หรือที่ประชาชนทั่วไปเรียกติดปากว่า "มอ." ผมมาหาดใหญ่ไม่บ่อยนัก
ถ้าไม่มีอะไรผมมักจะมองข้ามไปเสมอด้วยความที่เป็นคนพัทลุง บ้านใกล้เรือนเคียง
เลยมักคิดว่าที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรจนผมได้พบกับเธอ ทำให้สายตาของผมมองที่นี่เปลี่ยนไป
เธอเพิ่งเรียนจบหมาดๆจากรั้วศรีตรัง
เราคุยกันมาสักระยะหนึ่งเธอเลยชวนผมมาเที่ยวหาดใหญ่
ผมลังเลอยู่พักหนึ่งเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไร และไม่ชอบนั่งรถตู้เป็นการส่วนตัว
แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อความคิดถึงจึงนั่งรถตู้มาหา
เธอขี่มอเตอร์ไซค์ฟีโน่สีส้มมารับผมหน้าโรงพยาบาล
ที่ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัย และ โรงพยาบาลในที่เดียวกัน
ผมเคยมาหาหมอที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อตอนมัธยมต้นมาตรวจฟัน และอุดฟันนิดหน่อย
นับแต่นั้นมาก็ไม่ค่อยได้มาหาดใหญ่เลย
ผู้ป่วยหลายรายและญาติเดินผ่านผมไปบางคนมีเฝือกที่แขน มีไม้เท้าค้ำ ยืนริมฟุตปาธเพื่อรอขึ้นรถกลับบ้าน
ผมนั่งรอเธออยู่ที่ม้านั่งสีน้ำตาลบนฟุตปาธ รอไม่กี่อึดใจเธอก็มารับ
พร้อมกับรอยยิ้มอันแสนสดใสเหมือนในรูปโปรไฟล์เฟสบุ๊ก
ผมซ้อนท้ายเธอออกสู่ถนนหลัก เมืองหาดใหญ่รถค่อนข้างแน่นขนัด
เธอขับเลี้ยวไปตามซอกซอย ก่อนจะมาออกหลังมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นหอพักที่เธอพักอยู่
หอพักแทรกตัวอยู่หลังร้านรวงและคาเฟ่
ตลอดข้างทางมีแต่ ร้านน้ำชา ร้านน้ำชา และ ร้านน้ำชา
สงสัยคนที่นี่กินน้ำชาเป็นอาหารหลัก เพราะขับไปทางไหนก็มีแต่ร้านน้ำชา
สงสัยคืนนี้ต้องมาลองกินน้ำชาที่นี่แล้วล่ะ
หลังจากนำของไปเก็บที่พัก เราก็ออกเดินทางเที่ยวเมืองหาดใหญ่
หาดใหญ่เป็นเมืองที่มีไฟแดงเกือบทุกสี่แยก และไฟแดงมักจะเริ่มต้นที่ 99
เธอบ่นว่าผมเป็นตัวซวย ผ่านเส้นไหนก็ติดไฟแดงตลอด
จริงๆมันก็ดีแหละ ทำให้ผมได้ใกล้ชิดเธอมากยิ่งขึ้น
เธอพาผมขับรถมายังวัดฉื่อฉาง จอดรถไว้ริมกำแพงวัด
เราเดินถ่ายรูปเล่นกัน ผมเอากล้องฟิล์มมาด้วย
เธอบอกวัดนี้สร้างตั้งแต่เธอยังเรียนมัธยมจนป่านนี้ยังสร้างไม่เสร็จเลย
ผมแหงนหน้ามองหลังคาวัด เห็นนั่งร้านมีคนงานทำงานอยู่หนึ่งคนส่วนอีกคนผสมปูนอยู่ข้างล่าง
คงจะจริงอย่างที่เธอว่า "กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว วัดฉื่อฉางก็เช่นกัน"
วัดฉื่อฉางเป็นวัดจีน มีเจดีย์สีขาวสลักอักษรจีนหลังคากระเบื้องสีส้มอ่อน
ตั้งอยู่มุมสี่แยกพอดีแยกนั้นจึงได้ชื่อว่า "แยกฉื่อฉาง"
รวมๆแล้วเป็นวัดที่สวยสดงดงาม หากสร้างเสร็จจะสวยกว่านี้แน่ๆ
ผมจำได้สมัยมัธยมปลาย เคยมาเล่นสงกรานต์ที่หาดใหญ่
แต่ที่นี่เขาเล่นสงกรานต์กลางคืนกัน เลยเรียกกันว่า "มิดไนท์หาดใหญ่"
ผมเช่าห้องพักตรงข้ามวัดฉื่อฉาง ตอนนั้นวัดก็ยังสร้างไม่เสร็จ
ผ่านไปห้าหกปี กลับมาเยี่ยมที่นี่อีกครั้ง วัดก็ยังสร้างไม่เสร็จอยู่ดี
หากวันไหนสร้างเสร็จผมจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้งแน่นอน
เราเดินกันมาเรื่อยๆจนถึงตลาดกิมหยง
ย่านจับจ่ายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในหาดใหญ่ มีของนำเข้าและขึ้นชื่อจากมาเลเซียและอินโดนีเซียมาขายเช่น เกาลัด , หัวครก (เม็ดมะม่วงหิมพานต์) , ผลไม้อบแห้ง , รวมไปถึงเสื้อผ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า
แม่ค้าแม่ขายเรียงรายเต็มฟุตปาธ ผู้คนหลากเชื้อชาติเดินกันเต็มถนน
เราถ่ายรูปกันหลายรูป ถ่ายกับตึกบ้าง ถนนบ้าง เซลฟี่บ้าง ถ่ายด้วยกันบ้าง
ย่านนี้ค่อนข้างคึกคัก ถึงแม้อากาศจะร้อนอบอ้าว
แต่นักท่องเที่ยวก็ยังออกจากที่พักมาเที่ยว มาซื้อของใช้ของกิน
"ถ้าจะเที่ยวก็อย่ากลัวแดด" เธอบอกไว้
เดินมาสักพักก็เริ่มหิว เราเลยแวะกินร้านอาหารมุสลิมกัน
ในร้านมีนักท่องเที่ยวมาเลเซียนั่งกันเต็มโต๊ะ เราเลยนั่งโต๊ะตัวหน้าสุดที่ว่างอยู่
เมนูประจำที่มีทุกร้านก็น่าจะเป็น "ซุปเนื้อกับข้าวไข่เจียว"เราสั่งเมนูนี้
และเพิ่มไก่ทอดหาดใหญ่อีกหนึ่งจาน หากมาหาดใหญ่แล้วไม่ได้กินไก่ทอดก็เหมือนมาไม่ถึงนั่นแหละ
อาหารมาเสริฟเราก็ทานกันอย่างเอร็ดอร่อยซุปเนื้อร้อนๆ ใส่หอมเจียวกรอบๆ
ทานกับไข่เจียว ส่วนไก่ทอดหาดใหญ่ก็ทอดจนกรอบ ชุ่มน้ำมันนิดหน่อย
เป็นมื้อหนึ่งที่อร่อยและยากที่จะลืมเลือนเสียจริงๆ
หลังจ่ายเงินเสร็จเราก็เดินย้อนกลับทางเดิมเนื่องจากจอดรถไว้หน้าวัดฉื่อฉาง
จึงทำให้ต้องเดินกลับเป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลกว่าๆ
ระหว่างทางก็ซื้อไอติมโบราณ ผลไม้ เดินกินกันมาเรื่อยๆเดินมาถึงรถเล่นเอาเหงื่อท่วมหลัง
"หากาเฟอีนดื่มกัน" เธอกล่าวก่อนสวมหมวกกันน็อคและรัดสายรัดคาง"ผมซ้อนท้ายเธอมาที่ร้านแถวถนนคลองเรียน ร้านกาแฟเล็กๆติดคลินิคหมอ
Dham-má-daa คือชื่อของร้านนี้ เรียกชื่อไทยๆว่า ธรรมดา นั่นแหละ
เมื่อผลักประตูร้านเข้าไป กลิ่นกาแฟชำแรกเข้ามาอบอวลอยู่ในโพรงจมูก
บาริสต้ากล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับยื่นเมนูให้
บรรยากาศร้านเป็นร้านเล็กๆ ผนังปูนเปลือยและติดกระจกเป็นช่องๆ
ในร้านโต๊ะไม้มะฮอกกานีและเก้าอี้ไม้วางเรียงราย มีประตูไม้เชื่อมต่อกับคลินิคบนโต๊ะมีต้นแคคตัสกระถางเล็กๆวางไว้สองสามกระถาง ผมสั่งอเมริกาโน ส่วนเธอสั่งมัคคิอาโต้ พร้อมกับขนมปังครัวซองต์นมสดเธอเสพติดกาเฟอีนมากกว่าผม แต่ผมเสพติดเธอมากกว่าใครๆ
กาแฟมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมกรุ่น แอร์เย็นฉ่ำทำให้เสื้อที่เปียกแห้งเร็วขึ้น
นั่งดูรูปที่ถ่ายมาด้วยกันในกล้องมือถือภาพรอยยิ้มของสองเรา ภาพตลาดนัดกิมหยง ภาพวัดฉื่อฉางผมอัพโหลดรูปลงเฟสบุ๊ก เพื่อนหลายคนที่มาเรียนที่หาดใหญ่เข้ามาทักทาย"ไว้ว่างๆเจอกัน" ผมตอบกลับไป แต่ไม่รู้จะว่างตรงกันเมื่อไหร่ ผมได้แต่คิดในใจ
หลังจากดื่มกาแฟหมดถ้วย เธอก็ชวนผมไปกินโรตีที่หน้าหอพัก
เป็นครั้งแรกที่ผมได้กินโรตีอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า มะตะบะ
เป็นโรตีผสมแป้งน้ำแกงไส้มั่สมั่นไก่ กินคู่กับอาจาดแตงกวา
รสชาติแป้งนุ่มๆกับน้ำแกงเผ็ดๆกินแก้เลี่ยนกับอาจาด และซดชาร้อนๆตาม
ผมชัดจะติดใจหาดใหญ่เสียแล้วสิ
ระหว่างทางกลับหอพักฝนก็เทลงมา มวลอากาศร้อนระเหิดหาย
สายฝนชะล้างคราบเขม่าควันตามผนักตึก ก่อนเม็ดฝนจะร่วงลงสู่ท่อระบายน้ำ
ผมมาถึงหอพักเธอในสภาพเปียกปอน เราย่ำเท้าขึ้นบันไดไปชั้นแปด
เพราะหอพักเธอไม่มีลิฟต์ เราจึงทั้งหอบทั้งเปียกไปตามๆกัน
เมื่อมาถึงห้องพัก เธอโยนผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กๆให้เช็ดผม
ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝักบัวและเสียงฟ้าฝนนอกระเบียง
ผมสำรวจห้องพักของเธอในระหว่างเช็ดผม โต๊ะญี่ปุ่นที่ได้จากการแลกแสตมป์เซเว่นวางอยู่มุมห้องหนังสือ มูราคามิ ที่เธอชอบอ่านวางกองอยู่บนโต๊ะ
เตียงนอนปูด้วยผ้าปูที่นอนสีฟ้าอ่อน
ระเบียงมีต้นไม้ที่มีที่เขี่ยบุหรี่เสียบอยู่เต็มไปหมด
แต่ไม่เห็นซองบุหรี่ ผมไม่ยักรู้ว่าเธอสูบบุหรี่ด้วย
ตอนเราจูบกันครั้งแรกก็ไม่ได้กลิ่นบุหรี่
มีแต่กลิ่นมิ้นท์ของหมากฝรั่งเดนทีน
อาจเป็นที่เขี่ยบุหรี่ของใครสักคน
อาจจะเป็นเพื่อนสาวของเธอหรือคนรักของเธอ
แต่ก็ช่างเถอะ มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรหรอก
ถึงแม้ว่าคืนนี้เราจะอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่าเราจะรักกันต่อไม่ได้
แต่ตอนนี้ผมก็รักหาดใหญ่ไปเสียแล้วล่ะ.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in