เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
องครักษ์หญิงจอมป่วนminimore
เล่ม 1 ตอนที่ 114 มาสร้างความวุ่นวายจริงๆ

  •  

    เมื่อหนิงเจิงสบตาเขาก็ตัวสั่นเทาทันที

    “ไม่ๆๆ”นางรีบส่ายหน้าแสดงความจงรักภักดี และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “กระหม่อมคิดว่าคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้น่าเบื่อยิ่งนัก มีเพียงไท่จื่อที่เป็นเลิศในปฐพี มีเสน่ห์เหลือหลายซึ่งสร้างความสนใจให้แก่ผู้คนเป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”

    “เหอะ”

    “ไท่จื่อ...”นางก้าวขาเข้าใกล้ แล้วยิ้มตาหยีพูดว่า “ให้กระหม่อมทบหลังให้เอาไหมพ่ะย่ะค่ะ”

    เห็นได้ชัดว่านางยิ้มประจบสอพลอเจ้าเล่ห์ หากคนอื่นยิ้มแบบนี้ให้มันคงเป็นการประจบประแจงที่น่าขยะแขยงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าเป็นคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่เพียงไม่น่ารำคาญเท่านั้น แต่ยังดู...มีเสน่ห์และดูน่ารักขึ้นมานิดนึงอีกด้วย

    ดวงเนตรเซียวหนานสวินลุ่มลึกเล็กน้อยอารมณ์ซับซ้อนที่ถูกระงับไปแล้วก็พลุ่งพล่านอีกครั้งแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

    “ไม่ต้องแล้ว”

    เขาเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “ไปทำธุระของเจ้าเถิด”

    หนิงเจิงอึ้งเล็กน้อยนางยังคิดอยู่เลยว่าเขาต้องตอบตกลงอย่างไรก็ตามอันที่จริงไท่จื่อในสายตานางก็ไม่ใช่ “คนจริงจัง” อะไร

    แต่ว่า...

    นางก็ไม่ได้คิดอะไรมากอาจเป็นเพราะเรื่องแจกจ่ายโจ๊กให้แก้ผู้ประสบภัยเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าและมิอาจละเลยได้ ดังนั้นไท่จื่อก็ต้องทรงระวังตัวมากขึ้นใช่หรือไม่

    ...

     

    เมื่อหนิงเจิงมาถึงนอกเมืองพวกทหารองครักษ์ได้เริ่มสร้างที่พักชั่วคราวและเพิงโรงทานโจ๊กอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

    การก่อสร้างเพิงโรงทานแจกโจ๊กค่อนข้างรวดเร็วเนื่องจากเป็นช่วงกลางวันจึงได้จัดโต๊ะเพื่อแจกโจ๊กให้กับผู้ประสบภัย

     

    แต่พูดตามตรง ที่พักอาศัยต้องใช้เวลานานและใช้กำลังคนจำนวนมาก

    แล้วสิ่งที่สำคัญ...จากคำบอกเล่าของผู้ประสบภัยที่มาถึงที่นี่ก่อนแล้วอาจมีผู้ประสบภัยจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่ทราบจำนวนคนที่มาศูนย์พักพิง

    “จ้าวกงกง...”

    หนิงเจิงมองไปที่คนงานที่วุ่นวายตรงนั้น ขมวดคิ้วและพูดว่า“ในอัตรานี้ ผู้ประสบภัยจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่พวกเขาจะเข้าไปอาศัยหลบแดดหลบฝนในศูนย์พักพิงได้หรือขอรับ”

    จ้าวซู่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วอดถอนหายใจไม่ได้“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่อับจนหนทางเช่นกันสถานการณ์ผู้ประสบภัยหลั่งไหลเข้าเมืองหลวงเช่นนี้น้อยครั้งไม่ว่ายุคสมัยใดก็ล้วนแก้ไขจัดการด้วยวิธีนี้”

    “แต่ว่าตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วนะ”

    หลังจากเข้าสู่เหมันต์ อากาศก็จะยิ่งหนาวเหน็บตอนกลางวันที่มีแดดยังพอไหว แต่เมื่อถึงยามค่ำคืนอาจทำให้แข็งตายได้ยิ่งไปกว่านั้นผู้ประสบภัยเหล่านี้ก็สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วหากอากาศหนาวเรื่อยๆ จะต้องป่วยไข้เป็นแน่ จากนั้นสถาการณ์ก็จะยิ่งย่ำแย่เข้าไปอีก

    อีกอย่าง...

    หนิงเจิงแหงนหน้ามองฟ้าแล้วมักรู้สึกว่าคืนนี้อาจมีฝนตก

    นางถอนหายใจอย่างอดมิได้ และยิ่งขมวดคิ้วเป็นปม

    ในขณะนี้ มีใครบางคนออกมาจากประตูเมือง จู่ๆ ก็เข็นเกวียนหลายเล่มเรียงรายกันเข้ามาระยะทางค่อนข้างไกล นางมองเห็นไม่ชัดว่ามีอะไรอยู่บนเกวียน เห็นมีแค่คนติดตามเกวียนเท่านั้น

    สตรีผู้หนึ่งในอาภรณ์สีขาวหิมะทั้งดูงดงามและผ่องแผ้วบริสุทธิ์ซึ่งมาพร้อมกับเกวียนเก่าบุโรทั่งที่ช่างดูไม่เข้ากันอย่างยิ่งแต่ทว่าเมื่อนางนำเกวียนมาหยุดตรงหน้าเหล่าผู้ประสบภัยยามได้เอ่ยวาจากลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่า นี่แหละคือเทพธิดาตัวจริง!

    “ข้าคือเยี่ยฝูอี เป็นบุตรีของอัครมหาเสนาบดีพอทราบว่าทุกคนระหกระเหินนับพันลี้เพื่อมายังเมืองหลวง ก็คงลำบากกันมากทุกคนโปรดวางใจ ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ไท่จื่อเปิดยุ้งเก็บเสบียงแล้วต่อไปทุกคนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องไม่มีอาหารกินกันนะ ข้าก็พยายามช่วยเหลือที่นี่เล็กน้อยและได้เตรียมเครื่องนุ่งห่มมาให้ ทุกคนก็นำไปใช้กันเถิด”

    เดิมทีเสบียงอาหารก็เพียงพอสำหรับพวกผู้ประสบภัยแล้วคราวนี้เมื่อได้ยินว่ามีเครื่องนุ่งห่มแจกจ่าย ทันใดนั้นก็โห่ร้องด้วยความยินดี

    “ช่างเป็นคนดีจริงๆคุณหนูเยี่ยช่างเป็นผู้เปี่ยมเมตตายิ่งนัก!

    “เทพธิดาเดินดินชัดๆ!

    “...”

    เสียงแซ่ซ้องยินดีดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย

    เยี่ยฝูอีสวมชุดสีขาวมีฮวาเตี้ยน[1]แต่งแต้มบนหน้าผากนางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับทุกคน ช่างราวกับเทพธิดานางฟ้าที่จุติยังโลกมนุษย์จริงๆ “ทุกคนอย่าพูดเช่นนั้นเลยที่ข้าทำเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

    หนิงเจิงเฝ้ามองห่างๆ ก็ได้แต่ขมวดคิ้วเป็นปม

    เมื่อจ้าวซู่เห็นนางมีสีหน้าบึ้งตึงก็อดพูดไม่ได้ “ให้นางทำบุญของนางไป ส่วนเราก็ทำหน้าที่ของเรา ไม่เป็นอะไรหรอกน่า”

    “แล้วถ้าเป็นล่ะขอรับ”

    จ้าวซู่มองนางอย่างตกตะลึง“เจ้าไม่พอใจอะไรคุณหนูเยี่ยหรือเปล่า วางใจเถิดถึงแม้นางจะเป็นลูกคุณหนูอัครมหาเสนาบดี แต่ถ้าไท่จื่อไม่ชอบนางเสียอย่างต่อให้นางขนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มทั้งจวนมาบริจาค ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

    หนิงเจิง “...”

    ไม่พอใจอะไรนาง หมายความว่าอย่างไร

    ถึงแม้นางจะไม่ชอบนิสัยเสแสร้งทำเป็นอ่อนโยนขี้สงสารของเยี่ยฝูอีแต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดขี้หน้า

    หนิงเจิงพูดอย่างช่วยมิได้ “จ้าวกงกงท่านคิดอะไรอยู่น่ะ”

    ที่นางกังวลไม่ใช่ไท่จื่อ แต่เป็น...

    “หมดแล้วๆ!

    ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องตื่นตระหนกดังมาจากพวกผู้ประสบภัย

    สีหน้าของหนิงเจิงเปลี่ยนไปไม่สนใจพูดกับจ้าวซู่อีก แล้วรีบสาวเท้าเข้าไปดูตรงนั้น

    แต่กลับได้ยินเสียงผู้คนดังขึ้นติดๆกันหลายครั้ง...

    “คุณหนูเยี่ย แจกเสื้อผ้าหมดแล้วหรือยังมีอีกไหม”

    “เทพธิดา ลูกของข้าพึ่งสามขวบ ข้าทนไม่ใส่ก็ได้แต่เขาน่าจะทนไม่ไหวแน่ๆ...”

    “แม่เทพธิดารบกวนส่งเสื้อผ้ามาอีกสักลำสองลำได้ไหม พวกเราที่นี่ยังมีอีกตั้งหลายคนนะ...”

    “...”

    รอยยิ้มอ่อนโยนของเยี่ยฝูอีนิ่งค้างทันที และสีหน้าดูลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย“ทุกคนโปรดใจเย็นๆ ข้าเตรียมเสื้อผ้ามาให้อีกได้ แต่ต้องใช้เวลาสักน้อยพวกท่าน...”

    “ไม่มีเสื้อผ้าแล้ว!

    นางยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆหนิงเจิงก็ขึ้นเสียงเอ่ยแทรกขึ้นมา

    เยี่ยฝูอีหันไปมองนางด้วยความตกใจ

    ตอนแรกผู้คนก็ตกใจแต่ทันใดนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะโหวกเหวกโวยวายอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม

    “เสื้อผ้าหมดแล้วได้ยังไงแม่เทพธิดาบอกแล้วว่านางจะเตรียมมาให้อีก เจ้ามีสิทธิ์มาพูดอะไรแบบนี้ได้ไง”

    “ถึงแม้เจ้าจะเป็นองครักษ์ที่ไท่จื่อทรงส่งมาแจกจ่ายโจ๊กแต่เจ้าจะทำตัวหยาบคายเช่นนี้มิได้นะ!

    “ใช่ๆ แม่นางเทพธิดาเอาเสื้อผ้ามาให้แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า!

    “...”

    ทันใดนั้นก็เกิดข้อกังขากับหนิงเจิงมากขึ้นเรื่อยๆ

    หนิงเจิงแสยะยิ้ม นางรู้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้!

    นางรู้ว่าเทพธิดานางฟ้าอย่างคุณหนูเยี่ยต้องมาสร้างความวุ่นวายจริงๆด้วย...เสื้อผ้ากี่เล่มเกวียนนั่นดูเหมือรชนจะมากมายก่ายกองแต่ความจริงมีแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น และผู้ประสบภัยที่นี่มีอย่างน้อยหลายพันคนยังไงก็ไม่พอจัดการกับจำนวนคน

    ปัญหาใหญ่ในสถานที่ที่มีผู้ประสบภัยพิบัติมารวมตัวกันแบบนี้ไม่ใช่การไม่มีเสื้อผ้าใส่แต่คือบางคนมีเสื้อผ้าและบางคนไม่มี

    อย่าห่วงความขาดแคลนเลย แต่ห่วงความเหลื่อมล้ำจะดีกว่าเพราะนี่คือความจริง!

    “ทุกคนฟังข้า...!

    นางก้มหน้าลง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความจริงจังและใช้กำลังภายในเปล่งเสียงของนางไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ประสบภัยทุกคนที่นี่จะได้ยิน

     



    [1]ฮวาเตี้ยน คือการวาดกลีบดอกไม้บนหน้าผากด้วยสีแดงชาดหรือแปะทองคำเปลวเป็นที่นิยมในสตรีราชวงศ์ถัง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in