“คณะไหนวะ” เขาแปลกใจเมื่อเข้ามาแล้วมีคนจำนวนหนึ่งซึ่งถือว่าน้อยกว่าเขามากกำลังซ้อมร้องเพลงกันอยู่หันไปถามน้องปีสองก็ไม่มีใครรู้ซักคน
“มึงลองไปถามดิซันมึงมันประธานนี่” เขากลอกตาเล็กน้อยเมื่อโดนเพื่อนโยนภาระมาให้ถึงอย่างนั้นแล้วเขาก็เดินเขาไปถามให้อยู่ดี
ขายาวเดินมาหาคนที่เอาแต่ยืนหันหลังให้เพราะต้องสอนน้องๆปีหนึ่งร้องเพลงก่อนจะปรายตามองเด็กๆที่เหลือแล้วสะดุดตากับป้ายคณะของกลุ่มคนตรงนี้
คณะแพทยศาสตร์
“นี่คุณ” เสียงทุ้มเรียกคนที่ยังคงสอนน้องร้องเพลงโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้วคนที่ตัวเล็กกว่าเขาหันมามองเขาด้วยความสงสัยเมื่อมือของอีกคนลดลงจากระดับปกติทำให้ปีหนึ่งทั้งหมดเลิกร้องเพลงทุกอย่างรอบตัวพวกเขาตกอยู่ในความเงียบทันที
“มีอะไรครับ”
“ที่นี่มันที่ของผม ผมต้องใช้ครับ” เขาพยามยามใช้คำที่คิดว่าดูน่าหงุดหงิดน้อยที่สุดคนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วก่อนจะชะเง้อไปมองข้างหลังเขาที่มีน้องปีหนึ่งยืนรออยู่มากกว่าคณะเขาเกือบสามเท่า
“อ้อครับ” เจ้าตัวพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปสอนน้องร้องเพลงอีกครั้ง ประธานชั้นปีสามอย่างเขาเผลอคิ้วกระตุกเล็กน้อยเมื่อโดนเมิน
“เฮ้ยคุณผมบอกเนี่ยได้ยินมั้ย” เสียงที่ดังกว่าเดิมทำให้ทุกอย่างกริบอีกครั้งพร้อมด้วยบรรยายกาศกดดันแปลกๆที่ไม่ได้มีแค่เด็กปีหนึ่งแน่ที่รู้สึกได้
ยกเว้นกับเขาแค่คนเดียว
“ได้ยินครับ” เสียงหวานหันมาตอบด้วยความใจเย็นต่างกับอีกคนที่แทบจะพร้อมบวกจนเพื่อนๆที่ยืนมองอยู่ด้านหลังต้องมาขนาบข้างไม่ให้เพื่อนเขาไปทำอะไรว่าที่คุณหมอ
“ก็ออกไปสิครับ” คนตัวเล็กกว่าเดินไปเอาใบอะไรบางอย่างในกระเป๋าเป้ของตัวเองก่อนจะยื่นให้เขามันเป็นใบอนุญาตขอใช้สนามแบตมินตันวันนี้แต่ปกติแล้วมันเป็นที่ของคณะเขาใครๆก็รู้
“ผมไปขออนุญาตมาแล้วผมได้มั้ยละครับ” น้ำเสียงเรียบๆของอีกคนมันชวนให้น่าต่อยปากซักจนเขาเผลอกำหมัด
“เฮ้ยมึงเขาขอมาแล้วให้เขาเถอะ” เพื่อนเขาสะกิดยิกๆเพราะไม่อยากให้มีปัญหากัน แต่เหมือนว่าคนตัวสูงจะไม่ยอมจบง่ายๆซันเดินเข้าไปใกล้อีกคนมาขึ้น ยิ่งใกล้ยิ่งรู้สึกได้ว่าอีกคนตัวเล็กขนาดไหน
“อยากให้รู้ไว้นะว่าที่นี่มันที่ของพวกผมถ้ามีอีกรอบ”
“อีกรอบแล้วจะทำไมครับ”
“เชี่ยเตี้ย!” เด็กปีหนึ่งทั้งสองคณะเผลอสะดุ้งกับเสียงของประธานชั้นปีก่อนที่บรรยากาศจะเริ่มเงียบจนน่ากลัวกว่าเดิม
“ชื่อพีตครับ”
“ไม่ได้อยากรู้”
“ผมแค่อยากบอกการเรียกชื่อคนอื่นมันดูมีมารยาทกว่าการเรียกด้วยคำลักษณนามแบบนั้นนะครับ”
โอยมันขึ้นเว้ย
ทำไมไอเตี้ยนี่มันกวนเขาแบบนี้วะขอบคุณที่เพื่อนมือไวกว่าคว้าอีกคนไว้ทันก่อนจะกระโจมใส่ได้
“ผมไม่รู้ครับว่าพวกคุณใช้ที่นี้มานานแค่ไหน”
“แต่ผมขอแล้ว”
“ผมมีสิทธิ์”
“อยากใช้ก็ไปขอสิครับ”
อย่าให้กูได้เจอไอเตี้ยนี่ข้างนอกนะกูไม่ไหวแล้วโว้ย
แล้วข่าวของประธานปีสามวิศวะเถียงกับเชียร์ปีสองคณะแพทย์ก็ลือกันไปไกล
“อ้าวไงไอประธาน” ซันแทบไม่ต้องเงยหน้ามามองก็รู้ว่าไอเพื่อนรักกำลังทำน้ำเสียงที่เสี่ยงเท้าเขามากแค่ไหนไม่นับหน้าที่ต้องระรื่นระดับสิบนั้นอีก
“ไรมึง” โรงอาหารในเวลาสิบโมงเช้าแบบนี้คนแทบจะไม่มีเพราะเป็นเวลาเรียนกันคนอย่างเขาที่มีเรียนสิบเอ็ดโมงก็เพิ่งจะมาถึงคณะแล้วมากินข้าวก็ต้องมาเจอเพื่อนรักกวนประสาทอีก
“เมื่อวานได้ยินว่าโดนน้องหมอหักหน้ามาหรา” หลังจากเรื่องเมื่อวานเขามั่นใจว่าไม่น่าจะมีใครเอาไปเล่าแต่ก็นะเพื่อนเขามันแสนรู้จะตายไม่งั้นมันคงไม่ได้อยู่ชมรมหนังสือพิมพ์คณะหรอก
“หักหน้าไรวะไม่มี”
“อ่ออออหรออออ” รู้ว่าไม่เชื่อแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ซักอะไรเพิ่ม ซันค่อนข้างมั่นใจว่ามันคงรู้มาหมดไส้หมดพุงแล้ว
“เออมึงอยากรู้ปะว่าน้องนั่นเป็นใคร”
“กูจะอยากรู้ไปทำไม” พูดแล้วก็ตักข้าวขาหมูร้านประจำเข้าปากคำสุดท้ายก่อนจะหยิบกระเป๋าเตรียมลุกทำให้อีกคนต้องลุกมาด้วย
“เอ้า ก็เผื่อเจออีกรอบไง” เขาเลิกคิ้วให้เป็นเชิงว่าแล้วไง ต้องรู้หรอถึงอย่างนั้นเพื่อนเขาก็ให้ฟังอยู่ดี
“ไอเกอร์แล้วมึงจะถามกูทำไมครับ” ไทเกอร์ยักไหล่ให้ก่อนจะสาธยายต่อไปโดยไม่สนหรอกว่าเพื่อนเขามันจะฟังมั้ย
“เฮ้ยวันนี้ไอประธานมันมาเช้าจังวะ” ซันมองนาฬิกาข้อมือตัวเองบอกเวลา10:45 น.เลยทำให้เขาเผลอเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนเขาที่มานั่งรอในห้องไม่ได้
ปกติแล้วคุณซันต้องมา11โมงเป๊ะนี่นะ
“ไงวะเมื่อวาน” ซันเผลอกลอกตารอบที่เท่าไหร่แล้วของวันก่อนจะผายมือไปทางไทเกอร์ที่คันปากอยากเล่าแทนจะตายและเขาก็หันมาสนใจโปรเจคเตอร์ที่กำลังจะเริ่มฉายสไลด์ของอาจารย์แล้ว
“เมื่อวานแกก็เกินไปอ่ะ” ระหว่างพักเที่ยงอยู่ๆเพื่อนเขาก็พูดขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนพีตต้องเลิกคิ้วถามแทนในเมื่อปากยังคาบหลอดดูดอยู่
“ก็ที่ไปเถียงกับพี่วิดวะไง” เมื่อเพื่อนเฉลยทำให้เขาต้องอ๋อออกมาดังๆ
“ถามจริงแกไม่กลัวรึไงตอนเขาขึ้นเสียง”
“กลัวสิ”
“เอ้า” จริงๆตอนนั้นเขาแทบจะใจวายตายอยู่แล้วแต่ต้องทำเป็นสู้เพราะเขาไม่ชอบไม่ชอบการโดนข่มขู่ในเรื่องไม่เป็นเรื่องแถมเขาก็มีความชอบธรรมที่ตรงนี้เหมือนกัน
หลังจากวันนั้นที่มีปัญหาเพราะไม่ไปจองที่ไว้ก่อนพวกเขาเลยจัดการส่งใบขอจองมันทั้งสองอาทิตย์ไม่ต้องให้ใครมันมาแย่งพวกเขาได้ก่อนจะได้คำตอบว่าวันนั้นคณะแพทย์ขอใช้แค่วันเดียวเนื่องจากสถานที่ซ้อมของคณะใช้ไม่ได้หนึ่งวัน
โห หน้าแตกโคตรเลยกู
“เร็วสิครับคุณ” ซันพูดเสียงให้ดังขึ้นเมื่อยังเห็นว่ายังมีปีหนึ่งบางคนช้าปล่อยให้พวกเขาต้องรออยู่นานแล้วนาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเป็นครั้งที่สามเป็นสัญญาณเตือนว่าถ้ามีครั้งที่สี่จะมีการลงโทษ
กว่าที่จะเสร็จพร้อมกับบททำท่าโหดผ่านไปก็เล่นเอาเฉาพอสมควรเลยกะจะไปเล่นบอลให้หายเครียดซักหน่อย
“มึงเช็คดิวันนี้ใครได้สนาม”เขาบอกเพื่อนที่เล่นมือถืออยู่ค้นดูเวลาการใช้สนามของมหาวิทยาลัย
“คณะแพทย์ว่ะมึง”
“เชี่ยอีกละ” เขาไม่ได้เกลียดแต่เขาก็ไม่อยากจะเจอเตี้ยนั้นเท่าไหร่ก็ขออย่างเดียวว่าอย่าให้มันเป็นคนชอบเล่นบอลเลยเถอะ
แต่เหมือนว่าพระเจ้าจะไม่ฟังเขาเท่าไหร่แถมยังส่งมาเย้ยหยันถึงในสนาม
“ลองไปขอพี่จูนเล่นด้วยมั้ยมึง” เพื่อนเขาเสนอเพราะยังไงแล้วพวกเขาก็มากันแค่ห้าคนแถมยังพอจะรู้จักรุ่นพี่คณะแพทย์ที่เล่นฟุตบอลอยู่
“แต่มองจากตรงนี้กูยังไม่เห็นพี่เขาเลยนะ”
“เดี๋ยวกูลองไปถาม” ซันก้าวฉับๆเข้าไปใกล้ๆสนามก่อนจะเรียกคนที่อยู่ใกล้ๆให้มาคุยกันซึ่งก็คือ
“เตี้ย”
“เตี้ย!” พีตได้แต่หวังให้ตัวเองหูฝาดแต่การเรียกมาสองรอบและกำลังจะมีครั้งที่สามตามมาทำให้เขาต้องหันไปตามเสียงจนได้
“บอกชื่อไปแล้วนี่ครับ” พีตวิ่งเหยาะๆมาหาคนที่เรียกเขาอยู่
“เออๆช่าง พี่จูนอยู่มั้ย” จูนรุ่นพี่ปี 4อดีตกัปตันทีมฟุตบอลคณะแพทย์แต่ตอนนี้ออกทีมไปเพื่อไปตั้งใจเรียนแต่จะว่าไปแล้วคณะเขาถ้าขึ้นปีสี่ทีไรแทบจะไม่มีเวลาทำอะไรทั้งนั้นแล้วเพื่อเตรียมตัวเจอสองปีหลังที่หนักกว่าเดิม
“ไม่ครับพี่เขาออกไปแล้ว” ซันเหวอไปเล็กน้อยแต่ก็พยายามหันไปหาคนอื่นที่พอจะคุยด้วยได้
“แล้วกัปตันทีมละ”
“ผมนี่ครับกัปตันทีม”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in