วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ หลังจากพายุบิลลี่ วิลลี่อ่อนกำลังลง พูดก็พูดเถอะ บิลลี่ วิลลี่ ใครเป็นคนตั้งชื่อพายุพวกนี้กันนะ ไร้สาระสิ้นดี มันก็แค่พายุ ทำไมเราต้องตั้งชื่อให้กับทุกอย่างบนโลกนี้ด้วย!
ช่างเรื่องพายุไปก่อน วันนี้เรือของผม ใช่ แค่เรือของผมซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีชื่อจะได้ออกทะเลเสียทีหลังจากติดแหง็กอยู่ที่ท่าเรือเป็นสิบปี
สิบปี คุณอ่านไ่ม่ผิดหรอก สิบปีที่หมายถึงสิบปีจริงๆ ไม่ใช่การเปรียบเปรย
ความจริงแล้วเรือลำนี้เป็นของพ่อของผม นิโครลัส สวีเวนสัน ซึ่งตายไปเมื่อตอนผมอายุได้ 4 ขวบละมั้ง เรื่องก็นานจนความจำผมเริ่มเรื่องลางแต่เรื่องเดียวที่ยังจำได้ชัดคือ พ่อมักจะชอบพาผมขึ้นไปนั่งเล่นบนเรือ
ผมคิดถึงพ่อขึ้นมาครู่หนึ่งแต่มันก็เป็นแค่อดีต ผมอยู่กับแม่สองคนก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังไงซะพ่อก็ออกทะเลเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว นานทีๆ ถึงจะกลับบ้านมาให้เห็นหน้าไม่เหมือนกับคุณนายสวีเวนสันที่ต้องเจอหน้ากันทุกวัน อย่าไปบอกแม่นะครับว่าผมแอบเรียกแม่แบบนี้ แต่หลังจากที่พ่อตาย ความเป็นอยู่ของเราก็ไม่ได้ดีเท่าไร อาหารจากที่ทุกมื้อจะมีครบทั้งเนื้อ ผัก และไข่ บางวันก็มีผลไม้หรือขนมเพิ่มมาด้วย แต่ตอนนี้มีแต่ผักเป็นหลัก ส่วนเนื้อสัตว์จากที่เคยมีทั้งหมูและวัวก็เหลือแค่ปลา ไม่ต้องพูดถึงผลไม้หรือขนมเลย บางวันเรากินก็แค่ซุปปลากันเท่านั้น
ผมว่าแม่แก่ลงไปเยอะหลังจากที่พ่อตายไป อาจจะเป็นผลจากการที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งเย็บผ้าไปขายที่ตลาดในเมืองหลักทุกคืน ผมบอกรึยังนะว่าเราอาศัยอยู่ที่เมืองโอคาเซีย เป็นเมืองท่าเล็กๆ ติดมหาสมุทรบลูมเบิร์กห่างจากเมืองหลัก 6 ชั่งโมงสำหรับเดินเท้า หรือ 2 ชั่วโมงสำหรับนั่งรถม้า โอคาเซียเป็นเมืองท่าที่อยู่ใกล้กับเมืองหลักที่สุดแล้วแต่ก็ยังห่างไกลความเจริญจากเมืองอื่นๆ ที่อยู่ล้อมรอบเมืองหลัก
คนโอคาเซียส่วนใหญ่จะออกหาปลาและของทะเลเพื่อส่งขายไปยังเมืองอื่นๆ แน่นอนว่าพ่อผมก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ต่างกันตรงที่พ่อเป็นเจ้าของเรือเองและมีลูกเรือนับสิบคน และนั้นคือสาเหตุที่เราพอกินพอใช้มาตลอด นอกจากพ่อจะออกหาปลาแล้ว บางครั้งที่กลับขึ้นฝั่งพ่อก็จะมีเหรียญทองจำนวนมากหรือของแปลกๆ กลับมาขายเป็นเงินได้ตลอด พ่อชอบบอกว่าของพวกนี้ติดอวนหาปลาขึ้นมาแต่ใครจะไปเชื่อกันว่าของที่พวกที่ดูเหมือนจะจมอยู่ก้นทะเลพวกนี้จะติดอวนที่ไม่ได้หย่อนลงไปลึกขนาดนั้นขึ้นมาได้ ผมว่าพ่อคงมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ซึ่งตอนนี้มันก็ได้ตายลงไปพร้อมกับพ่อเสียแล้ว
ส่วนพวกลูกเรือที่เหลือรอดก็หายตัวกันไปหมด ผมไม่เคยพวกเขาในเมืองท่าเลยตั้งแต่พ่อตายไปแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาพักอยู่ที่ไหน บางทีคงสมัครเป็นลูกเรือของเรือลำอื่นและออกทะเลนานหลายเดือนเหมือนเดิม ผมคงแค่คลาดกับพวกเขาก็เท่านั้น หรือไม่ก็คงออกนอกเมืองย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้วเพราะเหรียญทองและเงินที่ขายของได้ในแต่ละครั้ง พ่อก็จะแบ่งให้ลูกเรือคนละเท่าๆ ซึ่งมันก็มากพอสำหรับเหล่าชายโสดที่อยู่คนเดียวในเมืองเล็กๆ
ผมว่าเราหลงประเด็นไปไกลแล้ว กลับมาที่การผจญภัยของผมต่อ จริงๆ มันก็ไม่ใช่การผจญภัยสำรวจโลกกว้างอะไร แต่ผมมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ตอนที่ผมไปทำงานที่ร้านสวิฟตี้แถวบ้าน ผมบังเอิญได้ยินลูกค้ากลุ่มหนึ่งคุยกันถึงเกาะลึกลับที่ไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่ ลูกค้ากลุ่มนั้นคุยกันอย่างออกรสพร้อมกับกระดกเบียร์เข้าปากไปหลายแก้ว
ผมได้ยินบทสนทนาทั้งหมดไม่ชัดเพราะเสียงฝนที่ตกอยู่ข้างนอกและเสียงในร้านที่ดังโหวกเหวกอยู่ตลอดเวลา แต่ก็พอจะจับใจความคร่าวๆ ได้ว่าที่นั่นมีสมบัติมหาศาลซ่อนอยู่ ผมจึงเริ่มวางแผนจะไปตามหาสมบัติเหล่านั้น และพาเรือของพ่อหวนคืนสู่ทะเลอีกครั้งหนึ่ง
และวันนี้ก็คือวันนั้น วันที่การเดินทางของผมจะเริ่มต้นขึ้น
ผมถอนสมอและชักใบเรือให้กางออก ใบเรือสีแดงโบกสะบัดไปตามลมตราสัญลักษณ์ที่ผมไม่ได้เห็นมานานปรากฏให้เห็นสู่สายตาพญาเหยี่ยวที่คาบกริชไว้ที่ปาก
ตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ได้เวลาออกเดินทางเสียที
การเดินทางของผมจะเริ่มต้นที่นี่ ณ เวลานี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in