แด่ ประชาชนที่เคารพ และประชาธิปไตยที่ฝันใฝ่
พวกเราลิ้มรสขมของความอยุติธรรมนี้มานานพอแล้ว ถึงคราวที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลง เราจำเป็นต้องต่อสู้หากเผชิญหน้ากับการกดขี่อันไม่เป็นธรรม การแสวงหาซึ่งความหวังเป็นสิ่งที่สมควรทำ เป็นสิ่งที่ผลักดันให้เราก้าวต่อไปในยามพรุ่งรุ่งวัน แม้ว่าอนาคตจะเลืองลางมากแค่ไหน ถึงกระนั้นแล้ว จะทนเช่นนี้อยู่ต่อไปหรือ เราอดทนมามากมายเหลือเกินเหล่าพี่น้องเอ๋ย มันถึงเวลาแล้ว จงทำตามเสียงกังวาลของหัวใจประสานกับเสียงจังหวะกลองระรัวก้องแห่งความห้าวหาญ หากมีสิ่งใดเป็นอุปสรรคขวากหนามขวางทาง เราจะพลีกายจนหมดแรงล้าทว่าไม่หวั่นเลยแม้สักครา จงหยัดยืนลุกขึ้นสู้แล้วความยุติธรรมจะนำพา ให้ได้มาซึ่งสิทธิ์เสรีที่ต้องการ ซึ่งไม่ใช่พวกมันที่ต้องหยิบยื่นให้เรา มันเป็นของเรามานับตั้งแต่กำเนิดบนแผ่นดินนี้ พวกมันจักต้องมอบคืนแก่เรา จงโกรธให้มากพอ จงร่ำไห้ให้มากพอ แล้วยืนขึ้นเปร่งเสียงกู่ร้องร่วมเป็นทำนองแห่งความเกรี้ยวกราดให้โลกได้ยินเสียงของพวกเรา เสียงของผู้คนที่ไม่ยอมเป็นทาสต่ออำนาจใด อย่ามิเกรงกลัวมัน พวกมันสิต้องยำเกรงเรา อย่ายอมทนก้มหน้าฝืนต่อกระบอกปืนที่ชี้หน้าเรา อย่ามิให้มันเหยียบย่ำเราจนเคยชิน จงรำลึกหลายชีพที่พลีกายอุทิศชีวิตให้ จงภูมิใจในความอาจหาญของตน หนึ่งคนมิอาจมีชัยได้ แต่หนึ่งคนที่ออกมานั่นคือแรงผลักดันให้อีกหลายสิบหลายร้อยหลายหมื่นหลายแสนและหลายล้านออกมายืน ดุจดังดวงประทีปที่แผ่ไปทั่วเมืองกรุง เป็นพลังแกร่งกล้า มหาศาลที่ผู้ใดก็มิอาจต้านทานได้
.
.
.
.
ในเพลานี้ ใกล้รุ่งอรุณ ทุกคนทำได้ เอาชนะการกดขี่ข่มเหงอันสุดแสนจะยาวนาน เอาชนะความกลัวในจิตใจเรา พวกเรายืนอยู่ ห้อมล้อมรอบ ณ ใจกลางเมืองกรุง คับคั่งด้วยผู้คนนับล้านซึ่งแตกต่างกันทั้งอายุ เพศและสีผิว วัยเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน วัยชรา เกย์ เลสเบี้ยน คนข้ามเพศ คนพิการ ฯลฯ ผู้เป็นประชาชนของประเทศนี้ มิได้แตกต่างกันเลย สายโลหิตของพวกเราต่างเป็นสีแดงฉานกันทั้งนั้น แม้ทีนั่นจะเงียบเชียบมากเพียงใด เรากลับได้ยินเสียงดนตรีของผู้คน 'เพลงแห่งเสรีภาพ' ประชาชนทอดสายตามองตรงไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน 'อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย' ณ เพลานี้มันช่างรุ่งโรจน์ ส่องสว่างด้วยความหวังที่เหลือล้น เต็มเปี่ยมด้วยความกล้าหาญที่กล้าแกร่ง และความอดทนซึ่งขาดสะบั้นลงของประชาชน เป็นเวลาที่ควรถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์เอาไว้ชั่วกัปชั่วกัลป์ ส่งต่อความสำเร็จนี้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้และจดจำ ณ เพลานี้ ดวงตะวันโผล่พ้นฟ้าในทิศตะวันออกดั่งเช่นที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือความโมโหโกรธาที่มลายหายไป กลับแทนที่ด้วยความเกษมศรี ท้องฟ้าสีทองส่องสว่างปกคลุมทั่วผืนแผ่นดิน เหมาะกับการเริ่มต้นวันใหม่เป็นอย่างยิ่ง บนใบหน้าของผู้คน ปรากฏรอยยิ้มที่เหนื่อยล้า น้ำตาที่เปี่ยมล้นด้วยความปลื้มปิติ พวกเราต่างจับมือและโอบกอด เช็ดน้ำตาให้แก่กันและกัน, วันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และจะไม่มีสิ่งใดกดขี่พวกเราได้อีกต่อไป
— ประชาชนคนหนึ่งที่ไม่คิดก้มหัวให้กับอำนาจเผด็จการ, ปรารถนาซึ่งสิทธิเสรีภาพ
'ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า
ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ
ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน
ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป
เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่
ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน'
— สิบสี่ตุลา, วิสา คัญทัพ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in