ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ผมคิดว่าที่นี่ไม่น่าจะมองเห็นทั้งสามอย่างนี้นะ ผมหันไปมองคายา เธอกำลังใช้ความคิดอยู่เหมือนกัน ผมปล่อยให้เธอคิดถึงปริศนาต่อไป ส่วนตัวเองก็เดินออกมาเงียบๆ และเดินดูรอบๆ เผื่อจะเจอคำใบ้อะไรเพิ่มเติม โชคดีที่ในนี้มีคบไฟเลยพอจะมองเห็นอะไรอยู่บ้าง ผมเดินคลำไปตามกำแพงไปเรื่อยๆ จนเผลอไปเหยียบอะไรบ้างอย่างเข้า
แผ่นหินรูปดาวจู่ ๆ ก็มีแสงมีขาวสว่างวาบขึ้นมา ผมตกใจจนรีบกระโดดออกไปจากแผ่นหิน ทันใดนั้นแสงก็ดับลง ผมมองดูรอบๆ ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเติมหรือไม่ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติจึงลองขึ้นไปเหยียบบนแผ่นหินอีกครั้ง เมื่อผมเหยียบลงไป แผ่นหินก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง ผมเงยหน้ามองดูรอบๆ อีกที นอกจากแผ่นหินนี่ก็ไม่มีอะไรในถ้ำที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ผมก้าวลงมาจากแผ่นหิน แต่เดินคลำกำแพงต่อไปจนพบกับแผ่นหินอีกแผ่น คราวนี้เป็นรูปดวงอาทิตย์ผมเหยียบลงไปบนแผ่นหินเหมือน และแสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มีแผ่นหินสองแผ่นแล้ว ผมมั่นใจว่ามันต้องมีแผ่นที่สาม ผมรีบเดินคลำกำแพงต่อไป แต่ไม่ว่าจะเดินหาอย่างไรก็ไม่พบแผ่นหินก้อนสุดท้าย
ผมถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปหาคายาเพื่อบอกเรื่องแผ่นหินที่เจอแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร คายาก็หันมาทางผมเสียก่อน
“ฉันเข้าใจแล้ว!” คายาร้องอย่างตื่นเต้น
“เธอหมายถึงอะไร” ผมถามด้วยความงุนงง
“นายเห็นนั้นมั้ย” คายาชี้นิ้วขึ้นไปบนเพดาน ผมมองตามขึ้นและพบว่าข้างบนมีรูขนาดเท่าลูกมะพร้าวอยู่รูหนึ่งซึ่งเมื่อมองออกไปจะเห็นว่าท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม พระอาทิตย์คงจะพึ่งลับขอบฟ้าไป แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าคายาหมายถึงอะไร
“ฉันคิดว่าพระจันทร์คงจะลอยผ่านช่องนั้น แล้วสะท้อนกับอะไรซักอย่าง” ผมเข้าใจทันทีเมื่อคายาอธิบายให้ฟัง แค่นี้ชิ้นส่วนทุกอย่างก็ครบแล้ว เหลือก็แต่ลำดับเท่านั้น ผมบอกเรื่องแผ่นหินที่เจอให้คายาฟังเผื่อว่าเธอจะคิดอะไรออกคิดอีก
“รอดูกันก่อนเถอะว่าพอแสงจันทร์ลอดผ่านช่องนั้นมาจะเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจะมีแผ่นหินโผล่ขึ้นมาอีกแผ่นก็ได้” ผมแต่คายาจึงนั่งรออยู่เงียบๆ
หนึ่ง
สอง
สาม
.
.
.
.
.
หนึ่งพันแปดร้อย
ผมนับเลขขณะที่รอ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีแสงจันทร์ลอดผ่านช่องนั้นมา
“ไม่ใช่ว่าหมอกหนาจนแสงส่องมาไม่ถึงหรอก” ผมถามคายา
“ฉันคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ดวงจันทร์คงกำลังเคลื่อนที่ิอยู่ละมั้งหรือไม่ก็หลงทางไปแล้ว” คายาตอบผม “แต่เดี๋ยวก็คงมา เรารอกันอีกหน่อยเถอะ”
เรานั่งรอกันต่อ ผมเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ยังไม่ทันถึง 50 ก็เริ่มมีแสงสว่างเข้ามาในอุโมงค์ จนในที่สุดดวงจันทร์ก็ลอยอยู่กลางช่องว่างนั้นพอดี แสงจากดวงจันทร์อาบลงบนเสาศิลากลางอุโมงค์ ลวดลายดาวบนเสาค่อยๆ เผยตัวออกมา คายาลองเอื้อมมืิอไปที่เสาต้นนั้น ทันใดนั้นลวดลายบนเสาก็มีแสงสว่างออกมา
“ได้เวลาเรียงลำดับให้ถูกต้องแล้ว” คายาบอกผม เราทั้งคู่เดินไปเหยียบแผ่นหินรูปดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ตามลำดับและวนกลับมาแตะที่เสา แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราจึงคิดกันใหม่ บางทีเราก็อย่างต้องยืนอยู่บนแผ่นหินให้มันยังมีแสงขึ้นมาอยู่ แต่ปัญหาก็คือเรามีกันแค่สองคน แต่มีสามจุดที่ต้องยืน
อย่างไรก็ตามระยะห่างจากแผ่นหินรูปดวงจันทร์กับเสาศิลาไม่ได้มากนัก ผมคิดว่าตัวเองน่าจะวิ่งไปเสาต้นนั้นทันก่อนที่แสงบนแผ่นศิลาจะดับ ผมบอกแผนกับคายาและให้เธอไปยืนที่แผ่นหินรูปดวงอาทิตย์ เมื่อเธอไปยืนบนแผ่นหินแล้วแล้ว ผมไปยืนบนผ่นหินรูปดวงจันทร์และพักหายใจสักครู่ก่อนรีบวิ่งไปแตะที่เสาศิลา
เรียบร้อย!
ทันทีที่ผมแตะลงบนเสาศิลาทั้งก็รับรู้ได้ถึงแรงสั้นสะเทือนของถ้ำเหมือนมียักษ์มาเขย่าถ้ำไปมา เสาศิลาเริ่มหมุนช้าๆ และส่งเสียงดัง ‘กริ๊ก’ เมื่อครบหนึ่งรอบ ผมเดินเข้าไปดูก่อนจะได้เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกำลังจะแตกออกมาอยู่ใกล้ๆ ผมมองไปที่เสาศิลาและรีบพาคายาวิ่งออกมาจากเสาศิลาเมื่อเห็นว่าจู่ๆ มันก็มีรอยร้าว
บึ้ม!
เสาศิลาระเบิดออกมาจริงๆ ฝุ่นสีขาวจะแผ่นศิลาลอยฟุ้งไปทั่ว ผมและคายาเอามืือปิดปากและจมูก และใช้มืออีกปัดฝุ่นและควันที่ลอยอยู่ตรงหน้า ไม่นานนักทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ข้างในเสาศิลาที่พึ่งระเบิดไปมีกล่องขนาดเท่าฝามืออยู่ข้างในหนึ่งกล่อง คายาหยิบกล่องขึ้นมาและเปิดดู ข้างในมีสัญลักษณ์รูปร่างประหลาดอยู่เพียงชิ้นเดียว ไม่เพียงแต่รูปร่างที่ประหลาดเท่านั้นแต่สียังประหลาดอีกด้วย
รูปร่างมันเหมือนเลขแปดต่อกันสองตัวในแนวตั้งและไล่ขนาดลงมาตั้งแต่เล็กไปใหญ่ ดูไปดูมาก็เหมือนขนมปังเกลียวที่แม่ชอบซื้อมาเหมือนกัน แต่ด้านที่ใหญ่ที่สุดมีหางปลาวาฬยื่นออกไปทางซ้าย ส่วนด้านที่เล็กที่สุดไม่ได้เชื่อมกันสนิทเป็นวงกลมแต่ขดเข้ามาเป็นก้นหอย มีลวดลายเล็กๆ สลักอยู่บนสัญลักษณ์ ส่วนสีเป็นสีน้ำเงินเข้ม ม่วง แดงปนกันอยู่สามสี แต่สีพวกนี้มันขยับได้ไหลไปมาอยู่ภายในของสัญลักษณ์เหมือนพวกมันมีชีวิต ไม่ว่าจะเขย่าแรงแค่นี้ทั้งสามสีก็ไม่ผสมรวมกัน
“เธอว่านี่คือหัวใจของเทพมาฮูต้ารึเปล่า” ผมถามคายา
“นายว่ามีตรงไหนเหมือนอัญมณีสีแดงสดรึเปล่าล่ะ” คายาถามผมกลับ “มันคงเอาไปใช้ทำอะไรสักอย่างไม่เป็นกุญแจก็เอาไปเป็นชิ้นส่วนของอย่างอื่น”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย สัญลักษณ์นี่ดูน่ากลัวอยู่เหมือนกันแต่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้เสียแรงเปล่า ผมเก็บสัญลักษณ์ลงกล่องและเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนจะหันไปหาคายาเป็นเชิงถามว่าจะทำอะไรต่อไป
“เราจะพักกันที่นี่ก่อน แล้วค่อยไปสถานที่ต่อไป” คายาตอบผม
“เธอรู้แล้วเหรอว่าต้องไปที่ไหน” ผมถามด้วยความสงสัย
“อืม มันบอกไว้ตรงนั้น” คายาชี้ไปที่รูปแกะสลักรูปเดิม ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านหลังรูปดาวสามด้วยมีภูเขารูปร่างแปลกๆ อยู่ด้วย “เราเรียกภูเขาลูกนี้ว่า ดาจาเรีย หมายถึงอันตราย เป็นสถานที่ที่ห้ามคนในหมู่บ้านเข้าไปใกล้”
“บนนั้นมีอะไร” ผมถามเสียงเบา
“ไม่มีใครเรื่องรู้ มันเป็นกฎเก่าแก่ของหมู่บ้าน และยังไม่เคยมีใครที่ฝ่าฝืนกฎข้อนี้แล้วรอดกลับลงมาเล่า” คายาตอบด้วยเสียงสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง
“พักผ่อนกันก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยตัดสินใจว่าเราจะทำยังไงกันต่อ” ผมบอกกับคายา ก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละมุมเพื่อใช้เวลาอยู่ตนเอง เตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้
จบองค์ที่ 1
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in