ซีรีส์ Normal People 12 ตอน พูดถึงเรื่องราวของตัวละครหลักอย่าง Connell เด็กหนุ่มพูดน้อย ขี้อาย เรียนเก่ง เป็นนักกีฬาโรงเรียน และเป็นที่รักของกลุ่มเพื่อน แอบคบ (แบบลับ ๆ) กับ Marianne เด็กสาวที่ใคร ๆ ต่างก็กล่าวว่าเธอแปลกแยก และทำตัวพิลึก Marianne ความเป็นจริงแล้วเธอเป็นคนที่ฉลาด ชอบตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา และกล้าจะพูดในสิ่งเธอคิดทำให้บางทีเธอมีปากเสียงกับนักเรียนคนอื่นหรือแม้กระทั่งกับอาจารย์เองด้วยก็ตาม เด็กผู้ชายในโรงเรียนมักจะแซวเธอแรง ๆ ตลอดเวลา แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่ยอมคนและมักจะสวนกลับคนเหล่านั้นไปแบบนิ่งๆ แต่แรง ซึ่งแก๊งที่ชอบต่อว่าเธอก็คือแก๊งของ Connell
จุดหนึ่งของซีรีส์ในช่วงอีพีแรก ๆ ทำให้เราเห็นปัญหาของสังคมในโรงเรียนที่ค่อนข้างโหดร้ายกับ Marianne ด้วยความที่ตัวเธอไม่มีเพื่อนในโรงเรียนเลยสักคน และเป็นตัวของตัวเองสูง บ่อยครั้งที่เธอมักจะโดนกลุ่มวัยรุ่นชายเพื่อนของ Connell ต่อว่าเธอสารพัด ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าเธอแปลก หรือแม้กระทั่งวิจารณ์รูปลักษณ์ภายนอกของเธอ ถึงแม้ว่า Marianne จะทำเหมือนไม่สนใจกับคำพูดเหล่านั้น แต่ลึก ๆ แล้วเธอรู้สึกไม่ดีและ Insecure มากๆ สิ่งที่แย่ไปยิ่งกว่านั้นคือ ไม่มีใครห้ามหรือบอกวัยรุ่นชายเหล่านั้นว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันไม่ดี ทุกคนต่างทำแค่หัวเราะไปตามๆกัน รวมถึง Connell เองที่ถึงแม้จะรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับเธอ แต่เขาก็ไม่กล้าแสดงความเห็นอะไร และเลือกที่จะเงียบ เพราะกลัวว่าเพื่อนของเขาจะเลิกคบ
จากความแตกต่างของทั้งสองคน Connell และ Marianne ที่ดูเหมือนจะไม่มีทางพัฒนาความสัมพันธ์ต่อได้ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องราวต่าง ๆ มันก็เริ่มต้นขึ้น เพราะทั้งสองต่างก็มีความรู้สึกดี ๆให้กัน
ตลอดทั้ง 4 อีพีแรก ซีรีส์จะนำเสนอเรื่องราวความรักที่ต้องหลบ ๆ ซ่อนของ Connell และ Marianne ในรั้วโรงเรียนมัธยมปลาย ที่ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคบกัน ความสัมพันธ์ที่ต้องถูกเก็บเป็นความลับ เพราะ Connell ที่มีความกลัวว่าหากตัวเองเปิดตัวคบกับ Marianne ที่โรงเรียน หรือการที่ใครรู้ว่าพวกเขามีอะไรมากกว่าความสัมพันธ์แค่เพื่อนกัน จะทำให้เพื่อนของเขาไม่ยอมรับและมองว่าเขาแปลกแยกเหมือน Marianne ซึ่งตัวของ Marianne ด้วยความที่มันเป็นรักแรก เธอเลยยอมทุกอย่างและพร้อมที่เก็บเรื่องราวทั้งหมดเป็นความลับที่มีเขาทั้งสองคนเท่านั้นที่รู้
(cr: www.radiotimes.com)
เนื้อเรื่องอาจจะแบบธรรมดา ก็เหมือนซีรีส์อื่นทั่วไป พลอตแบบนี้เราก็เคยได้ดูกันเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว แต่ขอบอกเลยว่าเรื่องนี้มันไม่ธรรมดา เพราะองค์ประกอบของหนัง ไม่ว่าจะเป็น Mood and Tone ที่ทำออกมาได้อย่างลงตัวในความสัมพันธ์แต่ละช่วงที่เกิดขึ้นระหว่าง Connell และ Marianne ตั้งแต่เริ่มรักกัน มีอะไรกันครั้งแรก ทะเลาะกัน เลิกกัน จนกลับมาคบกันใหม่ ซีรีส์ถูกถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างละเอียดและกระแทกใจคนดูซ้ำ ๆ แทบจะทุกตอน เพราะด้วยความที่ซีรีส์มัน real มาก เช่น อย่างฉากที่คนพูดถึงกันมาก ๆ คือครั้งแรกของ Marianne ก็คือหมายถึง Sex scene นะคะคุณผู้ชม บางคนที่ได้ดู Teaser ของ Normal people เกิดคำถามว่ามันเรทไปมั้ย เอาจริง ๆ คือ ในซีรีส์ฉากใกล้ชิดกันของพระนางคือมีให้เราได้ชมกันทุกตอนค่ะ และไม่มีการเซนเซอร์ใด ๆ เลย แต่ด้วยความที่มันเป็นซีรีส์ Normal people ภาพที่ถูกถ่ายทำออกมามันกลับไม่ได้ดู Erotic หรือเรทขนาดนั้น กลายเป็นว่าฉาก Sex scene ในเรื่องนี้ เราไม่เคยเห็นบทแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน ด้วยประโยคเด็ดของ Connell ที่บอก Marianne ว่า
“Is this your first time? If you want to stop or anything we can obviously stop, if it hurts or anything, we can stop. It won’t be awkward you just say.”
" นี่คือครั้งแรกของเธอใช่มั้ย ถ้าเธอรู้สึกว่าเจ็บหรืออะไร เธอสามารถบอกได้ตลอดเลยนะ และฉันจะหยุดทันที ไม่ต้องกลัวว่ามันจะน่าอายหรือแปลกเลย"
คือแบบมันดี มันอ่อนโยนไปหมด ด้วยความที่ Connell เป็นแบบนี้ Marianne ค่อนข้างรู้สึกปลอดภัย และกล้าที่จะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ Connell ฟังเสมอ พวกเขาเหมือนเจอ Comfort Zone ของกันและกัน และด้วยความที่เป็นเหมือนความสัมพันธ์ลึกซึ้งในครั้งแรกของทั้งสองคน จึงทำให้ตลอดอีพีแรกๆ ความรัก ความใคร่ ความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นมันเอ่อล้นมาก ๆ แต่อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นความลับ ตัว Connell ยังไม่กล้าบอกเพื่อน ๆ ว่าเขาชอบและคบหากับ Marianne อยู่ จนทำให้ความสัมพันธ์มันเดินทางมาถึงจุดที่ Marianne ทนไม่ไหวและบอก Connell ไปว่าเราสองคนไม่ต้องมาเจอกันอีกแล้ว เพราะว่า Connell เอ่ยปากชวนผู้หญิงที่แอบชอบเขาไปงานโรงเรียนแทนที่จะเป็น Marianne มากไปกว่านั้นคือเขาบอกทุกคนว่าเขากับเธอเป็นเพียงแค่เพื่อนกัน เนี่ยบทมันจะบอกว่า Connell เป็นคนดีมันก็ดีไม่สุด มันยังมีความเป็นวัยรุ่น Coming of age มีความไม่เข้าใจตัวเองของทั้งสองคนอยู่ ทำให้เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมันจะได้ไปต่อมั้ย พูดมาขนาดนี้ก็เหมือนจะสปอย แต่ก็สปอยแหละค่ะ ฮ่า ๆ
เนื้อเรื่องต่อจากนี้ หลังจากที่พวกเขาเลิกติดต่อกันเพราะ Connell ทำมันพัง เพียงเพราะไม่กล้าบอกความสัมพันธ์ของเขากับ Marianne ให้ใครรู้ เรื่องราวในอีพีแรก ๆ จบด้วยการที่ทั้งสองคนแยกย้ายไปใช้ชีวิตในมหาลัยและไม่ได้เจอกันอีกเลย จนกระทั่งพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้งที่ปาร์ตี้ที่จัดขึ้นโดยแฟนคนใหม่ของ Marianne ในครั้งนี้บทบาทของทั้งสองคนเหมือนถูกสลับกัน Connell จากที่เขาเคยเป็นที่รู้จักของคน มีเพื่อนเยอะ กลายเป็นว่าการที่เขาเข้ามาเรียนที่ Trinity College ในเมือง Dublin ทำให้เขาเก็บตัวมากขึ้น และไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไร ซึ่งแตกต่างจากตัว Marianne ด้วยลุคที่โตขึ้นและกลายเป็นสาวฮอตในมหาลัย มีเพื่อนเยอะ และมีแฟนหนุ่มที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง
(cr: www.graziadaily.co.uk)
การที่ทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้งที่มหาวิทยาลัย ทำให้ Marianne เองรู้สึกว่าเธอเองก็ยังมีความรู้สึกที่ดีและยังรัก Connell อยู่ และ Connell เองก็ได้เอ่ยปากบอกเธอว่าเขาคิดถึงเธอเหมือนกัน Marianne ตัดสินใจเลิกกับแฟนคนใหม่ของเธอแล้วกลับมาคบกับ Connell อีกครั้ง จะเห็นว่าเนื้อเรื่องมันผูกติดกับความสัมพันธ์ on and off ของทั้งสองคน ช่วงของการกลับมาคบกันในครั้งนี้มันทำให้ทั้งสองคนเข้าใจกันมากขึ้น และ Connell เองที่รู้สึกผิดจากความผิดพลาดตอนมอปลายที่เขาไม่ยอมเปิดตัว Marianne ให้เพื่อนเขารู้ เขาเองบอกขอโทษเธอและเริ่มคบกันอย่างเปิดเผยมากขึ้น เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างชีวิตคู่รักปกติ ที่มีทั้งช่วงดีและไม่ดี ช่วงที่ไม่เข้าใจกันและเข้าใจกัน มันเป็นเรื่องราวปกติตามชื่อเรื่องเลยค่ะ แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าซีรีส์เองไม่ได้ต้องการถ่ายทอดให้เราเห็นเพียงแค่ด้านดี ๆ ของคู่รัก แต่ยังมีความทุกข์บางอย่างที่ตัวละครต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นในฝั่งของ Marianne และ Connell เองที่ประสบปัญหากับอาการ Anxiety และ Depression
นอกจากเรื่องราวความรักในเรื่อง Normal People ที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเข้มข้นแล้ว เรื่องของภาวะซึมเศร้า ความกังวลต่าง ๆ และความเครียดที่ตัวละครพบเจอในชีวิต ยังถูกทำออกมาได้อย่างอึดอัดและหม่นหมองไปกับตัวละคร จากในเรื่องเราจะได้เห็น Connell รับมือกับโรคซึมเศร้าอย่างหนักหน่วง เมื่อเพื่อนสนิทในกลุ่มตอนเรียนมัธยมฆ่าตัวตาย Connell เองมีความรู้สึกผิดลึก ๆ ที่ไม่ได้ตอบข้อความสุดท้ายของเพื่อนก่อนที่เขาจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง และด้วยความรู้สึกบางอย่างที่มันเก็บสะสมมาเรื่อย ๆ ในใจของ Connell จึงทำให้บ่อยครั้ง Connell เกิดอาการไม่กล้าออกสังคม ไม่กล้าแม้กระทั่งออกจากห้องตัวเอง นอนอย่างเหนื่อยล้าทั้งวัน เกิดอาการ Panic attack และค่อนข้างเก็บตัวมากกว่าเดิม ทำให้อาการของโรคมันยิ่งทวีความรุนแรงจนเขาเองก็ไม่รู้จะหาทางออกกับมันอย่างไร แฟนใหม่ที่ตอนนั้นไม่เข้าใจว่า Connell เผชิญกับอะไรอยู่ทำให้เธอคนนั้นขอเลิกกับเขา และตอนนั้นเอง Marianne ก็ไปเรียนอยู่ต่างประเทศ ทุกอย่างมันเลยถาถมไปหมด เพื่อนคนหนึ่งจึงแนะนำให้เขาไปพบจิตแพทย์เผื่ออะไร ๆ มันจะดีขี้น
ในฉากหนึ่งของอีพี10 เราได้เห็นการแสดงของ Paul Mescal ที่ถ่ายทอดความเจ็บปวดของ Connell ออกมาได้อย่างแยบยล และคนดูอย่างเรารู้สึกเครียดและเข้าใจตัวละคร Connell มากขึ้นไปอีก ภายใต้การพูดน้อยหรือคำว่า “Okay” ของ Connell มันไม่ได้โอเคอย่างที่คิด จากการที่เขาไม่ค่อยพูดความรู้สึกที่แท้จริงกับใคร ทำแค่เพียงเก็บความรู้สึกนั้นไว้แค่กับตัวเอง เขาค่อยๆ เริ่มเล่าความรู้สึกให้จิตแพทย์ฟังทีละนิดและลึกลงไปเรื่อย ๆ ว่า “การที่เขาเข้ามาเรียนในมหาลัยมันรู้สึก So lonely มันเหงามาก เหมือนไม่มีใครเข้าใจเขาเลย เขาเกลียดการที่อยู่ตรงนี้ เขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่เขาเคยได้รับความสนใจ และมิตรภาพของเพื่อนกลุ่มเดิมได้อีกแล้ว” ตรงจุดนี้เองทำให้เรารู้สึกว่าในปัจจุบันหลาย ๆคนต้องเผชิญกับปัญหาจิตตก ภาวะซึมเศร้ากับชีวิตที่ดำเนินไป คนที่มีอาการมักจะคิดว่าเดี๋ยวมันก็หาย ไม่มีใครเข้าใจตัวเราเท่าตัวเราเอง เก็บความรู้สึกที่ย้ำเตือนให้เรายิ่งจมลงไปเรื่อย ๆ จนภาวะของโรคมันเกินเยียวยาและนำไปสู่การฆ่าตัวตาย ซีรีส์เลยต้องการที่จะตีแผ่ว่าภาวะซึมเศร้ามันก็คือโรคหนึ่งโรคที่ต้องได้รับการรักษา ต้องกินยาถึงจะหาย Connell เมื่อได้รับการบำบัดและพูดคุยกับคนรอบข้างถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง มันทำให้เขาอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจาก Connell เริ่มรักษาอาการซึมเศร้ากับจิตแพทย์ ทำให้เขาได้ปลดปล่อยความรู้สึกตัวเองออกมาบ้าง แต่อาการมันก็ไม่ได้หายไปซะทีเดียว ระหว่างนั้น Connell ได้กลับมาคุยกับ Marianne อีกครั้ง ผ่านการวีดีโอหากันข้ามประเทศ เพราะในตอนนั้น Marianne ไปเรียนอยู่ที่สวีเดน ถึงแม้จะอยู่ห่างกันแต่ Marianne ยังคงเป็นคนที่เข้าใจและเป็นห่วง Connell ที่สุด ถึงแม้ว่าสถานะตอนนี้ของทั้งสองจะไม่ใช่แฟนกัน แต่ทั้งสองคือคนที่รักกันและพร้อมจะอยู่ตรงนั้นเพื่อกันและกันเสมอ
ในด้านของ Marianne เอง ภายนอกที่เธอดูเหมือนจะแข็งแกร่งกับปัญหาที่เข้ามา และไม่ค่อยสนใจใครสักเท่าไร แต่เนื้อแท้ของ Marianne เองค่อนข้างเป็นคนที่อ่อนไหวมาก เธอแทบจะเก็บทุกอย่างมาคิด จากในตอนต้นเรื่องเราได้เห็นว่าครอบครัวของ Marianne ไม่ได้ให้ความใส่ใจกับเธอสักเท่าไร พี่ชายเธอมักจะต่อว่าเธอเสมอ และแม่ของเธอที่ไม่เคยแสดงความรักที่มีต่อลูกสาวเลย อีกทั้งในวัยเด็กของเธอยังเห็นภาพพ่อที่เสียไปแล้วทำร้ายร่างกายของแม่ในตอนที่ทะเลาะกัน จึงทำให้เธอกลัวและค่อนข้างปิดกั้นความรู้สึกตัวเอง จนกระทั่งเธอได้พบกับ Connell ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่เข้าใจเธอมากที่สุด เธอสามารถเล่าสิ่งที่เธอคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามให้เขาฟังได้ทุกเรื่อง แต่ Marianne ก็ถูกทำร้ายความรู้สึกจากคนที่เธอรักอย่าง Connell อยู่ดี
เราได้เห็น Toxic Relationship ที่ Marianne ได้รับตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการที่แฟนใหม่ของเธออย่าง Jamie มีพฤติกรรมการมีเซ็กส์แบบซาดิสก์ (BDSM) เธอได้เธอเล่าเรื่องนี้ให้ Connell ฟัง และบอกเขาว่ามันแค่แตกต่างไปจากเดิมและยังมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ ในด้าน Connell ได้ยินแบบนั้นแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรับฟัง Marianne อย่างเข้าใจ นอกจากนี้แฟนใหม่ของเธอที่ได้พบกันที่สวีเดนอย่าง Lukas ยังชอบผูกข้อมือของเธอด้วยเชือกระหว่างที่มีอะไรกัน และยังขอให้เธอเป็นนางแบบถ่ายภาพนู้ดให้เขาอีกด้วย ช่วงนั้นสุขภาพจิตของ Marianne ค่อนข้างแย่มากไม่ต่างอะไรจาก Connell ที่ต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าเลยด้วยซ้ำ เธอไม่ได้เล่าเรื่องนี้ใครฟังแม้กระทั่ง Connell ก็ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ในอีพีเดียวกันเราได้เห็นการแสดงของ Daisy Edgar-Jones ที่เล่าเรื่องผ่านสายตาอันเหนื่อยล้าและความรู้สึกที่เจ็บปวดของเธอออกมาให้เราเห็น จนกระทั่งเธอตัดสินใจออกจากความสัมพันธ์ครั้งนี้และกลับไปยัง Dublin อีกครั้ง
หลังจากผ่านการเลิกรามาแล้วหลายครั้ง ในอีพีท้าย ๆ ของ Normal People ตัวละคร Connell และ Marianne กลับมาเจอกันอีกครั้งที่บ้านเกิดของสองคนที่ Sligo, Ireland ในตอนนั้นทั้งสองคนไม่ได้ตัดสินใจกลับมาคบกัน แต่อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ แต่ตัว Marianne ยังคาดหวังลึก ๆ ว่ามันยังมีโอกาสที่ทั้งสองจะกลับมารักกันได้ ในด้าน Connell เองเขารู้สึกเช่นเดียวกันกับ Marianne แต่เขาเลือกที่จะไม่แสดงความรู้สึกออกมา เพราะคิดว่าการที่เขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมันดีกว่า เพราะหลาย ๆ ครั้งที่กลับมาคบกันแล้วก็เลิกกัน มันเกิดจากปัญหาที่ตัวเขาเองก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เขาไม่อยากทะเลาะกับ Marianne และไม่อยากสูญเสียเธอไปเช่นเดียวกัน
แต่ใช่ว่าความรู้สึกมันจะห้ามกันได้ Marianne เลือกที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมาก่อน เธอบอก Connell ว่า "I really want you to kissed me last night" เธอบอกว่าเมื่อคืนเธออยากให้ Connell จูบเธอแต่เขาก็เดินหนีไป Connell เองยอมรับออกมาตามตรงว่าเขาอยากทำแต่กลัวว่ามันจะทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับเธอเปลี่ยนไป แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนรักกันมากมันเลยทำให้ไม่สามารถห้ามความรู้สึกที่มีต่อกันได้อีกต่อไป อีกจุดสำคัญที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ละเอียดอ่อนเหลือเกิน คือเรื่องของการถ่ายทำ การแพลนกล้องต่าง ๆ คือมีความละเอียดและชัดเจนมาก ในฉากนี้การถ่ายภาพพยายามตัดสลับหน้าของ Marianne และเรือนร่างของเธอ แล้วก็ตัดสลับไปที่สายตาของ Connell ที่พยายามไม่มองมัน จนทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าพวกเขากำลังปิดบังความรู้สึกที่มีต่อกันอยู่ พอไม่สามารถห้ามได้มันก็นำไปสู่การมีอะไรอีกครั้ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทั้งสองคนพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด เพราะกลัวว่ามันจะถลำลึกไปกว่าเดิม แต่ใด ๆ คือ Sex Scene ฉากนี้เป็นจุด Climax ของเรื่องที่ทำให้เรารู้ว่า Marianne ยังคงอยู่ในความเจ็บปวดและเจ็บช้ำกับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของครอบครัวและแฟนใหม่ของเธอ ในขณะที่ Marianne กับ Connell กำลังมีอะไรกัน เธอก็เผลอพูดออกมาว่า “Do you hit me?” เหมือนว่าคุณจะตบตีฉันมั้ย Connell ตกใจเลยบอกเธอไปว่าฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้ มันทำให้เธอรู้สึกอายและรีบออกจากบ้าน Connell ทันที
จากความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้เราเห็นว่า Connell เป็นคนเดียวที่ไม่มีทางทำร้ายเธอ หรือไม่พยายามยัดเยียดในสิ่งที่เธอไม่ต้องการ Connell รู้ว่าเธอผ่านอะไรมาบ้างและไม่ต้องการให้เรื่องราวไม่ดีเกิดกับเธออีก ก่อนจะจบเรื่องเหมือน Connell ได้ break the ice ของตัวเองอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าพี่ชายของ Marianne ทำร้ายเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่นั้นก็ทำให้ Marianne บาดเจ็บ เราได้เห็นด้านมืดของ Connell ที่ตลอดทั้งเรื่องเราแทบไม่เคยเห็นเขาโกรธ แต่ครั้งนี้เพราะเป็น Marianne ถูกทำร้ายมันเลยทำให้ความอดทนของเขาหมดลง และบอกกับพี่ชายของเธอว่า ถ้านายทำอะไรเธออีก หรือเธอต้องบาดเจ็บอีก นายตายแน่ จากนั้น Connell ก็พาเธอออกจากบ้านและ “รับปากกับเธอว่าจะไม่มีใครทำร้ายเธอได้อีก เพราะเขารักเธอ แล้วเขาจะไม่ยอมให้อะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเธออีก” น้ำตามา ในที่สุด! ในเรื่องตลอดเวลาการกลับมาคบกันของสองคน มักจะเป็น Marianne ที่เผยความรู้สึกของตัวเองออกมาก่อน แต่ครั้งนี้ Connell เลือกที่จะไม่เสียเธอไปอีกแล้วและกลับมาคบกันอีกครั้ง
การกลับมาคบกันในครั้งนี้มันเหมือนสะท้อนความรู้สึกลึก ๆ ของ Marianne ออกมาทั้งหมด เธอได้รับความรักจากทั้ง Connell และครอบครัวของเขาอย่างที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน เหมือนว่าความรู้สึกทั้งหมดที่มันเคยขาดหายไป ถูกเติมให้เต็ม ครั้งหนึ่งตอนที่ Connell เอ่ยปากชวนเธอไปฉลอง Christmas ที่บ้านของเขาและเปิดเผยต่อคนรอบตัวว่าพวกเขาคบกัน มันทำให้ Marianne รู้สึกมองเห็นคุณค่าของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้ในตอนท้ายของเรื่องที่มันแอบจบแบบทำเราจุกไปทั้งอาทิตย์ คือการที่สองคนเหมือนจะเลิกกัน แต่พอลองมองย้อนดี ๆ และดูอีกครั้ง เราก็สะดุดกับประโยคของ Marianne ที่พูดกับ Connell ว่า “But we have done so much good for one another”
ตลอดเวลาที่รักกัน คบกัน เลิกกัน จนกลับมาคบกันใหม่ ทั้งสองคนเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของกันและกัน และมันจะไม่มีอะไรมาทำให้สิ่งนั้นหายไป Marianne และ Connell ผ่านการเรียนรู้จนเข้าใจความเป็นตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครเปลี่ยนนิสัยให้เป็นแบบที่ใครสักคนต้องการ ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นประโยคที่ตัวละครทั้งสองมักจะพูดกันเสมอคือ “He/She is smarter than me” Marianne และ Connell ไม่เคยคิดว่าตัวเองดีไปกว่าใครอีกคน ทั้งสองช่วยกันและกันในการก้าวผ่านช่วงเวลาที่เลวร้าย และยังคงเป็น Comfort Zone ให้กันตลอด ความสัมพันธ์ของ Marianne และ Connell มันเป็นมากกว่าคนรักที่ต้องอยู่ด้วยกัน มันเป็นทั้งเพื่อนสนิท และคนที่หวังดีต่อกัน
สุดท้ายแล้วยังไงมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ดี ที่มากกว่ากว่าการรักแค่คนอื่น แต่มันคือการรักตัวเอง ฉากนี้เองมันทำให้เราเข้าใจว่า ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้ไปต่อในสถานะแฟน หรืออาจจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในอนาคต ซึ่งเราก็บอกอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้จากความสัมพันธ์ครั้งนี้คือ วันหนึ่งที่เรารักตัวเองมากพอ วันนั้นเราก็จะรักคนอื่นได้อย่างเต็มที่เหมือนกัน
(cr: showbizbeta.com)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in