ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่กลางวงล้อมของเหล่ากะลาสีในร้านเหล้าซอมซ่อแห่งหนึ่งย่านท่าเรือ เขาเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแปลกตาของคนต่างถิ่น
ดวงตาข้างหนึ่งถูกปิดไว้ด้วยเรือนผมสีดำสนิท เขายกมือขึ้นมากุมมันไว้เมื่อมีใครบางคนเอ่ยถามขึ้น แย้มยิ้มบางเบา แล้วเริ่มเล่านิทาน
"นี่คือเรื่องที่ข้าได้ฟังมา" เขาเกริ่น สอดส่ายสายตาข้างที่เป็นอิสระไปทั่ววง แล้วทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นสายตาเป็นคำถามส่งมาจากหนึ่งในผู้ล้อมวงอยู่โดยรอบ
"ท่านไม่คิดว่าข้าจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็กได้ทั้งหมดหรอกใช่ไหม" เขาขมวดคิ้วพลางหัวเราะ
"นี่คือเรื่องที่ข้าได้ฟังมา" เขาเกริ่นอีกครั้ง แล้วว่าต่อ "ดังนั้น...หากมันจะมีคำโกหกใดปลอมปนอยู่ในสิ่งที่ข้าเล่า ก็ขอให้พวกท่านรู้ไว้ คำโกหกนั้น ไม่ได้มาจากข้าแต่อย่างใด" ชายหนุ่มกล่าวถ้อยคำอันเป็นธรรมเนียมของพวกนักเล่านิทาน แล้วเริ่มเรื่องของตน
" มาจะกล่าวบทไป เมื่อท่านถามไซร้
ข้านี้จะเล่าแบ่งปัน
เหตุที่ข้าป้อมป้องกัน ดวงตาข้านั้น
จากการสบพบกับใคร
เรื่องนี้ต้องย้อนกาลไกล ในอดีตไซร้
มีหนึ่งนครมนตรา
ฟุ้งเฟื่องรุ่งเรืองพรรณา ปราสาทพลับพลา
ปูลาดฉาบด้วยเนื้อทอง
ครอบครองด้วยปิศาจจอง ลงมนตร์คุ้มครอง
สาปไว้มิให้ใครกราย
หากนานเข้าเหล่าภูตพราย โยกออกยักย้าย
นครแห่งทองร้างลง
แต่ทรัพย์แลทองยังยง พร้อมคำสาปคง
ยืนยาวคู่เคียงนคร
มนุษย์ผู้เร่แรมรอน ล่องผ่านสาคร
ค้นพบนครมนตรา
ความโลภเข้าครองใจพา ให้เข้าค้นหา
หยิบย้ายทรัพย์แห่งเมืองทอง
คำสาปปรามปราบผู้ปอง ขโมยทรัพย์ของ
เหล่าปีศาจผู้ลงมนตร์
ผู้ใดบังอาจหยิบค้น มันจักอับจน
ต้องทนทุกข์ทดหมองใจ
ข้าคือผู้ต้องผองภัย แห่งคำสาปร้าย
ฐานเข้าแตะต้องเมืองทอง
ดวงตาข้าไม่อาจมอง ไม่อาจสบจ้อง
ความงามแห่งโลกใดใด
ซ้ำร้ายยังอาจแพร่ภัย ไปยังผู้ใกล้
ผู้พบสบจ้องมองตา
นั่นคือเหตุผลที่พา ให้ข้าบังตา
ปิดซ่อนเนตรพ้นผู้มอง"
เขาคลายมือออกจากดวงตาข้างนั้นเมื่อเรื่องเล่าจบลง หรี่ตามองท่าทางหวาดหวั่นของเล่ากะลาสีผู้หวั่นไหวไปกับคำสาป แล้วว่าต่อด้วยนำ้เสียงข่มขู่ของผู้ใหญ่ที่ขู่เด็กให้นอนด้วยเรื่องผี
" แต่หากท่านยังหมายปอง ค้นหาคับข้อง
พิสูจน์คำสาปด้วยตน
ก็ขอเชิญท่านมาค้น สบตายินยล
ข้าจักร่วมมือด้วยดี "
-------------------------------------------------
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in