(เจ้าช่างเย่อหยิ่ง) น้ำเสียงที่แข็งกระด้างของชายวัยชราไหลเข้ามากระทบแก้วหูของสุนัขป่าที่กำลังนั่งอยู่ที่โขดหิน
"ทำไมข้าจะเย่อหยิ่งไม่ได้ ข้าเป็นสุนัขป่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่สุนัขป่าบนภูเขา" สุนัขป่ากล่าว
(เจ้าได้ขนมปังจากอดีตนักรบผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าทุกวี่ทุกวัน ทำไมข้ายังต้องเป็นผู้เดินไปหาเจ้า) ชายชรากล่าว
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาด พวกมันอยู่กันเป็นกลุ่มแต่กลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว พวกมันค้นพบสิ่งต่างๆแต่กลับรู้สึกเหมือนไม่พบสิ่งใด พวกมันต่างทำลายธรรมชาติ แต่กลับโหยหาธรรมชาติ ข้าไม่เคยเข้าใจ
(ดูสิ ทำเป็นเย่อหยิ่งแต่กลับกินขนมปังที่ข้าให้อย่างมูมมาม)
"ข้าไม่ได้กินเพราะเจ้าต้องการให้กินหรือเพราะเจ้าเป็นผู้ให้ ข้ากินเพราะมันเป็นประโยชน์ที่ข้าได้รับก็เท่านั้น"
ความสบายใจที่มนุษย์ได้รับจากธรรมชาติ ทำให้สลัดความรู้สึกด้านลบที่ได้รับมาได้เป็นอย่างดียิ่งถ้ามีใครสักคนรับฟังเรื่องราวของเราในช่างเวลานี้ก็คงจะดีมิใช่น้อยสภาพเขาดูต่างไปจากวันแรกที่เจอกันมากทีเดียว แต่ขนมปังก็ยังรสชาติเหมือนเดิม
"เจ้าไม่มีครอบครัวหรือ การออกมาเดินโอ้เอ้บนภูเขาไม่ทำให้ใครสักคนกังวลบ้างเลยหรือ"
คำพูดข้าไม่เคยส่งไปถึงชายชราคนนี้เลยสักครั้ง เขายังคงนั่งฉีกขนมปังต่อไปเรื่อยๆ
"ข้าอิ่มแล้ว" "ข้าบอกว่าข้าอิ่มแล้ว"
สุนัขป่าปฏิเสธที่จะกินขนมปัง ดวงอาทิตย์ค่อยๆตกลงไปเรื่อยๆ
"ดูดวงอาทิตย์สิ ตกต่ำเหมือนชีวิตเจ้าเลยฮ่าๆๆ"
อีกไม่นานดวงอาทิตย์ก็จะหายไปในชายป่า ท้องฟ้าก็จะมืดจนมนุษย์อยู่ไม่ได้
และก็จะเหลือเพียงสุนัขป่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูเขา แต่พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นทุกวัน
เมื่อพรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้น จนเยื่องศีรษะข้าไปสองคืบ ขนมปังก้อนใหม่ก็จะวางอยู่ตรงหน้าข้า
สุนัขป่านอนเกลือกกลิ้งอยู่บนโขดหินที่เต็มไปด้วยเศษขนมปังที่กินเหลือไว้ตอนนี้ท้องฟ้ามืดพอที่จะเห็นดวงดาว หากลดระดับสายตาลงมา จากแสงดาวที่หยุดนิ่งจะเห็นแสงหิ่งห้อยที่กะพริบและเคลื่อนไหวไปมาจากชายป่าห่างออกไป
ข้ามักที่จะเลือกมองแค่ดวงดาว เพราะความงามของดวงดาวมันคงที่ถึงก้อนเมฆจะน่ารำคาญแต่ก็ยังเคลื่อนที่ช้า ต่างกับหิ่งห้อยที่ไม่มีอะไรแน่นอน
แต่ความงดงาม ยังไงเสียมันก็ยังงดงาม
สุนัขป่าค่อยๆเดินทางสู่ห้วงนิทราอันสงบ
(เจ้าช่างเย่อหยิ่ง) คำพูดของชายชราทำให้สุนัขป่าหลุดจากนิทรา
"เพราะการทักทายที่ประหลาดอย่างนี้ไง เจ้าถึงได้โดดเดี่ยว"
พระอาทิตย์เยื้องศีรษะสุนัขป่าไปสองคืบ พร้อมกับขนมปังก้อนใหม่ที่วางอยู่ข้างหน้า
(ดูสิ ทำเป็นเย่อหยิ่งแต่กลับกินขนมปังที่ข้าให้อย่างมูมมาม)
"ข้าไม่ได้กินเพราะเจ้าต้องการให้กินหรือเพราะเจ้าเป็นผู้ให้ ข้ากินเพราะมันเป็นประโยชน์ที่ข้าได้รับก็เท่านั้น"
บทสนทนาที่ซ้ำซากเกิดขึ้นวันแล้ววันเล่า
เมื่อมนุษย์ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากพอ มนุษย์มักปลดปล่อยความรู้สึกบางอย่างออกมาไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกทางบวกหรือทางลบ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำอะไรบางอย่างหรือการได้พูดอะไรบางอย่างออกมา จึงไม่แปลกที่จะเห็นมนุษย์ยืนอยู่บนยอดเขาและตะโกนสิ่งที่พวกเขารู้สึกออกไป แต่สำหรับชายชราที่เคยผ่านสมรภูมิรบมาคงจะมีเรี่ยวแรงเหลือแค่พอที่จะนั่งฉีกขนมปังและพูดเบาๆกับสุนัขที่ไม่รู้ว่าจะรับฟังเขาได้รึเปล่าเท่านั้น
(เจ้า....มานี่.....มานี่สิ)
"เจ้านี่ช่างน่าขัน ข้าเป็นถึงสุนัขป่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่สุนัขป่าบนภูเขาเชียวนะ ข้าไม่เดินไปหรอก"(อย่าเย่อหยิ่งกับข้านักเลย....) ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่บางลงคำพูดของชายชราสะดุดหูของสุนัขป่าจนเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของชายชราและนั่นเป็นครังแรกที่สุนัขป่าได้เห็นดวงตาของเขา
ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าสัตว์สังคมอย่างมนุษย์จะมีแววตาที่โดดเดี่ยวได้เช่นนี้แววตานั้นทำให้ข้ารู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์คนเดียวที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้"เจ้าช่างโชคดีที่ไม่สามารถรับฟังคำพูดของข้าได้ หากเจ้าได้ยินคำพูดเหล่านั้นเจ้าคงโดนเสียดแทงด้วยคำพูดต่างๆของข้า"
บทสนทนาที่น่าประหลาดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นครั้งแรกที่ชายชราพูดในเรื่องของตนเองดวงอาทิตย์ค่อยๆหายไปในชายป่า อีกไม่นานฟ้าก็จะมืดจนมนุษย์อยู่ไม่ได้
"อีกไม่นานข้าคงจะได้จ้องมองดวงดาวลำพัง"
สุนัขป่าค่อยๆย่างก้าวเข้าใกล้ชายชราอย่างช้าๆ ชายชรายิ้มกว้างอย่างที่สุนัขป่าไม่เคยเห็นมาก่อน
"แววตาเจ้าค่อยดูเป็นสัตว์สังคมขึ้นมาหน่อย"
เมื่อหลายปีก่อนข้าเคยเดินลงภูเขา ข้าเดินเล่นใกล้หมู่บ้านด้านล่างข้าไม่กล้าเดินเข้าไปในหมู่บ้าน กลัวว่าจะโดนมนุษย์ทำร้ายและนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นชายชราคนนั้น เดินออกมาจากบ้านหลังเก่าๆเดินเข้าไปในป่า เขาพบข้าเข้าตอนที่ข้าวิ่งกลับขึ้นภูเขาข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าครอบครัวเขาเป็นอย่างไรข้าคิดว่าเขาเป็นแค่อดีตทหารที่โอ้อวดและว่าง ไม่เคยคิดว่าเขาจะเล่าเรื่องราวของเขากับข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาเสียคนในครอบครัวของเขาไปทั้งหมดเขาเป็นอดีตนักรบผู้ยิ่งที่ชื่นชมความยิ่งใหญ่ของตัวเองได้แค่เพียงลำพังคงไม่ต่างจากข้าที่เป็นสุนัขป่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่สุนัขป่าบนภูเขาแต่บนเขาลูกนี้มีสุนัขป่าเพียงตัวเดียว เพราะกว่าที่มนุษย์จะเลิกล่าสัตว์ด้วยความสนุกสนานได้ภูเขานี้ก็เหลือเพียงข้าเสียแล้ว แปลกที่ข้าก็ยังกินขนมปังจากมนุษย์เรื่อยๆคงเป็นเพราะในแววตาของชายชรานั่นไม่ได้มีเจตนาที่จะหยิบยื่นความตายให้แก่ข้าสิ่งที่เขาหยิบยื่นก็มีเพียงแค่ขนมปังเท่านั้น
(เจ้าช่างเย่อหยิ่ง)
"ทำไมข้าจะเย่อหยิ่งไม่ได้ ข้าเป็นสุนัขป่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่สุนัขป่าบนภูเขา"
บทสนทนาที่แสนกวนประสาทนี้เกิดขึ้นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะเป็นความคิดที่อยู่ในจิตใจลึกๆของทั้งสองทุกเรื่องราวที่ชายชราเคยเล่า ล้วนแต่เป็นเรื่องราวในอดีตทั้งนั้นคงเป็นเพราะเวลาชีวิตที่เคยผ่านมา
มันมากเสียยิ่งกว่าเวลาชีวิตที่เหลืออยู่สภาพเขาดูต่างไปจากวันแรกที่เจอกันมากทีเดียว
แต่ขนมปังก็ยังรสชาติเหมือนเดิม
(อยากเห็นทุ่งดอกไม้จังเลยนะ) ชายชรามักพูดประโยคที่ดูไม่มีที่มาที่ไปอยู่ตลอดแต่ประโยคนี้เกิดสะดุดหูสุนัขป่าเข้า คงเป็นเพราะเรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงอดีต
เขาพูดถึงทุ่งดอกไม้อะไร
(ข้าได้ยินคนในหมู่บ้านพูดคุยกันถึงทุ่งดอกไม้ที่อยู่หลังภูเขา ข้าอยากเห็นจัง)ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาบางจนแทบไม่ได้ยิน
"ไม่ได้นะ! ทุ่งดอกไม้นั้นเป็นของข้า ข้า สุนัขป่าผู้ยิ่งใหญ่เป็นเจ้าของ ข้าไม่อนุญาต"
แต่ช่างมันเถอะ ถึงข้าพูดไปเจ้าก็ไม่ได้ยินอยู่ดี มนุษย์ก็เป็นเสียอย่างนี้ดอกไม้ในทุ่งนั่นสำคัญกับข้ามาก ข้ากับมิตรสหายข้าเคยอาศัยอยู่ที่นั่นไม่อยากให้มนุษย์ไปยุ่มย่ามอีกแล้ว
ดวงอาทิตย์ค่อยๆหายไปในชายป่า อีกไม่นานคงมืดเสียจนมนุษย์อยู่ไม่ได้
"อีกไม่นานข้าคงจะได้จ้องมองดวงดาวลำพัง"
ท้องฟ้าค่อยมืดลงเรื่อยๆ จนแสงดาวเด่นชัด พอๆกับดวงจันทร์ที่อยู่บนนั้น
หิ่งห้อยก็ยังคงเคลื่อนที่และไม่คงที่เหมือนเดิม
สุนัขป่าค่อยๆเดินทางสู่ห้วงนิทราอันสงบ ความมืดบนฟ้าก็ไม่ได้มืดอยู่อย่างนั้นตลอด
ดวงอาทิตย์ค่อยเคลื่อนตัวสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ขณะที่ดวงจันทร์ลดตัวลง
สุนัขป่าตื่นขึ้นจากนิทรา มันรู้สึกมีความสุขในตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นสูง
กำลังเตรียมตัวที่จะสร้างบทสนทนาสุดประหลาด
ดวงอาทิตย์สูง จนเยื่องศีรษะของสุนัขป่าไปสองคืบ
แต่ที่ตรงข้างหน้า ไม่มีขนมปังอีกต่อไปแล้ว
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาด มนุษย์ที่แสนโดดเดี่ยว กลับทำให้ข้าไม่โดดเดี่ยว
มนุษย์ไม่ค้นพบสิ่งที่ตามหา แต่ทำให้ข้าค้นพบอะไรบางอย่าง มนุษย์โหยหาธรรมชาติ
แต่กลับหนีหายไปจากธรรมชาติ
"ทำไมข้าจะเย่อหยิ่งไม่ได้ ข้าเป็นสุนัขป่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่สุนัขป่าบนภูเขา"
บทสนทนาที่แสนประหลาดก็ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นเพียงแต่เป็นบทสนทนานี้เกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว
"ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ ที่พระอาทิตย์ขึ้นเยื้องศีรษะข้าไปสองคืบ"
แต่ความสว่างบนฟ้าก็ไม่ได้อยู่อย่างนั้นตลอดสุนัขป่านั่งบนโขดหินลำพัง
ดวงอาทิตย์ค่อยๆตกลงไปเรื่อยๆ
"ดูดวงอาทิตย์สิ ตกต่ำเหมือนชีวิตข้าเลยฮ่าๆๆ"
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจและรู้จักตัวเองมากกว่าผู้อื่น บ้างก็รู้จักผู้อื่นมากกว่าตนเอง
บ้างก็ไม่ได้รู้จักใครเลยแค่คิดว่าตนเองรู้จักดี
บ้างก็พยามที่จะรู้จักกัน
สุนัขป่านั่งอยู่หน้าประตูไม้เก่าๆ
ที่นี่ดูเก่าไปกว่าเดิมอีก เป็นบ้านหลังเก่า ที่อยู่ของคนแก่ๆ
ฉันไม่สนหรอกว่าจะมีคนในหมู่บ้านมาทำร้ายฉันมั้ย
สุนัขป่าค่อยวางดอกไม้ในปากไว้ที่หน้าประตูครั้งแล้วครั้งเล่าที่ดวงอาทิตย์เวียนกลับมาที่เดิม ก็จะมีดอกไม้ที่หน้าประตูเพิ่มมาหนึ่งดอกแต่ไม่ว่าดอกไม้จะเพิ่มมากี่ดอกประตูเก่าๆบานนั้นก็ไม่เคยเปิดออกมา
"เจ้าช่างเย่อหยิ่ง"
ดอกไม้ดอกแรกๆที่คาบมาว่างเหี่ยวเฉาและแห้งต่างจากดอกที่เพิ่งคาบมาวาง
"กลิ่นดอกไม้พวกนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับกลิ่นขนมปังเลย ขนมปังยังรสชาติเหมือนเดิมหรือเปล่า?ตอนนี้เจ้าโดดเดี่ยวหรือเปล่า? แววตาเจ้าเป็นอย่างไร? เจ้ากำลังพูดอยู่หรือเปล่า?น้ำเสียงของเจ้าอาจจะบางจนไม่ได้ยินแล้วก็ได้"
เวลายังคงเดินต่อไปข้างหน้า แต่ความทรงจำเดินถอยหลัง
"เจ้าไม่อยากเห็นทุ่งดอกไม้หรือ? ข้าไม่อยากเป็นเจ้าของทุ่งนั่นแล้ว ที่นั่นมีหิ่งห้อยข้าไม่ชอบหิ่งห้อย
ข้ายกทุ่งนั้นให้เจ้า ข้านำดอกไม้จากทุ่งนั้นมาให้ เจ้าจะไม่ออกมาดูหน่อยหรือ? ไม่อยากเห็นแล้วหรือ?"
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงเรื่อยๆ
"เจ้าได้ดอกไม้จากสุนัขป่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่สุนัขป่าบนภูเขาอย่างข้าทุกวี่ทุกวัน ทำไมข้ายังต้องเป็นผู้มารอเจ้า"
ดวงจันทร์ค่อยๆเคลื่อนตัวสูงขึ้น จนเยื้องศีรษะสุนัขป่าไปสองคืบ
"อย่าเย่อหยิ่งกับข้านักเลย...."
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in