปข้างนอกแล้วไม่เห็น มีแต่ตะกร้าวางไว้ นึกว่าไปไหน ”
           ฉันยิ้มน้อย ๆ ก่อนเบี่ยงตัวให้แม่เห็นผลงานของฉัน
          “ ป๊าดดด ขุดเก่งแถะ แม่ขุดได้สามหน่อเอง ” แม่พูดพร้อมกับเดินเข้ามาหอบหน่อไม้ใส่ตะกร้า ฉันจึงเข้าไปช่วย “ ดีแล้ว ๆ ได้หน่อไม้หลายจั่งซี่ สิได้แกงให้กินแซ่บ ๆ แกงแล้วเอาไปปันพี่น้อง เหลือค่อยตักใส่ถุงเอาไปขายที่ตลาด ดีบ่ ” ตอนท้ายแม่หันมาถามความเห็นฉัน ฉันพยักหน้าอือออไปตามเรื่อง ก่อนจะรวบรวมความกล้าถามทวงสิ่งสำคัญกับแม่
          “ ไสว่าสิเล่านิทาน ”
          แม่หันมามองหน้าฉันเต็มตาก่อนลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือฉันเดินออกจากป่าไผ่ยักษ์ด้วยกัน แดดสายยังไม่ร้อนมากนัก แม่จึงเดินเอื่อย ๆ พร้อมกับเริ่มต้นเล่านิทานให้ฟัง

           “...เรื่องกะมีอยู่ว่า มีเจ้าหญิงกับทหารของนางออกไปเดินเล่นเก็บหน่อไม้ในป่าไผ่ยักษ์ แต่บังเอิญว่าเจ้าหญิงหายตัวไป ทหารจึงออกตามหาโดยมีอาวุธคู่กายคือเสียม ทหารคนนี้แม้จะตัวเล็กแต่ใจเด็ดนัก ” แม่ลูบแขนฉันเบา ๆ ตรงที่มีแผลหนามไผ่บาด “ ถูกหนามไผ่บาดเป็นทางยาวแต่ก็ไม่ย่อท้อ ตามหาเจ้าหญิงจนเจอ ผลจากความจงรักภักดีและความกล้าหาญ ป่าไผ่ยักษ์จึงตอบแทนทหารด้วยการให้หน่อไม้กินฟรีหนึ่งหม้อเต็ม ๆ ” แม่หยุดนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ “ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ขอแค่มีความกล้าหาญกะสิได้หน่อไม้แกงกินแซ่บ ๆ ”
           “ บ่เห็นสิสนุกเลย ” ฉันตัดพ้อ เพราะนิทานของแม่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อนาทีที่แล้วนี้เอง
           “ นิทานของแม่มันกะคือชีวิตจริงนั่นแหละ ถึงบ่มีเวทมนตร์คาถา แต่กะมีสองมือสองเท้าไว้คอยดิ้นรน บ่มีแม่มดหมาป่า แต่กะมีพายุมีหน้าแล้งที่โหดร้ายคือ ๆ กัน บ่มีบักแอ๊ปเปิลน้ำผึ้ง มีแต่หน่อไม้ในป่า แต่เฮาก็มีความสุขได้ หรือบ่แม่น? ”
           “ แม่น ” ฉันตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉีกกว้างกว่าเดิม “ ถึงโลกนี้บ่มีนิทาน ข้อยกะอยู่ได้ เพราะข้อยมีหน่อไม้ในป่ายักษ์”

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in