เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แค่อยากจะเขียนเอาไว้เป็นความทรงจำ #EverlastingKizunaayamemay
[Recap] Digimon Adventure: Last Evolution Kizuna จากมุมมองและความรู้สึก
  • คำเตือน : มีสปอย ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นของเรานะคะ สามารถแลกเปลี่ยนความเห็นได้ค่ะ


                เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า 'เราเติบโตมากับดิจิมอน' เราคือเด็กที่แย่งรีโมตกับน้องเพื่อดูการ์ตูนช่อง 9 เราคือเด็กที่มีเทปเพลงดิจิมอน เป็นเด็กที่มีดิจิไวซ์ ถึงแม้จะเป็น D-3 และดิจิมอนก็เป็นการ์ตูนในดวงใจตลอดกาลเรื่องนึงของเรา ดังนั้น ดิจิมอนสำหรับเรานั้นเต็มไปด้วยความทรงจำ
                และแน่นอน เราไม่พลาดที่จะเฝ้ารอและต้องดู Digimon Adventure: Last Evolution Kizuna ให้ได้ (จริงๆ แล้วมีส่วนที่เสียดายอยู่ ถ้าไม่ติดโควิด เราคงได้ไปคาเฟ่ดิจิมอนที่ญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว)

    Digimon Adventure: Last Evolution Kizuna 
               ในส่วนของเรื่องย่อ เราไม่เล่าก็แล้วกัน น่าจะหาได้ตามเว็บอื่นๆ ทั่วๆไป แต่ถ้าถามว่า ควรรู้จักดิจิมอนไปก่อนไหม หรือควรดูอะไรไปก่อน สำหรับเราจะดูหรือไม่ดูก็ได้ แต่ถ้าอยากดูก็คงต้องดู ภาค 1, 02, Tri, แล้วก็มูฟวี่ของภาค1-2 
               แต่จริงๆ แล้วดิจิมอนเล่นกับความรู้สึกของคนที่เติบโตมาด้วยกัน ซึ่งคำว่าเติบโตของเรานั้น หมายถึงเรื่องราวในการเฝ้ารอวันเสาร์อาทิตย์ วันเวลาที่ได้คุยเรื่องดิจิมอนกับเพื่อน ไปซื้อเทปมาฟัง บลาๆ ซึ่งมันคือความทรงจำตลอดการเดินทางมาตลอด 20 ปี

    ทำไมบางคนถึงให้คะแนนต่ำสุด ไม่ก็สูงสุด? ทำไมบางคนถึงไม่ชอบไปจนถึงขนาดชอบมาก?
              คิดว่าคนอ่านรีวิวก็คงงง ว่ามันคือให้คะแนนเท่าไรกันแน่ 55555 สรุปควรดูหรือไม่ควรดู สรุปว่าดีหรือไม่ดี สำหรับเราแล้วมันคือสิ่งที่คุณควรเข้าไปดูและตัดสินเอาเอง 
              แล้วถ้าถามว่า เราให้คะแนนกับเรื่องนี้เท่าไร 
              เราคงตอบว่า 8 คะแนน มันยังมีข้อบกพร่องอยู่ในเรื่องของการเกลี่ยบท และเราคิดว่ามันมีอีกหลายอย่างที่ขยี้เพิ่มไปอีก แต่สิ่งที่ดีมาก คือ เส้นเรื่องและนัยยะของเรื่องที่ต้องการสื่อสารออกมา
              สำหรับเราดิจิมอนมูฟวี่ในภาคนี้ การตีความขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนที่ผ่านมา มันสามารถตีความได้หลากหลายมาก ได้หลายมุมมองมากเช่นกัน ก็ไม่แปลกที่มีการถกเถียงกัน สำหรับการที่หนังตีความได้มากมายขนาดนี้เป็นข้อดีมากๆ และเป็นสิ่งที่เราชอบมากเช่นกัน

    โซระ : To Sora

            (ควรดู To Sora ก่อนที่จะไปดูมูฟวี่เรื่องนี้ แล้วจะเข้าใจอะไรมากขึ้น)
            เราบอกไว้ก่อนเลยว่า เราไบแอสโซระ โซระเป็นตัวละครที่เราชอบมาแต่ไหนแต่ไร และโซระก็เป็นคนที่มีเหตุผลมากคนหนึ่ง ตอนดูก็เลยสงสัยว่าทำไมถึงไม่ออกไป ในเรื่องปิโยมอนถามกับโซระว่า 'ไม่ไปเจอทุกคนหรอ' ฉากนั้นคงเป็นฉากที่นาฬิกาได้นับถอยหลังแล้ว โซระจึงตอบว่าไม่ นิสัยของโซระคือไม่ต้องการให้คนอื่นเป็นห่วง และโซระยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 
            ครั้งแรกที่เข้าไปดูก่อนที่ดู to sora รู้แค่มีอะไรสักอย่าง และก็สงสัยดิิจิไวซ์ที่เป็นหินนั่นแหละ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ พอไปดูอีกรอบเป็นฉากที่เราร้องไห้เพิ่มจากครั้งแรก ถึงแม้ปิโยมอนจะหายไปแล้ว แต่โซระก็ยังบอกว่า "เชื่อในตัวทุกคน" โซระก็ยังเป็นโซระที่มักคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง

    โชคชะตา vs ชะตากรรม
           หลังจากรอบ 3 ก็จำประโยคในเรื่องได้ ในเรื่องพูดเรื่องโชคชะตาและชะตากรรมเยอะมาก จริงๆในเรื่องมีประโยคหลายประโยค ที่ตั้งคำถาม และให้คำตอบที่ตอบโต้กันไปในตัว
           "นี่คือโชคชะตาของเราหรอ" ยามาโตะตอนรู้ว่าต้องสู้
           "นี่คือชะตากรรมที่เปลี่ยนไม่ได้" เมโนอาพูด
           จนถึงประโยคในฉากสู้ครั้งสุดท้าย "ถึงเราจะเปลี่ยนโชคชะตาไม่ได้ แต่เปลี่ยนชะตากรรมได้"

    War Game
            ฉากที่สู้กับอีออสมอนครั้งแรก คือมาจาก war game เลย แค่เน็ตเวิร์ครอบนี้เป็นสีดำไม่ใช่สีขาว แต่เป็นฉากนึงที่เราขนลุก เพราะมันเป็นภาพซ้อนทับที่ชัดเจนว่าเด็กที่ถูกเลือกในวันนั้นกับในตอนนี้ พวกเขาโตขึ้นแล้วจริงๆ

    Easter egg
             เป็นหนังที่เล่นกับความทรงจำของคน เราจะเห็นตัวละครเด็กที่ถูกเลือกทั่วโลกอยู่ในเนเวอร์แลนด์ เห็นดิจิมอนที่เราคิดถึง เห็นสถานที่แห่งความทรงจำ แต่ easter egg ที่เป็นอาวุธเด็ดของเรื่องคงหนีไม่พ้น นกหวีด กับ ฮาโมนิก้า (เหลือแค่หมวกมีมี่แล้วค่า มีหมวกมีมี่คือตายกว่าเดิม)
             แต่ยังไม่พูดถึง ขอพูดถึงยิบย่อยในเรื่องสักนิดที่อยากพูดก่อน
             - ออโรร่า จริงๆ ดิจิมอนชอบเล่นกับออโรร่า เวลามีเหตุการณ์ประหลาดอะไรที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ก็จะเล่นกับสิ่งนี้ตลอด
             - ผีเสื้อ ผีเสื้อคือการเติบโต ผีเสื้อคือจิตวิญญาณ แล้วก็คงเป็นตัวแทนของเพลงbutterflyอีกด้วย ผีเสื้อที่เห็นชัดเลยคือ ผีเสื้อในภาค02 ตอนที่ตัวร้ายที่เป็นเพื่อนพ่ออิโอริตาย เขาได้กลายเป็นผีเสื้อเพื่อปกป้องโลกดิจิตอล แต่ในหนัง คงแทนตัวของอากุมอนกับกาบูมอนที่โบยบินไป
            - ซากุระ แน่นอนว่ามันหมายถึงฤดูใบไม้ผลิ บอกถึงการเริ่มต้น
            - แสง จริงๆ เราชอบการเล่นแสงในเรื่องนะ ที่มันไล่จากความสว่างจนท้ายเรื่องมันมืดเรื่อยๆ
            - ฝน ถ้าสังเกตดีๆ เวลาเมโนอาอยู่กับฝน เงาฝนที่สะท้อนบนใบหน้า คือไล่เป็นน้ำตาตลอดเลยนะ
            - ฮาโมนิก้า อันนี้ไม่ขอพูดเยอะเพราะเป็นภาพจำ
            - ดิจิไวซ์ จริงๆฉากที่ยามาโตะกับไทจิที่เอาดิจิไวซ์ทาบบนคริสตัลเพื่อช่วยเมโนอา ทำให้นึกถึงแสงศักดิ์สิทธิ์ของดิจิไวซ์ ตอนที่เอาฟั่นเฟืองสีดำออกจากเลโอมอน ตอนที่ดิจิไวซ์ฮิคาริลดลงมาตอนเจอแอนโดรมอนในภาค02

    นกหวีด 
               ตอนเป่านกหวีด คือฆ่ากันเลย เอามีดมาแทงเลย จริงๆๆแล้วตอนนั้นเราไม่มีความหวังอะไรเลย เหมือนไม่รู้จะสู้อะไรได้ การเป่านกหวีดของไทจิเหมือนเป็นเสียงเรียก การเตือนสติให้กลับมา ทั้งตัวละครในเรื่อง ทั้งโซระที่อยู่กับความเศร้า รวมถึงการปลุกตัวเรา ตื่นได้แล้วนะ เติบโตได้แล้วนะ กลับมาสู่ความเป็นจริงแล้ว
               ถ้าสังเกตดีๆ การเป่านกหวีดของเรื่องดิจิมอน คือการเริ่มต้นหรือไม่ก็เป็นการจบของอะไรสักอย่างนึงเสมอ

    การเติบโต
              นี่คือเส้นเรื่องหลักของเรื่อง ในเรื่องนี้มันมีข้อความที่ตัวละครพูดกับคนดูเยอะมาก และข้อความเหล่านั้นคือสิ่งที่ปลอบประโลมเราในวัยนี้
               ทุกครั้งที่ดิจิมอนพัฒนาสะท้อนถึงการเติบโตของคู่หู และเมื่อเราโตขึ้น เราเรียนรู้อะไรมากขึ้น สิ่งแวดล้อม สังคมทำให้เราแบกรับอะไรหลายอย่าง เหตุผลต่างๆเข้ามา ทำให้เรามีข้อจำกัดจนจินตนาการของเราไม่ได้ก้าวไกล หรือคิดถึงแต่ความเป็นไปได้มากกว่ากล้าที่จะลองทำดู 
               จริงๆ เวลาคนบอกว่าเส้นเรื่องมันง่ายเกินไป มันไม่ซับซ้อน หรือควรเพิ่มตรงนั้นอีก เพิ่มตรงนี้อีก เรามองในแว่นของการเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือเปล่า? มองในสถานะคนที่ดูหนังมามากแล้วหรือเปล่า? ถ้าเราทิ้งกรอบอะไรก็ตาม แล้วปล่อยจิตใจของเราให้สนุกไปตามเรื่องราวที่นำเสนอ เหมือนตัวเราที่ดูดิจิมอนตอนเด็กอย่างไม่คาดหวังอะไรล่ะ จะเป็นไง? 
               เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรื่อง เป็นเรื่องที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจได้ เพราะมันคือความสับสนจากเด็กที่ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ที่เราไม่มั่นใจเลยว่าเราพร้อมไหมที่เราจะต้องเติบโต เรารู้แค่ว่าเราต้องโต เราอายุเท่านี้ เราต้องดูแลตัวเองได้แล้วนะ บางครั้งเราก็ตั้งคำถามว่า สิ่งที่เราเลือกมันถูกต้องไหมนะ มันผิดไหมนะ
                หนังเรื่องนี้การปลอบประโลมความรู้สึกสับสน คำถามที่ไม่มีคำตอบนั้นๆแหละ
                'ช่วงชิงตัวตนของฉันไป' - เมโนอา
                แท้จริงแล้วเราทุกคนอาจไม่ได้อยากโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เราต้องโต เพราะหนีโชคชะตานั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเติบโตของเรา เราจะกลายเป็นคนอื่น ถึงเราไม่ใช่เด็กในวันวาน มันก็ไม่ได้หมายถึงว่าตัวตนของเราจะหายไป คำพูดของเมโนอาเลยสะท้อนความรู้สึกของใครหลายคนที่พูดถึงการโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ช่วงชิงวัยเด็กของเธอ ช่วงชิงตัวตนของเธอไป
                ฉากของยามาโตะกับไทจิที่ดิ่งไปกับคำพูดของเมโนอา ก็เป็นส่วนหนึ่งว่าการไม่อยากโต มันอยู่ในส่วนลึกในจิตใจ แต่คนที่เตือนสติเราเสมอ คือ ดิจิมอน พร้อมพูดในฐานะคนที่เฝ้ามองคู่หูตัวเองมาตลอด
                "ฉันสนุกที่ได้เห็นนายได้เติบโต"  
                 มันคือประโยคที่ทัชมากนะ
                 
                 'ทางที่เลือก'
                 บางครั้งเราก็ตั้งคำถามกับการเติบโต ว่าเส้นทางที่เราเลือกมันถูกต้องไหมนะ สิ่งที่เราเลือกมันผิดไหม แต่คำตอบที่ได้คือประโยคของยามาโตะ
                 "ทางที่เธอเลือก มันไม่ผิดหรอกนะ"
                 ในเวลานั้นคือฉากเมโนอารับรู้ว่าสิ่งที่ทางตัดสินใจมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน แต่คำพูดของยามาโตะกับฉุดรั้งเอาไว้ สิ่งหนึ่งที่เราชอบดิจิมอนเสมอคือการไม่ตัดสิน ไม่ติดสินว่าถูกต้องหรือผิดพลาด เราสามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขใหม่ได้
                 ดังนั้นประโยคนี้เหมือนเสียงสะท้อนบอกตัวเรา ว่า สิ่งที่เลือกเสมอมา มันไม่ผิดหรอกนะ ไม่ว่าจะยังไงมันก็ทำให้เราเติบโต มันคือตัวตนของเรา ที่ทำให้เป็นตัวเราได้ในทุกวันนี้
                 
                'คำปลอบประโลม'
                ถ้าถามว่าคำไหนที่ปลอบประโลมเราที่สุด คงไม่พ้นคำพูดของกาบูมอน
                "นายคือคู่หูที่ฉันภาคภูมิใจมากเลยนะ"
                 ตลอดทางของการเติบโตมันเต็มไปด้วยความสับสน การลองผิดลองถูก การที่ใครสักคนหนึ่งที่บอกว่ากับเราว่า เขาภาคภูมิใจในตัวเรานะ มันทำให้เราน้ำตาเอ่อล้น มันเหมือนที่ผ่านมาไม่เสียเปล่า เหมือนความเหน็ดเหนื่อยของเรามีคุณค่า และอย่างน้อยเราก็มีคุณค่ากับใครสักคน
                 คำพูดของกาบูมอนเหมือนมีใครสักคนยื่นมือมาลูบหัวเรา บอกเราว่า เก่งแล้วนะ ขอบคุณนะ ฉันภาคภูมิใจในตัวเธอ และเธอน่ะ เติบโตมาอย่างดีเลยนะรู้ไหม

    ตลอดไป
                 เราเกลียดคำว่าตลอดไป เราจะยิ้มเยาะ เย้ยหยันกับมันเสมอ เพราะเราที่โตขึ้น เราเรียนรู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง และเรื่องนี้ก็ชอบเล่นคำว่าประโยคตลอดไป อยู่ด้วยกันตลอดไปนะ ทั้งที่รู้ ทั้งที่ตอนพูดมันไม่มีทาง มันไม่มีทางเลย แล้วยิ่งคนพูดคือกาบูมอนกับอากุมอน คนที่ไม่เคยเชื่อกับคำว่าตลอดไปเลยอย่างเรากลับเจ็บปวดมาก เหมือนโดนเข็มทิ่มสักร้อยครั้ง พันครั้ง เพราะเราไม่เชื่อ แต่เพราะดิจิมอนเป็นคนพูด เราอยากเชื่อมัน เพราะเรารู้ว่าเขาคิดว่าเขาจะอยู่กับเราตลอดไปจริงๆ แต่ในใจก็ขัดแย้งอยู่ดี
                 แต่คำว่าตลอดไปในเรื่องนี้ ถ้าพูดถึงความเด็ก การเติบโต ก็เหมือนบอกว่า ดิจิมอนก็ยังอยู่ในความทรงจำของเราแหละ มันยังเป็นตัวตนของเรา เป็นส่วนหนึ่งของเราเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นไม่ต้องกลัวหรอกนะที่มันจะหายไป
                 ความเจ็บปวดของภาคนี้ คือ การรู้จุดสิ้นสุดมันอยู่แล้ว แต่ดิจิมอนก็ยังสู้ เขาไม่กลัวการจากลา เหมือนถูกพูดว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรตลอดเวลา แต่เขาจะสู้เพื่อตัวเรา เพื่อการเติบโตของเรา เพื่ออนาคตของเรา ในฐานะแฟนดิจิมอน ที่รู้เสมอว่ามันเป็นการ์ตูนที่ไม่เคยหลอก ดังนั้นตอนที่อากุมอนกาบุมอนหายไป เราร้องหนักมาก ร้องเพราะรู้ว่าจะไม่กลับมาอีก (ในตอนนี้อะนะ)

    วันพรุ่งนี้
                 พรุ่งนี้...เราจะทำอะไรดี
                 เป็นฉากที่เราปล่อยโฮ สะอื้นออกมา เราชอบความเงียบในฉากนี้ มีใครหลายคนอาจมีความเห็นว่าควรมีเพลงหรือขยี้ได้มากกว่านี้ แต่ความเงียบ มันความโหดร้ายที่สุดสำหรับเรา เพราะสะท้อนว่ามันไม่มี มันไม่มีแล้วนะ และความเงียบนี่แหละ มันทำให้เราทบทวนความรู้สึก ความคิดเรา และแน่นอนมันทำให้เราจมดิ่ง และถูกย้ำด้วยเสียงสะอื้น เสียงร้องไห้ของไทจิกับยามาโตะที่ตอกย้ำ
                 อีกอย่างคำว่าวันพรุ่งนี้ มันสามารถคิดได้ทั้งสองทางเลยนะ ทั้งที่ทางที่ทำอะไรก็ทำในวันนี้ เพราะไม่รู้ว่าเราจะมีวันพรุ่งนี้อยู่ไหม รวมถึงไม่ว่ายังไงเราก็ยังมีวันพรุ่งนี้เสมอ 
                 ถ้าย้อนกลับไปดูดิจิมอน เราจะเห็นดิจิมอนเล่นกับคำว่า "พรุ่งนี้" ในตอนก่อนสุดท้ายของภาค 1 ที่ทุกคนสิ้นหวัง แต่เพราะดิจิมอนทำให้ทุกคนกลับมามีความหวังและพร้อมที่สู้อีกครั้ง มันคือประโยคที่เด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคนพูด ก่อนที่ตราสัญลักษณ์ที่ถูกทำลายจะส่องประกายแสงออกมาในตัวเอง
                 "เพราะเราทุกคนยังมีวันพรุ่งนี้อยู่นี่นา"

                 ในตอนจบที่ตัดมาเป็นซากุระ ที่ยามาโตะกับไทจิไม่ได้เศร้า แต่ยิ้ม เพราะเขายอมรับที่จะเติบโต แต่จริงๆ ยามาโตะกับไทจิยอมรับที่จะเติบโตตั้งแต่ต้องสู้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วแหละ แต่ไม่เตรียมใจในการจากลาเท่านั้นเอง ตอนเอนเครดิตที่ได้ดูครั้งที่ 2 ตอนที่เห็นโคจิโร่ มีมี่ โจที่ไม่มีดิจิมอน เป็นฉากที่เราร้องไห้เพิ่มจากครั้งแรก ก็คิดว่ายังไงสุดท้ายก็อาจจะเจอกันในสักวันหนึ่งแหละ ในหนังยังมีวัตถุดิบ มีอะไรที่ยังไม่ถูกขยี้ ถูกนำมาใช้อีกเยอะ มีช่องว่างที่มาเติมเต็มให้มันขายได้อีก ที่เหลือก็อยู่โตเอะเลยจ้า ถามว่าซื้อไหม ซื้อจ้า
                 สุดท้าย มูฟวี่ภาคนี้ ต้องใช้ประสบการณ์ของแต่ละคนตีความ การที่คนร้องไห้โดยที่ไม่รู้เหตุผล มันอาจจะจี้ใจดำในส่วนลึก ความรู้สึกลึกๆที่เราซ่อนเก็บมันเอาไว้ก็ได้ เป็นภาคที่เราต้องตกตะกอนกับมันค้างเติ่งกับมัน เราจะเข้าใจเหตุผลหรืออะไรบางอย่างของมัน ก็เหมือนบางครั้งบางเหตุการณ์ที่เมื่อก่อนเราไม่เข้าใจถึงเหตุผล พอเราโตขึ้น เราถึงเข้าใจว่า "ทำไม?"
                 จริงๆแล้วการเข้าไปดูดิจิมอนในครั้งนี้ ทำให้เราตั้งคำถาม ได้ให้คำตอบของคำถามที่เราเคยตั้งคำถาม และได้ปลอบประโลมเรา มันทำให้เราหวนไปนึกถึงตอนเด็ก 
                 "ตอนเด็กเราฝันอยากเป็นอะไรนะ? ตอนนั้นเรามีความฝันอะไร แล้วในตอนนี้ล่ะ เราโตแล้ว เราทำตามความฝันในวัยเด็กได้มากน้อยแค่ไหน" เนี่ย แม้เราเติบโต ตัวตนในวัยเด็กก็ไม่ได้หายไปเลย มันอยู่ในตัวเรานี่แหละ แค่เพราะภาระหลายๆอย่าง จึงไม่ได้ดึงตัวตนในวัยเด็กออกมาเท่านั้น แต่ถึงแม้ตัวเราในตอนนี้ ไม่ได้ทำตามความฝันในวัยเด็ก อาจจะเลือกเดินในเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ สิ่งที่เราเลือกไม่ใช่ทางเดินที่ผิดเลย ไม่ว่าอย่างไร จะผิดพลาด จะถูก จะเจ็บปวดหรือมีน้ำตา แต่มันก็คือการเติบโตของเรา คือสิ่งที่หล่อหลอมเป็นตัวตนของเราในตอนนี้ และเชื่อเถอะ ดิจิมอนของเราก็คงพูดไม่ต่างจากกาบูมอนหรืออากูมอน เขามีความสุขที่เห็นเราเติบโต และภาคภูมิใจในตัวของเรา:)

                  หนังเรื่องนี้ยังมีความบกพร่อง แต่ความแข็งแกร่งคือเส้นเรื่องในสิ่งที่ต้องการสื่อ ขอบคุณที่ทำให้เราฉุกคิดอะไรบางอย่าง ขอบคุณที่เป็นมืออบอุ่นที่ลูบหัวปลอบประโลมเรา ขอบคุณที่เติบโตมาด้วยกัน ตลอด 20 ปี เป็นหนังที่ทำให้เรามีความสุขและร้องไห้หนักมากจริงๆ


             

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in