8
เสาร์-อาทิตย์ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเป็นพิเศษ หยางจิวหรงใช้เวลาทั้งหมดของเขาไปกับการดูภาพยนตร์หลายเรื่องต่อกันรัวๆ ส่วนผมอ่านหนังสือเตรียมทำควิซภาษาจีน พอถึงวันจันทร์แม่ไม่ต้องไปทำงาน ผมเลยทิ้งให้หยางจิวหรงอยู่บ้านกับแม่ ส่วนตัวเองก็ออกไปมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนตามปกติ
พักกลางวันวันนี้ นอกจากจะมีฤทธิ์และไก่แก้วแล้ว เพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนหนึ่งของผมก็คือพี่เทียน พี่เขาพุ่งตรงเข้ามาหาพวกเราประหนึ่งว่าล็อกเป้าไว้แล้ว พอมาถึงพี่เทียนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ถามว่า “พี่นั่งด้วยได้ไหม” ซึ่งแน่นอนว่าฤทธิ์กับไก่แก้วต้องรีบขยับให้พี่เขานั่ง ผมไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธจึงนั่งกินข้าวกับพี่เทียน โดยนึกในใจว่าถ้าหยางจิวหรงรู้ เขาต้องจ้องผมแบบดุๆ อีกเป็นแน่
ระหว่างกินข้าว พวกเราคุยกันเรื่องวิชาเรียน ฤทธิ์ถามพี่เทียนเรื่องคำศัพท์ภาษาจีนบางคำและการออกเสียง ผมเห็นเพื่อนกำลังตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเลยไม่อยากขัด พอฤทธิ์ถามจบ พี่เทียนก็หันมาหาผม
“หลังจากนี้ไม่มีเรียนกันแล้วนี่ นนท์ไปกับพี่หน่อยได้ไหม พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”
ผมนึกถึงคำเตือนของหยางจิวหรง สลับกับข้อเท็จจริงที่ว่าพี่เทียนเป็นรุ่นพี่ที่ดีของผมเสมอมา เขาไม่เคยทำอะไรให้ผมรู้สึกลำบากใจหรือต้องเป็นอันตรายเลยสักนิด
ชั่งใจอยู่ไม่กี่วินาที ผมก็ตอบออกไป
“ได้ครับ ไปคุยกันที่ไหนดี”
“ร้านนมไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยง” พี่เทียนยิ้ม ไม่หันไปมองฤทธิ์หรือไก่แก้ว คล้ายจะสื่อให้ทั้งสองเข้าใจว่าเขาชวนผมเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่กินความรวมถึงคนอื่น เพื่อนๆ สองคนของผมดูจะเข้าใจสารนี้เลยนั่งกินข้าวกันแบบเงียบๆ ไม่มีใครขอไปด้วย
หลังกินข้าวเสร็จพวกเราเอาจานไปเก็บ ฤทธิ์กับไก่แก้วตรงออกไปสถานีรถไฟฟ้า ส่วนพี่เทียนพาผมไปร้านนมหลังตึกคณะ ตัวร้านเป็นเพิงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ในมุมหนึ่งของลานจอดรถหลังตึก รอบเพิงมีโต๊ะม้าหินอ่อนสามชุดตั้งไว้ให้นักศึกษาได้นั่งดื่มนม วันนี้ม้าหินอ่อนทั้งหมดว่างเปล่าไม่มีลูกค้า พี่เทียนเดินดุ่มไปยังโต๊ะที่ร่มที่สุด ห่างไกลแสงแดดที่สาดส่องลงมา เขาวางกระเป๋าเพื่อจองโต๊ะ ก่อนจะหันมาถาม
“นนท์เอาน้ำอะไร สั่งมาเลย”
“โกโก้ครับ ไม่หวาน” ผมตอบ
ไม่นานพี่เทียนก็เดินกลับมาพร้อมโกโก้หนึ่งแก้ว ในมือเขามีชาเย็นสีส้มสด
“จะบอกให้ว่า ตั้งแต่ออกจากนิยายมา พี่ว่าชาเย็นนี่แหละคือน้ำที่เลิศล้ำสุด สิ่งที่ดีที่สุดในโลกใบนี้” เขาวางแก้วลงบนโต๊ะ ยิ้มแย้มให้ผม
การได้เห็นพี่เทียนพูดเรื่องตัวเองทะลุมิติออกมาแบบสดๆ ร้อนๆ ทำให้ผมรู้สึกประหลาดอยู่นิดหน่อย
“นนท์เคยอ่านนิยายเรื่องนั้น งั้นนนท์ก็ต้องเคยรู้จักตัวของพี่ก่อนที่พี่จะมาเป็นนายเทียนสินะ” เขาเริ่มต้นถาม พลางนั่งลงที่ม้าหินอ่อน ตรงข้ามกับที่ผมนั่งอยู่
“เปล่าครับ ผมเพิ่งมาอ่านนิยายเรื่องนั้นไม่นานเอง เรื่องที่ผมอ่านมันเปลี่ยนไปแล้ว”
“หมายความว่ายังไง” พี่เทียนดูงงๆ ก่อนที่เขาจะทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ ตอนนี้นิยายไม่มีพี่แล้วนี่นา นนท์ไม่เคยอ่านตอนสมัยที่มันยังมีพี่สินะ”
ก่อนที่พี่เทียนจะออกมาสู่โลกความจริง ในนิยายเรื่องนั้น เขากับหยางจิวหรงแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่พอพี่เทียนออกมาแล้ว ตัวละครจางเฟยเทียนในนิยายก็หายไป เนื้อเรื่องเลยเหลือแค่การทะเลาะกันระหว่างนางเอกกับนางร้าย โดยมีหยางจิวหรงคอยดูอย่างเบื่อๆ ผมเพิ่งมาอ่านหลังจากเนื้อเรื่องเปลี่ยนไปแล้วเลยไม่เคยอ่านเกี่ยวกับจางเฟยเทียนมาก่อน
“ครับ ใช่ ผมเพิ่งเคยอ่านเมื่อไม่นานนี้ ตอนอ่านมันไม่มีพี่แล้ว อีกอย่างนะครับ ตอนนี้หยางจิวหรงออกมาแล้ว เนื้อเรื่องก็เปลี่ยนอีกรอบครับ ไม่มีฮ่องเต้แล้วในเรื่อง กลายเป็นนิยายแนวทำสวน ปลูกผัก ชีวิตชาวไร่”
“หา เป็นเรื่องปลูกผักไปได้ยังไง ประหลาดจัง” พี่เทียนดูจะจินตนาการไม่ออกว่านิยายแนวปลูกผักเป็นอย่างไร “งั้นสรุปนนท์ก็ไม่รู้จักพี่สมัยที่เป็นจางเฟยเทียนเลยน่ะสิ”
“ครับ ผมไม่เคยอ่านเกี่ยวกับจางเฟยเทียนมาก่อน”
“แล้วหยางจิวหรงบอกว่ายังไงล่ะ เกี่ยวกับพี่น่ะ”
“เขาบอกว่าพี่เป็นตัวร้าย ไว้ใจไม่ได้ครับ” ผมยิ้มแห้งๆ
พี่เทียนถอนหายใจยาว สีหน้าเขาดูผิดหวังอยู่หน่อยๆ ขณะพูด “เขาก็เชื่อแบบนั้นมาตลอด เอาแต่เชื่อแบบนั้นตั้งแต่สมัยอยู่ในเรื่องแล้ว”
“เอ๊ะ” ผมแปลกใจ “งั้นความจริงเป็นยังไงเหรอครับ”
“พี่ไม่ได้เป็นตัวร้ายสักหน่อย แต่จากมุมมองของพระเอกเลยเข้าใจพี่ผิดน่ะสิ คือตัวละครของพี่เป็นพระรอง พี่แอบรักหลี่ซูฮวาเลยคอยช่วยเหลือเธอจากนางร้ายคนอื่นๆ เวลาที่พี่ช่วยเหลือนางเอก หลายครั้งพี่ต้องไปขัดความตั้งใจของพระเอกเข้า เลยกลายเป็นว่าพระเอกมองพี่เป็นคนไม่ดี หยางจิวหรงเข้าใจผิดน่ะ”
ผมมองพี่เทียนที่นั่งดูดชาเย็นแล้วนึกตาม อาจเป็นไปได้ว่าเขาเป็นตัวละครที่มาแย่งชิงนางเอกกับหยางจิวหรง แต่ไม่ใช่ตัวละครฝ่ายชั่ว หยางจิวหรงเพียงแค่คิดไปเองเพราะเห็นอีกฝ่ายอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตนเสมอ พอคิดแบบนี้ก็พอจะเข้าใจได้บ้างว่าทำไมพี่เทียนที่นิสัยดีกับผมตลอด ถึงได้กลายเป็นวายร้ายในสายตาหยางจิวหรง
“แบบนี้เอง” ผมลากเสียงยาว
“นั่นแหละ พี่ไม่ได้เป็นคนไม่ดีสักหน่อย เห็นหยางจิวหรงออกมาอยู่ในโลกปัจจุบันแบบนี้พี่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ นนท์ต้องคอยดูแลเขาให้ดีๆ นะ”
“ครับ ผมก็ทำเท่าที่ทำได้แหละ” ผมมองคนที่นั่งตรงข้าม แล้วอยู่ดีๆ ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ บางอย่างที่ดูจะน่าสงสัย ผมมองหน้าพี่เทียนแล้วถาม “แล้วพี่เทียน เอ...เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยได้ยังไงน่ะครับ”
การเข้าเรียนต้องใช้ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน แล้วตัวละครทะลุมิติอย่างพี่เทียนสามารถลงทะเบียนตัวเองเข้ามาในมหาวิทยาลัยได้ยังไง ผมนึกสงสัยอยู่ไม่น้อย
“แหะๆ จะพูดไปก็ไม่ดีหรอกนะ แต่บอกไว้แล้วกัน เผื่อนนท์ต้องสร้างตัวตนให้หยางจิวหรง” พี่เทียนลดเสียงลงแล้วอธิบายให้ผมฟัง “คนที่เชิญพี่มาเขาทำบัตรประชาชนปลอมให้พี่น่ะ ใช้วิธีการเดียวกันกับเวลาคนต่างด้าวมาสวมบัตรเป็นคนไทย พี่ก็เลยมีชื่อในทะเบียนบ้าน เลยลงชื่อสอบและเข้าเรียนได้”
“โห ฟังดูสายลับจังเลย” ผมไม่คิดว่าผมจะมีปัญญาทำอะไรอย่างนั้นให้หยางจิวหรง เขาคงต้องอยู่แบบเป็นคนเถื่อนไปนั่นแหละ เพราะผมช่วยเขาขนาดนั้นไม่ได้
“แล้วคนที่เชิญพี่มาเนี่ย” ผมมองข้ามโต๊ะไปที่พี่เทียน “เขาเป็นใครเหรอครับ เป็นนักศึกษาเหมือนผมไหม”
คราวนี้คู่สนทนาของผมดูเศร้าสลดลง พี่เทียนก้มมองแก้วชาเย็นแล้วตอบว่า “ไม่ใช่หรอก คนที่เชิญพี่มาเขาชื่อคุณปู่วิเชียร”
“งั้นตอนนี้พี่ก็อาศัยอยู่กับเขาเหรอครับ”
พี่เทียนส่ายหน้า ตอบเบา “ปู่เขาอายุเยอะแล้ว ตอนเชิญพี่มาเมื่อสามปีก่อน ไม่นานนักเขาก็เสียน่ะ”
ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรดี จะบอกว่าเสียใจด้วย คุณปู่คนนั้นก็ไม่ใช่ญาติของพี่เทียนเสียหน่อย
แต่ไม่แน่ จากสายตาที่พี่เทียนดูหงอยลงแบบนั้น ผมคิดว่าคุณปู่อาจมีความสำคัญกับพี่เทียนไม่มากก็น้อย ผมเลยตัดสินใจพูดไปว่า
“เสียใจด้วยนะครับ”
“อืม ขอบคุณนะนนท์” พี่เทียนถอนหายใจหนหนึ่ง “เอาเถอะ ก็กลายเป็นว่าตอนนี้พี่อยู่บ้านเขาคนเดียว แต่พี่มาอยู่ที่นี่สามปีแล้ว ก็พอจะเข้าใจอะไรๆ และอยู่คนเดียวได้ล่ะนะ แรกๆ น่ะพี่ลนน่าดูเลย อะไรก็งงไปหมด หยางจิวหรงเพิ่งออกมา เขาคงยังต้องเรียนรู้อีกหลายอย่าง ฝากนนท์ดูแลเขาด้วยนะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็มาถามพี่ได้ ถือว่าพี่มีประสบการณ์มาก่อน”
พี่เทียนขยิบตาให้ผมก่อนจะพูดต่อ
“แต่หยางจิวหรงคงไม่ชอบขี้หน้าพี่เท่าไหร่ ถ้าเขาไม่อยากขอความช่วยเหลือก็ไม่เป็นไรนะ แต่ถ้านนท์มีอะไรอยากถามก็ไลน์มาหาพี่ได้ตลอด โอเคไหม”
“ครับ ขอบคุณนะครับพี่”
ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทีเดียว ที่ผ่านมาพี่เทียนคอยช่วยผมเรื่องการเรียนมาตลอดทำให้ผมไว้เนื้อเชื่อใจเขาพอสมควร พอวันนี้เขาอาสาจะช่วยผมเรื่องประหลาดๆ อย่างเรื่องหยางจิวหรงด้วย ผมที่ยังออกจะงงๆ กับเรื่องนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา ว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนคอยให้คำปรึกษาและช่วยเหลือได้
พี่เทียนยิ้มอบอุ่นมาให้เมื่อเห็นผมขานรับ
“งั้นวันนี้พี่ไม่กวนเวลานนท์แล้ว กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวหยางจิวหรงคอย”
“นั่นสิครับ เขาคงรอผมกลับแย่แล้ว” ผมยกแก้วโกโก้ที่ยังดูดไม่หมดขึ้นมาถือ “งั้นผมกลับก่อนนะครับ ขอบคุณนะพี่ที่เลี้ยงน้ำ”
“ไม่เป็นไร นิดหน่อยเอง ถือเป็นการฉลองที่เราได้มีความลับร่วมกันนะนนท์” พี่เทียนขยิบตาให้ผมอีกหนึ่งที ผมยิ้มให้เขา โบกมือบ๊ายบายแล้วหยิบกระเป๋าหนังสือเดินจากมา
กลับมาถึงบ้าน ผมอดห่วงไม่ได้ว่าหยางจิวหรงจะเบื่อเลยออกไปตามผมอีกหรือเปล่า แต่ผมก็โล่งใจเมื่อเห็นเขากำลังนั่งดูทีวีอยู่กับแม่
แม่เปิดรายการตลกทางโทรทัศน์ ตลกแบบที่คนแก่ๆ ชอบดูแล้วขำ แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะสนุกตรงไหน มันเป็นรายการประเภทดาราตลกเล่นมุกบ้าบอ แม่ขำ หยางจิวหรงก็ขำ
มุกคนแก่พรรค์นี้ก็ขำด้วยเรอะ
พอเห็นผมกลับมาบ้าน หยางจิวหรงรีบเข้ามาหา เขารับกระเป๋าไป ผมแอบงงหน่อยๆ ว่าเขาจะเอากระเป๋าผมไปไหน แต่เขาเอาไปวางบนโซฟาให้ พอผมเดินไปยืนที่หน้าโซฟา เขาก็หันมาบอกผมว่า
“ฉันชอบทีวี”
เออ ก็ดี
แม่นั่งอยู่บนโซฟา บนตักมีจานมะม่วงเปรี้ยว แม่ชวนผมกิน “นนท์ กินมะม่วงไหม เปรี้ยวมากเลย เปรี้ยวเข็ดฟันเลยลูก”
“ฉันไม่ชอบมะม่วง” หยางจิวหรงบอก เขาหรี่ตาแล้วส่ายหัวไปมา
ผมหยิบมะม่วงชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก ก่อนจะพบว่ามันเปรี้ยวเกินกว่าที่มนุษย์เดินดินทั่วไปจะกินได้ ผมไม่กล้าเสี่ยงกัดต่อจนหมดชิ้น เลยแอบหย่อนส่วนที่ยังเหลือลงในถังขยะข้างโซฟา ตาเหลือบมองแม่ที่กินมะม่วงท่าทางเอร็ดอร่อยด้วยความประทับใจ
“เปรี้ยวขนาดนี้แม่กินได้ไงเนี่ย” ในปากผมยังรู้สึกถึงรสเปรี้ยวอยู่เลยตอนพูด “วันนี้ทำอะไรกันบ้างครับ”
“แม่เอาของออกไปส่งไปรษณีย์มาแล้วตอนเช้า เออ นี่ เพื่อนลูกน่ะ น่าตีจริงเชียว แม่ตื่นลงมา เห็นเขากำลังนั่งบีบบับเบิ้ลเล่นอยู่ แบนไปตั้งครึ่งเมตรเลย แบบนี้ไม่ดี ห้ามทำนะรู้ไหม มันเอาไว้ห่อของ”
ผมหันมองหยางจิวหรง เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ห้ามทำนะ” ผมชี้หน้าเขา
“มันสนุกนี่” ตานั่นตอบ หน้าตาไม่แสดงอารมณ์อะไรเหมือนเคย
เขาเหมือนแมวดำที่ทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ แต่แอบลงมาข่วนโซฟาเป็นรอย ในกรณีนี้คือเจ้าแมวในร่างมนุษย์โผล่มาบีบเม็ดบับเบิ้ลกันกระแทกจนแบนไปครึ่งเมตร
หยางจิวหรงนั่งดูทีวีต่อ ผมปล่อยให้เขากับแม่ดูทีวีกันไป ส่วนตัวผมก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนักศึกษาเป็นชุดอยู่บ้าน
อาบน้ำเสร็จผมก็ลงมานั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะกินข้าว หยางจิวหรงย่องจากหน้าทีวีเข้ามาหาผมเหมือนแมวดำตัวเขื่องที่อยากได้อาหาร เขาเข้ามาเมียงมองดูว่าผมทำอะไร
“การบ้านจีน จะช่วยทำเหรอ” ผมถาม ยื่นสมุดที่เปิดกางแบบฝึกหัดให้เขาดู
“เอาสิ” เขาตอบ ผมก็เลยให้เขาช่วยทำการบ้าน
หลังจากให้หยางจิวหรงช่วยบอกคำตอบของการบ้านคำศัพท์และไวยากรณ์ทั้งหมดแล้ว ผมก็นั่งคัดตัวอักษร ส่วนเขาก็มองดูผมด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ
“วันนี้เป็นไงบ้าง ไปเรียนสนุกไหม”
ผมไม่อยากบอกเขาเรื่องพี่เทียน เลยตอบกลางๆ “ก็ดี”
“วันนี้ฉันอยู่บ้านก็สนุก” เขาบอก “อยู่กับแม่เธอน่ะ สนุกดีนะ แม่เธอชวนคุยทั้งวันเลย”
บอกตามตรงบางครั้งผมก็เบื่อเรื่องที่แม่คุย แต่หยางจิวหรงกลับมองว่าสนุก อย่างนั้นก็ดี ผมดีใจที่เขาเป็นเพื่อนคุยให้แม่ได้ ผมพยักหน้าหงึกๆ ไม่ได้ตอบอะไร ตากำลังจ้องสมุดคัดตัวอักษรอยู่ตอนที่เขาพูดขึ้นว่า
“ไม่รู้ว่าการมาของฉันมันรบกวนพวกเธอหรือเปล่า แต่ฉันชอบชีวิตที่นี่นะ มันสงบดี”
ผมเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ได้เห็นหยางจิวหรงยิ้มให้
หยางจิวหรงไม่ใช่คนยิ้มบ่อย ส่วนใหญ่เขาจะทำหน้าตายเสมอ แต่ตอนนี้เขายิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มของคนที่มีความสุขและปลอดโปร่งโล่งใจ
รอยยิ้มของเขาที่ผมได้เห็นทำให้ผมรู้สึกดี
ถึงการโผล่มาของเขาจะเป็นเรื่องแปลกๆ แต่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง และการได้ทำให้คนอื่นมีความสุข มันก็ทำให้ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย
“ถ้าชอบที่นี่...” ผมพูดออกไปทั้งที่ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก “ก็อยู่กันไปแบบนี้ก็ได้เนอะ”
เขาพยักหน้า ไม่ได้พูดตอบรับหรือปฏิเสธชัดเจน ในแววตาสีดำนั้นไม่มีร่องรอยใด ผมเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าหยางจิวหรงกำลังคิดอะไรอยู่
คืนนั้น ผมนั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอน กำลังตั้งท่าอ่าน ‘ลิขิตรักหลี่ซูฮวา’ ใหม่ตั้งแต่ต้น หยางจิวหรงนั่งอยู่บนเตียง เขามองมาทางผมแล้วถาม
“ยุ่งอยู่หรือเปล่า”
“ก็ไม่ กำลังอ่านนิยายที่ไม่มีนายแล้วไง” ตาผมจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กด้วยความลุ้นระทึกกับการเอาตัวรอดในโลกการค้าผักของหลี่ซูฮวา
“เป็นไง สนุกไหม”
“มันเหมือนเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นโดยสิ้นเชิงเลยน่ะ แต่ก็สนุกนะ แบบนี้... นิยายเรื่องนี้สมัยยังมีพี่เทียนคงสนุกไปอีกแบบ คิดแล้วก็อยากอ่านแฮะ”
“หาทางเอาเขายัดกลับไปในนิยายสิ” หยางจิวหรงพูดลอยๆ
“มีวิธีกลับไปด้วยเหรอ” ผมหันไปถาม
คราวนี้ฮ่องเต้ส่ายหน้า “ไม่รู้สิ อาจจะมีก็ได้ ฉันไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ผมเอียงคอคิด ก่อนจะหันไปกดปิดโน้ตบุ๊ก แล้วเดินไปนั่งบนเตียงข้างๆ กับเขา
“อยากกลับไปที่นั่นไหม ลำบากใจหรือเปล่าที่อยู่ดีๆ ก็ออกมาอยู่โลกนี้”
“ไม่นะ” หยางจิวหรงทำหน้าไร้อารมณ์อีกแล้ว “ฉันชอบที่นี่ ถึงจะกังวลว่ากำลังสร้างความลำบากให้เธอกับแม่ก็เถอะ”
“พูดซ้ำอีกแล้ว บอกแล้วไงว่าไม่ได้ลำบากมากมายอะไร” ผมตีต้นขาเขาเบาๆ แล้วหัวเราะ “ครอบครัวนี้แปลกใช่ไหม ผมชินกับการมีตัวละครทะลุมิติมาอยู่ในบ้านได้รวดเร็วจัง”
“อืม ก็ถือว่ายอมรับอะไรได้ง่ายๆ ดี คนอื่นคงตกใจโวยวายเยอะกว่านี้แน่”
ผมนึกทบทวนดู มีสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมสามารถยอมรับเรื่องคนโผล่ออกมาจากนิยายได้ง่ายๆ
สาเหตุที่ว่าคือความตายของพ่อ
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะอธิบายมันไม่ได้ แต่เหมือนผมจะรับรู้จากส่วนลึกในจิตใจอยู่แล้วว่าพ่อจากไปเพราะอะไร เมื่อผมพอจะเดาได้ลางๆ ว่าการเชิญบางสิ่งหรือบางคนออกมาจากหนังสือนั้นเป็นไปได้ การที่หยางจิวหรงโผล่ออกมาจึงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายอะไรมากนัก
“คงเพราะมีประสบการณ์มาก่อนล่ะมั้ง” ผมก้มหน้า พูดเบา “พ่อของผมก็เคยเชิญอะไรบางอย่างออกมาจากหนังสือน่ะ”
คำพูดของผมคงไปสะกิดอะไรในหัวของหยางจิวหรงเข้า เพราะเขาทำเสียงเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“วันนี้แม่เธอบอกฉันว่า...พ่อของเธอฆ่าตัวตาย เป็นเรื่องจริงเหรอ”
ผมมองหน้าเขา ลองถามกลับไป “พูดอะไรแปลกๆ แม่จะโกหกทำไม แล้วโกหกว่าพ่อฆ่าตัวตายเนี่ยนะ ใครจะไปทำอย่างนั้นกันเล่า”
เขาท่าทางลำบากใจขณะพูดออกมา “แม่เธอดูแปลกๆ พูดอึกอักๆ จะบอกว่าเสียใจเพราะสามีฆ่าตัวตายก็ดูเหมือนไม่ใช่อย่างนั้น ท่าทางเหมือนพูดเรื่องไม่จริง เหมือนกำลังปิดบังอะไร”
“อ่านคนเก่งนะ” ผมชมเขา ก่อนจะพยักหน้าหนหนึ่ง “ใช่ แม่มักจะบอกว่าพ่อฆ่าตัวตาย แต่ความจริงเป็นอย่างอื่น”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ผมมองหน้าหยางจิวหรงและค่อยๆ อธิบายออกมาให้เข้าใจง่าย ผมเล่าเรื่องสภาพศพของพ่อ เสือที่ถูกพบในบริเวณใกล้ๆ และหนังสือที่ตกอยู่บนพื้น
“เพราะแม่ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงตาย การเล่าว่าพ่อฆ่าตัวตายมันทำใจได้ง่ายกว่ายอมรับว่าไม่รู้ว่าพ่อตายได้ยังไง เพราะงั้นแม่เลยบอกเสมอว่าพ่อฆ่าตัวตาย แต่ความจริง ถ้าไม่รู้ว่าพ่อตายได้ยังไง จะบอกว่าโดนฆ่าหรือมีอุบัติเหตุก็ได้นี่ ทำไมแม่ถึงพูดว่าพ่อฆ่าตัวตาย ก็เพราะแม่รู้อยู่ลึกๆ ว่าการตายของพ่อเกิดจากการกระทำของพ่อเอง ไม่ใช่ของคนอื่น ผมเองก็รู้สึกอย่างนั้น เพียงแต่ยังไม่แน่ใจมาตลอด จนตอนที่นายออกมาจากนิยายได้นั่นแหละ ผมเลยเข้าใจว่าพ่อน่าจะเชิญเสือออกมาจากหนังสือและถูกเสือตัวนั้นกัดตาย”
ผมคิดว่าตัวเองควบคุมเสียงไม่ให้สั่นได้แล้ว แต่หางเสียงของผมก็ยังสั่นนิดๆ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผมรู้สึกกลัว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเล่าเรื่องพ่อให้ใครสักคนฟัง เรื่องนี้เป็นเรื่องประหลาด ลึกลับเหนือธรรมชาติ ดังนั้นผมจึงไม่เคยปริปากบอกผู้ใด เพราะรู้ว่าคนอื่นเขาคงไม่เชื่อ เมื่อได้พูดมันออกไปเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกผิดแปลกราวกับเสียงที่เล่าไม่ใช่เสียงของตัวเอง
หยางจิวหรงลุกขึ้นมายืนตรงหน้าผม เขาก้มลงมาหาผมที่นั่งอยู่ เสียงเขาดูอ่อนโยนตอนที่ถาม
“เธอคงเป็นทุกข์มากที่เสียพ่อไปอย่างน่ากลัวแบบนั้น”
ผมพยักหน้า ไม่อาจพูดอะไรได้ เพราะกลัวว่าเสียงจะสั่นอีก
หยางจิวหรงเอื้อมมือมากุมมือผมไว้ทั้งสองข้าง เขาบีบมือผมเบาๆ
“ฉันสาบานว่าจะไม่ทำอันตรายเธอ และจะปกป้องเธอจากจางเฟยเทียน”
ผมรู้ว่าทั้งเขาและพี่เทียนจะไม่ทำร้ายผมหรอก แต่มันก็เป็นการปลอบใจที่ได้ผลอยู่บ้าง ผมหลุดยิ้มออกมา พยักหน้าแล้วบอกกับเขา
“ขอบคุณนะ”
คืนนั้นเรานอนหลับโดยไม่ได้พูดคุยอะไรที่ดูจะอ่อนไหวกันอีก ผมสอนหยางจิวหรงให้กดรับสติ๊กเกอร์ไลน์ฟรีจากพวกแบรนด์สินค้าต่างๆ และบอกให้เขาส่งสติ๊กเกอร์มาหาผมกับแม่
“ตกลงจะเอาไลน์พี่เทียนไหม” ผมถามหยอกๆ
“ไม่ดีกว่า ไม่รู้จะคุยอะไร”
“เขาดูเป็นห่วงนายมากนะ เขาอาจจะจริงใจก็ได้ อย่ารีบร้อนตัดสินไปก่อนเลย”
เมื่อผมบอกแบบนั้น หยางจิวหรงก็พยักหน้าแล้วบอกว่า “ถ้าเขาจริงใจก็ดี แต่ขอต่างคนต่างอยู่ดีกว่า มันคงจะดีกว่าพูดคุยรู้จักกัน”
ไม่ว่ายังไงหยางจิวหรงก็ไม่ไว้วางใจพี่เทียนอยู่ดี
“เขาอาจช่วยสอนอะไรที่มีประโยชน์กับนายก็ได้นะ” ผมลองชักชวนเพิ่มอีกหน
“ฉันดูแลตัวเองได้” เขาตอบกลางๆ เอามือกดปุ่มโทรศัพท์ให้หน้าจอดับลง
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมออกเดินทางไปเรียนเหมือนอย่างทุกที และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่พี่เทียนมาหาที่ห้องหลังเลิกเรียนและบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับผม
“รู้สึกว่าช่วงนี้พี่มีเรื่องอยากคุยกับผมทุกวันเลยนะครับ”
ผมบอกขำๆ แต่ก็ตกลงจะคุยกับเขา
พี่เทียนพาผมไปหาสถานที่ที่จะสามารถนั่งคุยกันได้โดยไม่มีใครรบกวน สถานที่ที่เขาเลือกคือร้านอาหารหลังห้องสมุด ซึ่งเป็นร้านที่พวกนักศึกษาภาคปกติจะไม่ค่อยมากินกัน เนื่องจากราคาอาหารสูงกว่าในโรงอาหาร แถมยังอยู่ติดกับตึกเรียนของพวกภาคอินเตอร์ ลูกค้าจึงเป็นเด็กภาคอินเตอร์เสียมากกว่า นานๆ ครั้งผมถึงจะได้มาเหยียบร้านนี้สักที พวกเราไม่ค่อยมากินอะไรแพงๆ กันหรอก ที่วันนี้ผมยอมแวะมาเพราะพี่เทียนเลี้ยง เหตุผลเดียวจริงๆ เลยครับ
ผมจ้วงช้อนตักหลนเต้าเจี้ยวกุ้งสับที่อยู่ในจานด้วยความเอร็ดอร่อย ส่วนพี่เทียนใช้ช้อนกับส้อมค่อยๆ ตัดหมูในจานเป็นชิ้นเล็ก ปากก็คุยกับผม
“ความจริงพี่มีเรื่องอยากให้นนท์ช่วยน่ะ รับรองว่าเป็นเรื่องไม่ยาก นนท์ทำได้แน่”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
จางเฟยเทียนเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม สีหน้าท่าทางของเขาดูสุภาพและฉลาดเฉลียว เหมือนกับรุ่นพี่คนเดิมที่ผมรู้จักมาตลอดสองปีที่เรียนมา
“พี่อยากกลับเข้าไปในนิยายน่ะ นนท์”
ผมมองหน้าพี่เทียน ช้อนที่กำลังจะตักอาหารเข้าปากลดลงไปวางในจานเหมือนเดิม เสียงผมลังเลตอนที่พูดออกไป “แต่หยางจิวหรงบอกว่า...กลับเข้าไปในนิยายไม่ง่าย เขาบอกผมแบบนั้น”
“เขาแค่ไม่รู้วิธี” พี่เทียนตอบ จิ้มเนื้อในจานเข้าปาก “พี่เองก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้ เงื่อนไขคือต้องให้คนที่มีความสามารถในการอัญเชิญเป็นคนพาเรากลับไป นนท์สามารถช่วยให้พี่กลับเข้าไปในนิยายได้ แค่พูดว่าจะส่งพี่กลับเข้าไปแล้วดันพี่กลับเข้าไปในนิยาย กฎคือเราจะกลับไปได้ผ่านหนังสือเล่มที่เราออกมาเท่านั้น หรือถ้าพูดอีกอย่างก็คือผ่านอุปกรณ์ที่เราออกมา อย่างในกรณีของพี่จะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านปู่วิเชียร ง่ายใช่ไหมล่ะ แค่นนท์แวะไปบ้านพี่ พูดอะไรนิดหน่อยส่งพี่กลับไป แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว”
ฟังดูก็ไม่ยากจริงๆ ผมนึกพลางมองอาหารในจาน
“นนท์จะช่วยพี่ไหม” พี่เทียนทำเสียงอ้อน มองผมตาใส ดูแสนซื่อ “พี่อยากกลับบ้านนะนนท์ พี่อยากกลับไปเจอพ่อแม่และทุกคนในตระกูลจาง นนท์น่าจะนึกออกสิ พี่ออกจากนิยายมา ไม่ได้เจอน้องชายกับน้องสาวมาตั้งนานแล้ว”
“อืม” ผมเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร เลยตอบตกลง “ผมช่วยก็ได้ครับ พี่จะให้ผมพาพี่กลับวันไหนดี”
“เอาไงดีน้า พี่ยังมีเรื่องที่อยากทำในโลกนี้อยู่อีกนิดหน่อย เอาเป็นสัปดาห์หน้าดีไหม นนท์พาพี่กลับอังคารหน้า อะไรแบบนี้”
“ได้ครับ งั้นวันอังคารเย็นๆ ผมแวะไปบ้านพี่นะ”
“ดีล” พี่เทียนพยักหน้า ท่าทางพออกพอใจที่ผมว่าง่าย
ผมมองหน้าพี่เทียนที่ดูแสนจะระริกระรี้อย่างกับปลากระดี่ได้น้ำ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ แบบนี้ก็แปลว่าผมจะไม่ได้เจอพี่อีกแล้วน่ะสิ”
“ก็ใช่ แต่พี่จะได้กลับบ้านไง ยินดีกับพี่เถอะนะนนท์ พี่มาอยู่โลกนี้ไม่มีญาติ ไม่มีใครเลย มันเหงามาก” พี่เทียนเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาแตะมือผมที่จับช้อนอยู่ “ช่วยพี่กลับไป ถือว่าใจบุญกับลูกนกลูกกานะนนท์นะ”
“แหม ใช้คำซะ...” ผมยอมรับว่าผมแพ้สายตาขี้อ้อนของพี่เทียน “ก็ได้ๆ ผมจะพาพี่กลับ เราเจอกันวันอังคารหน้า ไม่ต้องห่วงครับ”
“เย้ นนท์ใจดีที่สุดเลย” พี่เทียนร้องออกมา ท่าทางเขาดูสดใส ทำให้ผมคิดเอาเองว่าคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in