อันที่จริงแล้วก็ไม่เบียดกันอะไรหรอก...รถม้าของจวนไท่จื่อกว้างขวางโอ่อ่าต่อให้คนเยอะกว่านี้ก็ยังเหลือที่ว่างให้นั่ง
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะมีโอกาสได้อยู่สองต่อสองกับไท่จื่อตีให้ตายยังไง นางก็ไม่มีทางยอมให้เจ้าสุนัขรับใช้คนนี้ขึ้นมานั่งด้วยกันเป็นอันขาด
เซียวหนานสวินเหลือบมองนาง“เบียดสิ”
สีหน้าของหนิงเจิงเปลี่ยนอีกครั้ง
เยี่ยเหลียงเซวียนกระหยิ่มยิ้มย่อง“ถ้าเช่นนั้น...”
“ฉะนั้นเจ้าไปนั่งคันข้างหลังซะ”
“...”
เยี่ยเหลียงเซวียนนึกว่าได้ยินผิดเพี้ยนไป“ไท่จื่อ?” นางเบิกตาโตอย่างตกใจ“เมื่อครู่พระองค์ตรัสว่าจะเสด็จชานเมืองพร้อมหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ”
เซียวหนานสวินเอ่ยเรียบนิ่ง“อย่างไรก็เป็นรถม้าจวนไท่จื่อเหมือนกัน แค่ห่างกันไม่กี่ก้าวไม่นับว่าไปด้วยกันหรอกหรือ”
เยี่ยเหลียงเซวียน“...”
คนทั่วไปเข้าใจคำว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้ใช่หรือไม่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมองหาช่องโหว่ทางภาษาอย่างชัดเจน!
นางทั้งอึ้งทั้งโกรธ“ถ้าหากพระองค์ทรงกังวลเรื่องผีเสื้อทองเช่นนั้นให้หนิงเจิงเอาผีเสื้อทองมาให้หม่อมฉันถือดีหรือไม่ เดี๋ยวหม่อมฉัน...”
“พอได้แล้ว
ชายหนุ่มจ้องนางเป็นการตักเตือน
“หนิงเจิงขึ้นรถ!”
เยี่ยเหลียงเซวียนโกรธจนนัยน์ตาแดงก่ำ
ท่าทางของเซียวเฉิงอิ่งก็มิได้ดีไปจากนางเท่าไหร่เขามีสีหน้าครั่นคร้าม มองสองคนนั้นที่ขึ้นรถม้าค่อยๆ จากไป
...
ภายในรถม้า
หนิงเจิงนั่งเกร็งจนเป็นตะคริวนางก้มหน้าก้มตา มิรู้จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
ตอนนี้นางคิดว่าพูดอะไรก็ดูผิดไปเสียหมดแต่ถ้าไม่พูดอะไรสักหน่อย ก็ดูเหมือนน่าอึดอัดเกินไป...
ทว่าในสายตาของเซียวหนานสวินกลับมองว่านางไม่สนใจใยดีเขาเลยสักนิด!
สีหน้าของเขาเย็นเยียบเมื่อครู่ถ้าหากเขามาแก้สถานการณ์เจ้าสุนัขรับใช้นี่คงตายด้วยน้ำมือเซียวเฉิงอิ่งไปแล้วตอนนี้จะพูดขอบคุณเขาสักคำก็ไม่มี
เซียวหนานสวินแสยะอย่างเย็นชาประชดประชันว่า “ไม่เจอหน้าสองวัน เจ้าสกปรกมอมแมมเหม็นสาปอย่างนี้ก่อนงานเลี้ยงเทศกาลร้อยบุปผาเริ่ม เจ้าไม่คิดที่จะอาบน้ำบ้างหรือ”
นางไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำทว่าวาจานี้กลับเป็นการจุดไฟโทสะของนาง นางหันขวับจ้องหน้าเขาแล้วเอ่ยว่า“ที่กระหม่อมมอมแมมเหม็นสาบก็เพราะไท่จื่อจับกระหม่อมโดยนเข้าไปในฝูงหมาป่ามิใช่หรือตอนนั้นพระองค์มิได้ทรงเมตตาบอกให้กระหม่อมอาบน้ำได้นี่พ่ะย่ะค่ะตอนนี้ยังจะมาโทษว่ากระหม่อมไม่ได้อาบน้ำอีกหรือ”
เจ้าสุนัขรับใช้นี่ยังกล้าต่อปากต่อคำกับเขาอีกหรือ
จากนั้นถ้อยคำของหนิงเจิงก็ทำให้เขานึกภาพเหตุการณ์ที่เขาเห็นเมื่อสองวันก่อนขึ้นมาได้...
แววตาชายหนุ่มมืดมนหลายส่วนเม้มริมฝีปากบางจนเป็นเส้นตรง “เหตุใดเปิ่นกงจับเจ้าโยนเข้าฝูงหมาป่าเจ้าไม่เคยคิดที่จะสำนึกตัวเองสักนิดเลยหรือ”
แล้วทำไมนางต้องสำนึกสำเหนียกอะไรด้วยล่ะ
หนิงเจิงโมโหจนแสยะยิ้ม“แน่นอนว่าเป็นเพราะพระองค์ไม่เชื่อใจกระหม่อม กล่าวหาปรักปรำกระหม่อมไงเล่า
เซียวหนานสวินก็โกรธจนแสยะยิ้มเช่นกัน“ปรักปรำหรือ เจ้าไม่ได้ยั่วยวนจี้หลิวเฟิงหรือไม่เคยคิดจะนอนห้องเดียวกันกับเขาล่ะฮะ!”
หนิงเจิง “...”
นางคิดจะนอนห้องเดียวกันจริงแต่นางไม่เคยคิดยั่วยวนใครนี่นา!
หนิงเจิงสูดหายใจเข้าลึกๆ“ในเมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้...” นางหลับตาลง“เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป ฉะนั้นทูลรายงานตามความจริงก็ได้
พลันนางมีสีหน้าจริงจังราวกับยอมแพ้ จ้องเขาแน่นิ่ง “อันที่จริง คืนนั้นไม่ได้เป็นเพราะมีภัยอันตรายใดๆแต่เป็นเพราะ...ก่อนหน้านั้นกระหม่อมไปหาหมอมาพ่ะย่ะค่ะ
สีหน้าของเซียวหนานสวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาป่วยอย่างนั้นหรือ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in