เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Only Time Will TellBUNBOOKISH
03: No Judgement Zone

  •  
  • ตอนแรกก็ว่าจะยกประโยชน์ให้กับวัยที่เพิ่มมากขึ้นที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่อยากออกไปตะลอนนอกบ้านในวันหยุดเพราะรู้สึกสูญเสียพลังงานทั้งร่างกายและจิตใจอย่างล้นเหลือ แต่พอหันมามองสายตาจากเหล่าหมาและแมว ก็จำเป็นต้องยกประโยชน์ให้กับสิ่งมีชีวิตตาปริบๆ ทั้งสามตัวในบ้านแทน นี่แหละสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากออกจากบ้านไปไหน และยังทำให้กิจกรรมในวันหยุดของผู้เขียนจำกัดและวนเวียนอยู่ไม่กี่อย่างคือ 1. อ่านหนังสือ 2. ดื่มกาแฟอร่อยๆ 3. เล่นกับหมา-แมว และแม้จะไม่อ้างอิงประโยชน์ของการมีสัตว์เลี้ยงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีผลการวิจัยออกมาสนับสนุน เช่น ทำให้ผ่อนคลายความเครียด ความดันโลหิตลดลง ฯลฯ ผู้เขียนว่าตัวเองก็ได้ประโยชน์และบทเรียนมากมายจากการมีสัตว์เลี้ยงจนเกินจะเอ่ยได้ทั้งหมดในที่นี้ แต่เรื่องหนึ่งที่เห็นว่าน่าจะพูดถึงเป็นอันดับต้นๆ และถือเป็นวาระเร่งด่วนส่วนตัวก็คือ การได้เรียนรู้ที่จะไม่ตัดสินสิ่งใด หรือพูดอีกอย่างว่า การยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นอย่างแท้จริง

    วันหยุดที่ได้นอนขลุกอยู่กับหมาและแมว คือวันแห่งการหยุดตัดสิน ดี เลว สวย โทรม อ้วน ผอม สูง ต่ำ ดำ ขาว ฯลฯ เพราะไม่ว่าจะเดินลงมาจากห้องนอนสภาพไหน เราก็ยังเป็นเราที่เจ้าสามตัวในบ้านรอคอยที่จะกระโดดเข้าใส่ด้วยความรักใคร่ราวกับไม่เจอกันมาสักสิบปี

    การที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่เป็นเรื่องที่สำคัญไม่ใช่เล่นเลยจริงๆ เพราะมันคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าเราเกิดมาไม่เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่โลกภายนอกที่เราต้องออกไปเผชิญในแทบทุกวันนั้นไม่ค่อยอนุญาตให้เราแสดงความเป็นตัวเองได้มากนัก ด้วยเหตุผลของกรอบและกฎเกณฑ์ที่กำหนดโดยสังคม ถ้าเราไม่เป็นอย่างที่เขาคาดหวังให้เป็น ก็กลายเป็นว่าปัญหามาตกอยู่ที่เรา หาใช่คนที่คาดหวังกับเราไม่ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังอยู่ในยุคที่โซเชียลมีเดียทำหน้าที่ได้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่การเป็นกรรมการร่วมกันตัดสินว่าสิ่งนี้ดีและจัดการแยกแยะให้เสร็จสรรพว่าสิ่งนี้ไม่ดี เส้นแบ่งของพื้นที่ส่วนตัวเลยเบาบางจางลงไปทุกที จนลืมไปแล้วว่ามันเคยมีเส้นแบ่งและเราเคยมีความสุขอยู่หลังเส้นแบ่งนั้นมากเพียงใด

  • โลกภายนอกที่เราต้องออกไปเจอไม่ได้มีแต่สายตาของคนแปลกหน้ารอบตัวเราเท่านั้นที่คอยจ้องมองและตัดสินว่าวันนั้นเราเป็นคนแบบไหน ดีหรือแย่ อ้วนหรือผอม โทรมหรือสวย แต่งตัวเข้าหรือไม่เข้ากับรูปร่าง เลยเถิดไปจนกระทั่งว่ากรีดอายไลเนอร์เข้ากับใบหน้าหรือไม่ แต่วันไหนโชคร้ายหน่อย เราก็จะพบว่ายังมีสายตาของคนแปลกหน้าที่อยู่ไกลตัวเราอีกมากมายนับร้อยนับพันกำลังจ้องมองเราผ่านสายตาของคนแปลกหน้าที่อยู่ใกล้ตัวเราอีกที พวกเขาพกพาโทรศัพท์มือถือไว้รายงานสถานการณ์ด้วยการถ่ายและโพสต์รูปของเราทิ้งไว้บนโซเชียลมีเดียหลากหลายช่องทาง จากนั้นก็เปิดประเด็นที่เขาคิดว่าขวางหูขวางตา เพื่อให้เพื่อนและเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนเข้ามาแสดงความเห็น วิพากษ์วิจารณ์กันแบบย่อยยับสับแหลกถึงสิ่งที่เราเป็นและทำอยู่ พูดง่ายๆ คือฟ้องโลกว่าเราทำในสิ่งที่เขาคิดว่าไม่ดี ไม่เหมาะสม ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันแม้แต่ชื่อ ไม่เคยพูดคุยกันแม้แต่ครั้งเดียว อย่าว่าแต่จะคุ้นเคยกับนิสัยใจคอเลย

    ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่าให้หลีกเลี่ยงโลกภายนอก เพราะมันเป็นไปไม่ได้ และเอาเข้าจริงๆ เราก็มีสิทธิ์จะใช้ชีวิตในสังคมตามแบบของเรา ตราบใดที่ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร สิ่งเดียวที่เราพอจะทำได้ก็คือ ฝึกความแข็งแกร่งที่จะไม่โอนเอนไปตามกระแสวิพากษ์วิจารณ์ (จากใครก็ไม่รู้) ยอมรับและเคารพตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เพื่อที่เราจะได้เข้าใจหัวอกคนอื่นว่าเขาก็ต้องการให้คนเคารพเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน ที่สำคัญคือ เราต้องไม่เป็นส่วนหนึ่งของการก้าวล่วงชีวิตคนอื่น และต้องเข้าใจเสียใหม่ว่าการไปวิพากษ์วิจารณ์คนแปลกหน้าในเรื่องที่เราก็ไม่ได้รู้จักเขาดีพอนั้น นับว่าเป็นพฤติกรรมของคนไร้มารยาททางสังคมที่พยายามจะทำตัวให้สังคม (เล็กๆ) ของตัวเองยอมรับว่าเจ๋งก็เท่านั้น

    มนุษย์นั้นมีเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่าที่เราเห็นภายนอกมากนัก ตราบใดที่เราไม่ได้รู้จักมนุษย์ทุกคนบนโลกอย่างลึกซึ้งก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไปชี้วัดตัดสินว่าอะไรดีที่สุด ใครควรจะเป็นแบบไหน หรือควรทำอะไร เพราะทุกคนบนโลกนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างความพอใจให้เราหรือใคร ทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นในสิ่งที่ชีวิตมอบหมายให้เป็น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ดังนั้น การมีสายตาของสิ่งมีชีวิตที่มองคนอื่นเป็นอีกหนึ่งชีวิตโดยไม่ตัดสิน ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้แต่ละวันผ่านไปโดยที่แต่ละชีวิตไม่สะสมความรู้สึกเกลียดและโกรธโลกมากไปกว่านี้

    แย่ก็ตรงที่บางทีเราก็ไม่อาจเรียนรู้นิสัยดีๆ เหล่านี้ได้จากมนุษย์ด้วยกันเอง

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in