ตั้งแต่คนสำคัญจากไปผมใช้ชีวิตแบบซังกะตายวันแล้ววันเล่า
จนวันหนึ่ง มีเหตุให้ผมต้องเข้าไปพัวพันกับเด็กสาวคนหนึ่ง เธอเข้ารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วย "โรคเปล่งแสง" โรคที่แสนสวยงามและน่าเศร้าในเวลาเดียวกัน เมื่อต้องแสงจันทร์ ร่างกายของผู้ป่วยจะเปล่งแสงเรืองรอง และยิ่งใกล้ระยะสุดท้าย แสงนั้นจะยิ่งเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความที่ผมทำของสำคัญของเธอพัง ผมจึงต้องทำหน้าที่ทำ "สิ่งสำคัญที่อยากทำก่อนตาย" แทนแล้วนำมาเล่าให้เธอฟัง
นับจากสัญญาในวันนั้น ช่วงเวลาที่หยุดนิ่งของผมก็พลันกลับมาเคลื่อนไหว
เขียน
ซาโนะ เท็ตสึยะแปล ปาวัน การสมใจ
* คำเตือน มีเหตุการณ์ที่ส่อถึงการฆ่าตัวตาย / มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย / การกระทำบางอย่างของตัวละครไม่สมควรนำมาเป็นเยี่ยงอย่าง *
"เมื่อคนที่รักตายลง ต้องปลิดปลงชีวิตตน"
เป็นประโยคที่ถูกหยิบยกมากล่าวถึงตลอดทั้งเรื่อง ความจริงแล้วแอบมีเฉลยอยู่ในหมายเหตุว่าเป็นบทกวีซึ่งผู้เขียนนำมาดัดแปลงใหม่ แต่ก็ต้องขอบคุณคุณปาวัน การสมใจ แปลออกมาได้งดงามมาก ๆ ค่ะ และคิดว่าต้นฉบับที่เป็นภาษาญี่ปุ่นก็คงให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน
ทุกคนน่าจะเคยได้ยินแต่คำว่า ปลิดปลิว และ ปลดปลง ครั้งแรกที่ได้ทำความรู้จักกับประโยคนี้ก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจความหมายของมันได้อย่างลึกซึ้ง คำว่า ปลิดปลง นี่ตีความออกมาได้ยากจริง ๆอาจจะเพราะไม่ตั้งใจเรียนภาษาไทยด้วยแหละมั้ง แต่ตอนนี้คลายความกังวลแล้ว เพราะมันปรากฏเฉลยอยู่ในเนื้อเรื่องตอนจบ !
"โรคเปล่งแสง"
เป็นโรคสมมติที่ผู้เขียนสรรสร้างขึ้นมา จากคำนำสำนักพิมพ์บอกว่ามันเป็นโรคสมมติที่แสนสวยงามและน่าเศร้า ซึ่งก็เห็นด้วยหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเมื่อร่างกายต้องแสงจันทร์ มันจะเปล่งแสงสว่างเรืองรองราวกับหิ่งห้อย และไม่มีหิ่งห้อยคนไหนอายุยืนยาว
วาตาราเซะ มามิสุ เด็กสาวผู้ป่วยเป็นโรคเปล่งแสงตั้งแต่มอต้นปีหนึ่ง แถมยังต้องจำใจมอบเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงในแต่ละวันให้กับโรงพยาบาล ในฤดูใบไม้ผลิมอปลายปีที่หนึ่ง เนื้อเรื่องก็ดลบันดาลให้พระเอกและนางเอกได้เดินทางมาบรรจบกัน ! แถมคุณพระเอกของเรา โอคาดะ ทาคุยะก็ใช้ชีวิตแบบซังกะตายมาตลอดตั้งแต่เสียคนสำคัญในชีวิตไป
ดังนั้นแล้ว
"คนที่ความตายคืบใกล้เข้ามาทุกทีกับคนที่มีชีวิตโดยรู้สึกอยากตาย ใครที่น่าเศร้ากว่ากัน ?"
เอาล่ะ มาถึงความรู้สึกเน้น ๆ ของผู้อ่านอย่างเราหลังจากที่ได้อ่าน แด่เธอผู้เปล่งประกายใต้แสงจันทร์กันค่ะ ส่วนตัวมีอยู่สองเหตุผลที่หยิบเล่มนี้มาจากชั้นหนังสือและตัดสินใจจ่ายเงินซื้อถึงแม้จะพึ่งเสียเงินจ่ายค่าอาหารมื้อใหญ่ไป (เป็นคนประเภทกินให้อิ่มท้องค่อยเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวร้านหนังสือค่ะ)
ซึ่งหนึ่งก็คือ..หลังจากได้อ่านคำโปรยก็สะดุดกับคำว่า 'โรคเปล่งแสง' แน่นอนว่ารู้โดยทันทีว่ามันคือโรคที่สมมติขึ้น แต่ก็เพราะสมมตินี่แหละค่ะ ถึงได้น่าสนใจ .
และสอง...หน้าปกและปกหลังสวยมากเลยค่ะ ถ้าตั้งใจดููดี ๆ จะพบว่าเวลาที่แสงไฟสาดส่องลงมาสะท้อนกับหน้าปก หนังสือจะมีประกายยิบยับคล้ายกับกลิตเตอร์ซึ่งโดนใจอย่างจังเลยค่ะ ไม่ได้โกหกนะคะ...มีจริง ๆ ค่ะ
พล็อตไม่ได้หวือหวาหรือแปลกใหม่ ใครที่คุ้นเคยกับพล็อตแนวนี้อยู่แล้วอาจจะมองว่ามันไม่มีอะไรใหม่เท่าไหร่ (ก็จริงนะ) แต่ในเรื่องของการสร้างกำลังใจและแรงจูงใจสำหรับใครที่หยุดชะงักอยู่กลางทาง เราถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมมาก ! เรียกได้ว่าภูมิใจที่จะแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้ใครอีกหลายคนได้ทำความรู้จักมากค่ะ
ในส่วนภาษาและสำนวนบรรยายในมุมมองที่ 1 ตลอดทั้งเรื่อง ร้อยเรียงเรื่องราวตลอดเกือบ 1 ปีตั้งแต่ได้เจอกับมามุสิผ่านสายตาของทาคุยะค่ะ สามารถอ่านได้เรื่อย ๆ และนับถอยหลังไปพร้อมกับการสูญเสีย 1 หิ่งห้อยคนสำคัญ ยิ่งใกล้จบ จำนวนหน้าเหลือน้อย การที่คุณได้อ่านผ่านมุมมองของทาคุยะ คุณจะเข้าใจค่ะว่ามันสวยงามและบีบคั้นอารมณ์แค่ไหน
กระนั้นแล้วก็ไม่สนับสนุนให้มองว่าทุกการสูญเสียเป็นสิ่งสวยงามนะคะ ยิ่งในสถานการณ์ยุคปัจจุบันนี้
มีหน้าที่อยากบุ๊กมาร์กเก็บไว้ดังนี้ค่ะ
p.164
p.186
p.202-p.209
p.214
p.220-p.222
p.230 และ happy ending
รวมถึงหน้าของส่งท้ายจากนักเขียนด้วยค่ะ
สุดท้ายนี้ อย่าลืมคำนึงถึงคำเตือนที่เราระบุไว้ข้างต้นก่อนตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านนะคะ ถึงจะบอกว่ามันสวยงาม แต่ใช่ว่าทุกชีวิตในความเป็นจริงจะสวยงามดั่งกับการจากไปของมามิสุ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in