เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
(seventeen) one fine summer daygiftmeme
lettuce
  • disclaimer: this is a work of fiction — all names, places, and events aren't associated with actual person and events. please proceed with care.



     

    เศษผักกาดหอมเหี่ยวช้ำแน่นิ่งอยู่บนพื้นคอนกรีตที่ระอุด้วยไอแดดยามเที่ยงวัน ใกล้ ๆ กันนั้นมีก้นบุหรี่บี้แบนกระจัดกระจาย เถ้าสีเทาน่าจะปะปนกับดินที่ติดรองเท้าพวกนักฟุตบอลมาจากสนามจนแยกไม่ออกไปแล้ว แต่ฮันซลกลับยังได้กลิ่นควันเจือมากับอากาศอบอ้าวที่หนาหนักจนแทบจะมีรูปร่าง เขาย่นจมูก ใช้ปลายเท้าเขี่ยขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อยมารวมกันเป็นกองแล้วเหยียบไว้ แซนด์วิชไส้แฮมในมือเพิ่งหมดไปแค่ครึ่งชิ้นและถูกลืมเลือนอย่างผิดวิสัย อาจเป็นเพราะผักสีเขียวสดที่แทรกอยู่ระหว่างขนมปังและเนื้อสัตว์แปรรูปทำให้เขามัวแต่นึกถึงอดีตของผักกาดหอมใบนั้น  สงสัยว่าใครสักคนเผลอทำมันร่วงระหว่างเอาเข้าปาก หรือว่าจงใจเขี่ยทิ้งไปอย่างไม่ไยดีกันแน่ ข้างตัวเขา ซึงกวานดูดน้ำส้มอึกสุดท้ายจากกล่องเสียงดัง

     

    ฮันซลไม่แน่ใจว่าทำไมพวกเขาถึงมาใช้เวลาพักกลางวันกันข้างหลังโรงยิมที่ร้างไร้ผู้คน นี่อาจเป็นที่ที่เขาเผลอผ่านมาเวลาย่องตามแมวเพียงลำพัง แต่สำหรับซึงกวานแล้ว นอกจากตอนซ้อมวอลเลย์บอลข้างในตัวอาคารก็ดูไม่มีเหตุผลใดให้มานั่งเอื่อยเฉื่อยตรงชานพัก ท้าทายพระอาทิตย์ที่แผดแสงจ้าเหนือศีรษะชนิดที่ห่างไกลจากการรับวิตามินเพื่อสุขภาพไปมากโข นั่นไม่ค่อยสมเป็นอีกฝ่ายเอาเสียเลย แต่เพราะว่านั่นคือซึงกวานอีกเช่นกัน ฮันซลถึงได้เคลื่อนที่โดยไร้แรงต้านทานไปตามสัมผัสที่กุมข้อมือไว้มั่น บางครั้งเขาก็เห็นภาพตนเองเป็นแมงกะพรุนโปร่งใส และคนที่เดินนำหน้าเขาไปคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล

     

    เสียงจักจั่นร้องเซ็งแซ่ดังแว่วมาจากแนวต้นไม้ริมสนามหญ้า สายลมที่พวกเขาแทบไม่รู้สึกจากจุดที่นั่งอยู่พัดให้ยอดไม้เอนไหว เชื่องช้าจนชวนให้ตาจะปิด เพลงคลาสสิกที่จู่ ๆ ก็ดังลั่นผ่านลำโพงทำให้บรรยากาศของโรงเรียนช่วงปิดเทอมดูอลังการเกินความเป็นจริงไปมาก พวกชมรมกระจายเสียงคงกลับขึ้นไปเล่นสนุกกันอีกแล้ว ฮันซลรอฟังซึงกวานออกความเห็นว่า “ประดักประเดิกชะมัด” ไม่ก็ “รอให้ฉันได้เลือกเพลงบ้างเถอะ” ด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น แต่อีกฝ่ายเพียงแค่รีดกล่องน้ำผลไม้ให้แบนเรียบอยู่เงียบ ๆ ปลายนิ้วพยายามพับเหลี่ยมมุมเป็นรูปร่างสุดจะคาดเดา

     

    ฮันซลดันแซนด์วิชที่เหลือลงไปในถุงพลาสติก ชักรู้สึกคอแห้งและสัมผัสได้ว่าเหงื่อที่ผุดบนหน้าผากเริ่มหยดลงมาแตะขนตา ตามไรผมของซึงกวานมีเม็ดเหงื่อซึม แก้มเองก็ชักเป็นสีระเรื่อเพราะอุณหภูมิที่เกือบเข้าขั้นทารุณ แต่เจ้าตัวยังคงดูไม่ยี่หระแต่อย่างใด 

     

    “แปลกแฮะ” 

     

    บทจะพูด ซึงกวานก็พูดขึ้นมา แน่นอนว่าฮันซลต้องใช้เวลาประมวลผลสักครู่ ถึงจะไล่ตามทั้งถ้อยคำและความคิดของอีกคนทัน เขาเข้าใจได้จากสายตาและท่าทางว่าซึงกวานหมายถึงมื้อเที่ยงของเขาที่ถูกวางทอดทิ้งอยู่ข้าง ๆ นั่นเอง

     

    ฮันซลยักไหล่ จ้องตาอีกฝ่าย แล้วออกความเห็นสั้น ๆ ว่า “นายก็แปลก” 

     

    เขารอฟังเสียงหัวเราะที่ควรจะระเบิดลั่นออกมาพร้อมกันและทำให้รู้สึกคันยุบยิบบนฝ่ามือ รอชมอาการทอดถอนใจที่ตามมาด้วยถ้อยคำแสนเหนื่อยหน่ายปนรักใคร่ว่า “นายนี่มัน…” แต่ซึงกวานเพียงแค่พ่นลมหายใจแผ่วเบายิ่งกว่าเป่าละอองดอกแดนดิไลออน แสนสั้นจนเกือบจับอารมณ์ขันล่องลอยในนั้นไม่ได้ ฮันซลไม่แน่ใจว่าแสงแรงจ้าเล่นตลกกับสายตาจนเห็นว่าริมฝีปากข้างหนึ่งของซึงกวานยกเป็นรอยยิ้มหรือไม่ ที่แน่นอนคือตัวเขารู้แก่ใจว่าตนได้เลียนแบบกิริยานั้นไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเผลอไผลหรือยั้งไว้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเป็นอย่างอื่นเวลาอยู่กับซึงกวานเสียมากกว่า

     

    “นั่นไง นายทำหน้าแบบนี้อีกแล้ว” 

     

    “แบบไหน”

     

    ซึงกวานสาธิตให้ดูอย่างตั้งใจ ฮันซลคิดว่านี่คงจัดอยู่ในประเภทรอยยิ้มซื่อบื้อที่พวกรุ่นพี่เคยวิจารณ์ไว้บ่อย ๆ เวลาเขาไม่ทันรับลูกบาสเพราะมัวแต่พยักหน้าให้ซึงกวานที่เดินเลาะสนามมาพอดี เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่ามันดีร้ายอย่างไร แต่ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายทำตามแล้วตลกดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสีหน้าของซึงกวานใกล้เคียงกับคำว่าแจ่มใสเป็นครั้งแรกของวัน 

     

    ฮันซลลากเสียง “อ๋อ” ยาวเท่าความรู้สึกกระจ่างแจ้งเป็นการตอบรับ ซึงกวานถอนหายใจเฮือกใหญ่กลับ ปล่อยไหล่ลู่ลงจนตัวดูเหมือนตุ๊กตาหมีห้อยพวงกุญแจที่โผล่พ้นกระเป๋ากางเกงออกมา ก่อนจะพึมพำทำนองว่า “เหลือเกินจริง ๆ เล้ย” ด้วยสำเนียงเฉพาะตัวพลางส่ายหัวไปด้วยเล็กน้อย 

     

    นี่ค่อยเป็นพิธีกรรมที่พวกเขาคุ้นเคยขึ้นมาหน่อย ต่อให้หลังจากนั้นจะตามมาด้วยช่วงเวลาไร้เสียงอึดใจใหญ่ก็ไม่ทำให้ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด บ่อยครั้งทีเดียวที่ท่าทีนิ่งงันตามธรรมชาติของฮันซลจะทำให้คนอื่นสับสนจนกระอักกระอ่วน ส่วนความเงียบของมนุษย์ที่ไม่เคยอับจนคำพูดอย่างซึงกวานนั้นออกจะน่ากลัวสำหรับคนรอบข้างไปสักนิด แต่สำหรับพวกเขาทั้งคู่ — อย่างน้อยก็สำหรับฮันซล บทสนทนาเป็นเพียงส่วนเสริมแต่งให้การมีอยู่ของมนุษย์ก็เท่านั้น ถ้าซึงกวานพูด เขาจะฟัง และถ้าเขาพูด ซึงกวานจะพูดด้วยหรือไม่ก็ขำท้องคัดท้องแข็งในบางครั้ง ส่วนอย่างอื่นนอกเหนือจากนั้นแทบไม่ต่างกับการหายใจ

     

    ปลายเท้าของซึงกวานแตะปลายเท้าของฮันซล จากนั้นเจ้าตัวก็ออกแรงเขี่ยเบา ๆ แต่มากพอให้เขาแปลกใจและยกเท้าขึ้นจากพื้น เศษผักกาดหอมส่วนหนึ่งห้อยรุ่งริ่งอยู่ใต้รองเท้าผ้าใบอย่างน่าสงสาร ขณะที่ส่วนที่เหลือนั้นแทบจะแหลกละเอียดเป็นหย่อมสีคล้ำจนยากระบุได้ว่าคืออะไร

     

    “บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนไอ้นี่เลย” ซึงกวานว่า พอพูดจบ ใบผักกาดหอมที่ติดพื้นรองเท้าของฮันซลอยู่ก็หล่นแผละลงมาได้จังหวะทันที

     

    เขาส่งเสียง “หือ” เป็นคำถาม คาดหวังว่าจะได้ฟังอีกฝ่ายร่ายยาวหลังจากปล่อยให้เขาแทบระเหิดหายกลางแดดหน้าร้อนนานถึงป่านนี้ แต่จนแล้วจนรอด ชั่วขณะที่เฝ้าคอยก็ยังไม่มาถึง วาจาเจื้อยแจ้วของพิธีกรประจำโรงเรียนและนักจัดรายการดาวรุ่งหล่นหายไปในความเปล่าและถูกแทนที่ด้วยโซนาตาสักบทของโมซาร์ท ปนกับเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของคนสองคนที่ฮันซลดูไม่ออกว่าเป็นใครตรงกลางสนาม ระหว่างนั้นซึงกวานแค่ยกแขนเสื้อที่พับไว้ถึงข้อศอกมาซับเหงื่อตรงหน้าผากแล้วฮัมท่วงทำนองที่ได้ยินราวกับว่าบทสนทนาก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น

     

    ผักกาดหอมหวนคืนสู่ตำแหน่งเดิมด้วยสภาพที่เลวร้ายกว่าเก่า ฮันซลครุ่นคิดถึงมันอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกไปว่า “ฉันก็เป็นงั้นเหมือนกัน”

     

    “เป็นงั้นคือเป็นไง”  

     

    ฮันซลพยักเพยิดไปทางวัตถุแห่งความสนใจที่อยู่ตรงเท้า เพียงเท่านั้นคนข้างตัวเขาก็ส่งเสียงไม่เห็นด้วยออกมาทันที 

     

    “พูดเป็นเล่น” น้ำเสียงของซึงกวานฟังดูกล่าวหา ฮันซลไม่แน่ใจว่าเขาควรรู้สึกดีใจหรือเสียใจดี อันที่จริงเรื่องอารมณ์ผักกาดหอมไม่ได้ทำให้เขาทุกข์ระทมอีกต่อไปแล้ว มันอาจเคยทำให้เขาวิตกกังวลอยู่บ้างสมัยยังเด็กกว่านี้ ทุกครั้งที่ส่องกระจกก่อนไปโรงเรียนหรือต้องแบ่งกลุ่มเตะฟุตบอลในคาบพละ แต่ทุกวันนี้กลับเป็นเรื่องงั้น ๆ มิหนำซ้ำวิถีทางไม่แยแสโลกแบบนั้นดันทำให้คนอื่นหันมาเคารพนับถือเขาหน้าตาเฉย ฮันซลเหลือบมองซึงกวานทำหน้ามู่ทู่ เรือนผมด้านหลังของอีกฝ่ายโดนลมร้อนพัดจนยุ่ง ใคร ๆ ก็ชอบบูซึงกวาน — เมื่อห้านาทีก่อนเขามั่นใจในเรื่องนี้เหมือนเป็นสัจธรรม

     

    “บนโลกนี้มีคนไม่ชอบผักกาดหอมเป็นธรรมดา” ฮันซลยักไหล่ “เพราะงั้นผักกาดหอมอาจจะไม่แคร์ก็ได้”

     

    ร่องรอยอารมณ์ที่ปรากฏบนหน้าคนฟังมีทั้งงุนงง ครุ่นคิด อึ้งทึ่ง แล้วก็กลายเป็นเคร่งขรึม ซึงกวานเท้าคางพลางขมวดคิ้ว ดูจริงจังเสียยิ่งกว่าตอนเสิร์ฟบอลชิงแต้มชี้ชะตาการแข่งขัน หลายครั้งเวลาที่พูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ซึงกวานมักชอบหยุดไปดื้อ ๆ แล้วมองเขาด้วยสีหน้าแบบนี้เหมือนกัน 

     

    “แต่ผักกาดหอมน่าจะแคร์นะ” ซึงกวานว่า ท่าทางดูลังเล

     

    “งั้นผักกาดหอมคงแคร์แค่คนที่ชอบผักกาดหอมแหละ”

     

    ฮันซลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบทสนทนามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร สุดจะคาดเดาเช่นกันว่ามันจะหันเหไปในทิศทางไหน เขาเพียงแค่ตอบออกไปง่าย ๆ เหมือนไม่ทันคิดเพราะไม่มีความจำเป็นต้องคิดให้ยุ่งยากกว่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจเมื่อเห็นแววตาของซึงกวานอ่อนโยนลงกะทันหัน เจ้าตัวเม้มปากกลั้นขำทั้งที่ไหล่สั่นกึก ก่อนจะวางมือบนต้นขาของฮันซลเพื่อยึดไม่ให้ตัวเองหัวเราะลั่นแล้วล้มกลิ้งไปกับพื้น เขาได้แต่นั่งนิ่ง รอจนกระทั่งลมหายใจของซึงกวานกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

     

    “เหรอ” ซึงกวานเอ่ย “แต่ฉันชอบนายนะ”

     

    ฮันซลคิดว่าตัวเองเป็นคนแปลกแล้ว แต่บางครั้งคนข้าง ๆ กลับทำให้ประหลาดใจได้ยิ่งกว่า ซึงกวานยิ้มกริ่มและยักคิ้วหลิ่วตาเหมือนภูมิใจที่ตนโพล่งคำนั้นออกมาอย่างง่ายดาย

     

    ด้วยเหตุนั้น ฮันซลจึงตอบกลับไปว่า “ฉันก็ชอบนาย” 

     

    อีกฝ่ายทำท่าผงะไปเล็กน้อย แต่ก็เพียงครู่เดียวก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วส่งเสียงที่ใครได้ยินคงคิดว่าจงใจหาเรื่องเข้าให้ ปิดท้ายด้วยอาการถอนหายใจพ่วงกับจิ๊ปากแบบที่อาจารย์ฝ่ายปกครองชอบทำเวลาเห็นฮันซลใส่เฮดโฟนแล้วเดินใจลอยไปตามทางเดิน

     

    “ว่าแต่ว่า” ซึงกวานยืดหลังตรง ยกมือขึ้นมาป้องดวงตาขณะเงยหน้ามองท้องฟ้า “นี่มันจะร้อนเกินไปไหมเนี่ย”

     

    ฮันซลคิดว่าน่าอัศจรรย์ใจดีที่ซึงกวานใช้เวลานานขนาดนี้กว่าจะสรุปได้ เขาลุกขึ้นยืน ยัดห่ออาหารกลางวันที่เหลือลงกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นมือให้คนข้าง ๆ แบบที่ใครก็ย่อมรู้ความหมาย ซึงกวานยอมปล่อยตัวไปตามแรงดึงของเขาอย่างว่าง่าย จากนั้นค่อยเอี้ยวตัวไปปัดฝุ่นบนกางเกงและหันกลับมาทำหน้าตาสงสัยเมื่อเห็นว่าฮันซลยังไม่ขยับไปไหน

     

    “ฉันหิว” เขาพูดหน้าตาย 

     

    ซึงกวานพ่นลมขำดังพรืด นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปริศนาที่ยังไม่ได้รับการแถลงไข เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมคนที่มีพรสวรรค์ในการทำให้คนรอบข้างยิ้มและหัวเราะแทบทุกลมหายใจเข้าออกอย่างซึงกวานถึงคิดว่าเขาตลกนัก แต่เนื่องจากมันเป็นเสียงหัวเราะที่ปราศจากแววเย้ยหยันใดๆ เขาจึงอยากเก็บความรู้สึกอุ่นวาบในอกเวลาได้ยินมันไว้นาน ๆ 

     

    “ไปมาร์ทกันเถอะ” ซึงกวานว่า คว้าข้อมือของฮันซลอีกครั้ง “พูดแล้วอยากกินไอติมโซดาขึ้นมาเลยเนี่ย”

     

    พวกเขาเดินลงบันไดเตี้ย ๆ มาได้ไม่กี่ก้าว ลูกเบสบอลก็ลอยหวือเฉียดศีรษะของฮันซลแล้วกลิ้งหลุน ๆ ไปหยุดบนทางเท้าข้างหน้า เขาได้ยินเสียงโหวกเหวกไล่หลังมาตอนกำลังก้มลงไปเก็บมันพอดี ซึงกวานถอนใจเบื่อ ๆ แล้วพึมพำชื่อรุ่นพี่ปีสุดท้ายสองคนที่คาดว่าอยู่เบื้องหลังเสียงตะโกน “โฮมรัน!” เมื่อครู่นี้ หนึ่งในนั้นโบกไม้โบกมือขอลูกบอลคืนยกใหญ่ ผมสีบลอนด์ที่เจ้าตัวน่าจะย้อมฉลองปิดเทอมสะท้อนแดดสว่างไสวจนเหมือนเรืองแสงได้จากกลางสนาม 

     

    ฮันซลเขวี้ยงลูกกลับไปสุดแรง แม้จะไม่ถึงมือรุ่นพี่ แต่คนอัธยาศัยดีที่ซึงกวานเผลอเรียกว่า “ควอนซุนยอง ไอ้บ้าเอ๊ย” ก็วิ่งมาเก็บมันไปอย่างร่าเริงก่อนจะตะโกนขอบคุณเสียงดัง บทเพลงคลาสสิกจากชมรมกระจายเสียงจบลงแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นซิงเกิ้ลล่าสุดของวงไอดอลหญิงที่ซึงกวานชื่นชอบ มือของฮันซลแกว่งไกวไปตามจังหวะเพลงฮิตประจำหน้าร้อนตามการนำของอีกฝ่าย ขณะที่ฝีเท้าของพวกเขาเคลื่อนไปใต้ร่มชายคาของอาคาร มุ่งหน้าไปสู่ร้านค้าที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำพร้อมกัน

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
lchnp (@wwcat)
ชอบมากเลยค่ะ อ่านแล้วนึกถึงหน้าร้อนจริงๆ แล้วก็เหมาะกับสองคนนี้มากๆด้วย ชอบความเงียบระหว่างสองคนนี้มากเลย เป็นความเงียบที่ดี TT บทสนทนาน้อยแต่มาก ชอบที่มันเริ่มต้นจากเศษผักกาดบนพื้น (เอ็นดูตอนฮันซลบอกว่าฉันหิวมากเลยค่ะ?) ขอบคุนที่เขียนขึ้นมานะคะ